ประชาไท22 ก.พ. กองทุนสัตว์ป่าสากล (WWF) ประเทศไทย และ CAN
ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 22-25 ก.พ. ที่จะถึงนี้ กระทรวงพลังงาน ร่วมกับ บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) จะเป็นเจ้าภาพจัดการสัมมนาวิชาการและแนวนโยบายเกี่ยวกับถ่านหินสะอาด ขององค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจแห่งเอเชีย-เปซิฟิค (Asia-Pacific Economic Cooperation: APEC) ภายใต้หัวข้อ Clean Coal - Diversifying and Securing
อย่างไรก็ตาม ทั้ง WWF และ CAN Thailand ระบุว่า ถ่านหินสะอาด เป็นเทคโนโลยีการกำจัดหรือลดมลพิษจากการเผาถ่านหิน โดยเฉพาะซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจของมนุษย์ ในทางเทคนิค เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดได้รับการพัฒนาและสามารถกำจัดปัญหามลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ของถ่านหินได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วในขณะนี้ หากแต่ เมื่อพิจารณาถึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ตัวการที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ โลกร้อน อันส่งผลที่ชัดเจนอยู่ทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นน้ำแข็งขั้วโลกละลาย พายุเฮอริเคนที่ถี่และรุนแรงมากขึ้น ภัยแล้งที่ยาวนาน น้ำท่วม ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น จนถึงการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลอันมีผลต่อผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะต่อประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรมและต้องขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศและปริมาณน้ำฝน ถ่านหินสะอาดไม่ได้ตอบคำถามและไม่ได้ลดปริมาณ CO2 ที่เกิดขึ้น และโดยเฉพาะเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บ CO2 ที่มีอยู่ในขณะนี้ ก็ยังเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ยังต้องอาศัยเวลาอีกนานในการพัฒนากว่าจะสามารถนำมาใช้ได้และไม่เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม และสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งราคาก็แพงมาก
WWF และ CAN
นางสาววนัน เพิ่มพิบูลย์ หัวหน้าฝ่ายพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ WWF ประเทศไทย ชี้แจงเพิ่มเติมว่า "กระบวนการนำถ่านหินมาใช้ รวมทั้งการเผาถ่านหิน ย่อมก่อให้เกิด CO2 ซึ่งเป็นตัวการของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ โลกร้อนที่กำลังคุกคามเราอยู่ในขณะนี้ ถ่านหินสะอาดนั้น ไม่มีจริง เพราะไม่สามารถจัดการกับ CO2 ที่เกิดขึ้นได้ และการจัดการก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะเมื่อเกิด CO2 ขึ้น ก็ต้องดักจับและนำไปกักเก็บไว้ ก่อให้เกิดประเด็นความห่วงใยในเรื่องระยะเวลาหรือความยาวนานในการกักเก็บไว้ ความถาวรของการกักเก็บ หากเกิดการรั่วไหลหรือถูกรบกวน CO2 ที่กักเก็บไว้ก็จะรั่วออกมาสู่ชั้นบรรยากาศต่อไป เป็นการเพิ่ม CO2 ในบรรยากาศอีกนั่นเอง อีกทั้งเทคโนโลยีก็มีราคาสูง หากนำมาใช้ในการดักจับและกักเก็บ CO2 ที่เกิดขึ้นจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ต้นทุนก็จะเพิ่มสูงขึ้นอีกร้อยละ 40-80 ค่าไฟฟ้าก็จะสูงขึ้นไปด้วย และภาระคงตกอยู่กับผู้ใช้ไฟฟ้านั่นเอง"
นางสาววนัน ยังย้ำอีกว่า "ในสถานการณ์ที่ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังใกล้เรามากขึ้นทุกขณะ และความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเราเพิ่มสูงกว่า 2 องศาเซลเซียสจากระดับที่ปล่อยในช่วงก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ประเทศต่างๆ รวมถึงรัฐบาลไทยเราด้วย ควรจะต้องหันมาใส่ใจส่งเสริมพลังงานทางเลือกหรือพลังงานยั่งยืนอย่างจริงจังและจริงใจ อันรวมทั้งการประหยัดพลังงาน ประสิทธิภาพพลังงาน และพลังงานหมุนเวียน ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพสูง และเทคโนโลยีก็มีพร้อมแล้วในขณะนี้ นี่จึงเป็นการแก้ปัญหาในเชิงรุกที่เป็นการจัดการกับปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง ซึ่งต้องอาศัยวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศด้วย ไม่ควรมาเสียเวลารอคอยเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดที่ไม่มีจริง และไม่ก่อให้เกิดการลด CO2"
ด้านนายพงษ์เลิศ พงศ์วนานท์ กลุ่มพลังงานทางเลือก ได้ข้อสังเกตและเสริมว่า "เมื่อคิดถึงต้นทุนที่สูงขึ้น หากนำเทคโนโลยีที่ลดมลพิษและดักจับและกักเก็บ CO2 มาใช้ กับโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จะขึ้นใหม่ ก็ควรต้องพิจารณาเปรียบเทียบกับทางเลือกในการใช้เชื้อเพลิงจากพลังงานหมุนเวียนรูปแบบอื่นๆ ด้วย ต้นทุนก็จะใกล้เคียงกันมากขึ้น หากแต่การใช้พลังงานหมุนเวียนนั้นๆ ยังก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้กับท้องถิ่นเอง และยังไม่ก่อให้เกิด CO2 ที่เพิ่มขึ้น เป็นการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อีกด้วย"
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)