บนท้องถนนในกรุงมะนิลา เริ่มมีการตั้งด่านตรวจและมีกองกำลังทหารออกลาดตระเวนเพื่อรักษาความปลอดภัยตามจุดต่างๆ อย่างแข็งขัน เพราะความตึงเครียดทางการเมืองของฟิลิปปินส์ในปัจจุบันดำเนินมาถึงจุดที่เสี่ยงต่อการชุมนุมประท้วงเพื่อขับไล่รัฐบาล
ทั้งนี้มีสาเหตุมาจากกรณีที่ประธานาธิบดีอาร์โรโยไม่อาจแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ตามที่เคยสัญญากับประชาชน เช่นเดียวกับข้อกล่าวหาว่ากลอเรีย อาร์โรโยทุจริตเลือกตั้งเมื่อปี 2547 ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ และที่สำคัญก็คือกรณีที่สามีและลูกชายของเธอมีส่วนเกี่ยวพันกับการรับสินบน แต่บุคคลทั้งสองกลับรอดจากการดำเนินคดีอย่างง่ายดายด้วยการเดินทางไปต่างประเทศ
นอกจากนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของฟิลิปปินส์ได้รายงานต่อประธานาธิบดี กลอเรีย แมคคาปากัล อาร์โรโย ว่าอาจมีการรัฐประหารเกิดขึ้นในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2549 เนื่องจากเป็นวันครบรอบ 20 ปีที่ประชาชนชาวฟิลิปปินส์แสดงพลังต่อต้านอดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอสซึ่งมีความผิดฐานคอรัปชั่นและใช้อำนาจในการบริหารประเทศในทางมิชอบ ประธานาธิบดีอาร์โรโยจึงประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ เพื่อเตรียมตัวรับมือกับความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดรัฐประหารขึ้น
แม้ว่าในเดือนกันยายน 2548 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีอาร์โรโยจะรอดพ้นจากการถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง (Impeachment) แต่ปัญหาและข้อสงสัยทั้งหลายที่ประชาชนมีต่อการดำเนินงานของรัฐบาลกลับไม่เคยได้รับการสะสางอย่างจริงจัง โดยอาร์โรโยอ้างถึงสถานการณ์ปั่นป่วนภายในประเทศ ทั้งที่เป็นภัยธรรมชาติและความขัดแย้งระหว่างกองกำลังมุสลิมกับรัฐบาล เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกพิจารณาจากศาลรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม พลจัตวา ดานิโล ลิ้ม และแนวร่วมราวๆ 10 คนซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นแกนนำในการก่อรัฐประหารได้ถูกจับกุมตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ประธานาธิบดีอาร์โรโยยังคงประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อเตรียมตัวควบคุมการชุมนุมและการจลาจลที่อาจเกิดขึ้นได้ กรมตำรวจแห่งชาติของฟิลิปปินส์จึงประกาศห้ามไม่ให้มีการชุมนุมใดๆ ทั้งสิ้น เช่นเดียวกับที่โรงเรียนทั่วประเทศถูกปิดชั่วคราว
หากมองย้อนกลับไปในอดีตของประเทศฟิลิปปินส์ จะเห็นได้ว่าการชุมนุมของประชาชนที่ออกมาขับไล่ผู้นำทั้ง 2 ราย (เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส และโจเซฟ เอสตราดา) ล้วนประสบความสำเร็จทั้งสองครั้ง แต่นาย