บทความ: ปัญหาคาใจในการเมืองไทยปัจจุบัน


                                                                                           

โดย ชำนาญ จันทร์เรือง

 

ในขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันพลิกผันเปลี่ยนแปลงกันทุกชั่วโมงในปัจจุบันนี้ กว่าบทความชิ้นนี้จะเผยแพร่ออกมาก็คงอาจจะล้าสมัยไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตามปัญหาหลักที่ค้างคาใจของประชาชนที่ติดตามสถานการณ์บ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักวิชาการ นักสื่อสารมวลชน เอ็นจีโอหรือเครือข่ายทั้งหลาย ฯลฯ ต่างก็ออกมาให้ความเห็นตีกันจนอีนุงตุงนังไปหมด ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วมันควรเป็นอย่างไร

                        ประเด็นปัญหาคาใจที่ว่านี้ก็คือ

๑)      ถ้าฝ่ายค้านไม่ส่งผู้สมัครลงรับการเลือกตั้งคราวนี้จะมีผลตามมาอย่างไร

๒)     เราจะขอรัฐบาลพระราชทานโดยอาศัยมาตรา ๗ แห่งรัฐธรรมนูญฯได้หรือไม่

๓)     นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาแล้วรักษาการณ์ในตำแหน่งอยู่จะสามารถประกาศสาออกจากตำแหน่งอีกได้หรือไม่ ถ้าได้แล้ว ครม.จะต้องพ้นไปไหม  ถ้าไม่พ้นไปทั้งคณะแล้วใครจะมาทำหน้าที่แทน ฯลฯ

ปัญหาต่างๆเหล่านี้ผมเชื่อว่าประชาชนคงต้องการคำตอบแต่เป็นคำตอบที่ไม่เป็นวิชาการมากนัก เพราะเท่าที่ผ่านๆมาผู้ที่ออกมาให้ความเห็นส่วนใหญ่แล้วก็จะอ้างมาตราโน้นมาตรานี้พัลวันพัลเกจนสุดท้ายก็สรุปไม่ลงว่าตกลงแล้วจะเป็นอย่างไรกันแน่ ผมจึงขอเสนอความเห็นแบบง่ายๆว่า

ประเด็นแรก กรณีที่ฝ่ายค้านไม่ส่งผู้สมัครลงรับการเลือกตั้งคราวนี้แล้วผลจะตามมาอย่างไรนั้น อยากจะขอย้อนกลับไปถึงการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาคราวที่ผ่านมาที่ได้สมาชิกไม่ครบ ๒๐๐ คน ขาดไปเพียง ๑ คน ก็ไม่สามารถเปิดประชุมได้ต้องรอให้ครบเต็มจำนวนเสียก่อนจึงจะเปิดประชุมได้ ในคราวนี้ก็เช่นกันหากพรรคฝ่ายค้านไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง ซึ่งเชื่อว่าบางเขตเลือกตั้งคงจะมีผูสมัครเพียงคนเดียว หรืออาจจะไม่มีผูสมัครเลยก็ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้

กรณีที่มีผู้สมัครเพียงคนเดียว มิได้หมายความว่าจะได้รับการเลือกตั้งโดยอัตโนมัติเหมือนการเลือกตั้งนายกสมาคมทั้งหลาย แต่กฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องมีผู้ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้น

ฉะนั้น หากไม่มีผู้สมัครเลยหรือมีผู้สมัครเพียงคนเดียวแล้วผู้มีผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ถึงร้อยละยี่สิบก็เป็นอันว่ามี ส.ส.ไม่ครบ เมื่อมี ส.ส.ไม่ครบก็เปิดสภาไม่ได้ เมื่อเปิดสภาไม่ได้ก็เลือกนายกรัฐมนตรีไม่ได้ เมื่อไม่ได้เลือกนายกฯก็ตั้งคณะรัฐมนตรีเพื่อบริหารประเทศไม่ได้ ฯลฯ นายกฯก็ต้องรักษาการณ์กันต่อไปโดยไม่สามารถประชุมคณะรัฐมนตรีได้  คิดแล้วก็หนาวขึ้นมาจับใจครับ

ประเด็นที่สอง เราจะขอรัฐบาลพระราชทานโดยอาศัยมาตรา ๗ แห่งรัฐธรรมนูญฯได้หรือไม่

ก่อนที่จะตอบปัญหานี้ก็คงต้องตอบคำถามที่ว่าแล้วเราเคยมีรัฐบาลพระราชทานมาแล้วหรือไม่ บางคนก็บอกว่าเคยมีมาแล้วในสมัยรัฐบาลนายสัญญา ธรรมศักดิ์คราวเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๑๖ ไง บางคนก็บอกว่ามีมากกว่านั้นอีกคือรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร สมัย พ.ศ.๒๕๑๙ และรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน พ.ศ.๒๕๓๕ ที่เปลี่ยนโผกันอย่างกระทันหันจนมีหลายคนแต่งชุดขาวรอกันเก้อพร้อมกับเสียงโห่ร้องกันทั้งประเทศคราวนั้น

แต่อย่าลืมว่าเหตุการณ์ทั้งสามเกิดขึ้นในสมัยก่อนมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ที่ มาตรา ๒๐๑ วรรคสองกำหนดไว้ว่านายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผูแทนราษฎรหรือผผู้ที่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่พ้นสมาชิกภาพตามมาตรา ๑๑๘(๗) ในอายุของสภาผู้แทนราษฎรชุดเดียวกัน(หมายความว่าไปเป็นรัฐมนตรีแล้วต้องพ้นจากการเป็น ส.ส.นั่นเอง)

ส่วนมาตรา ๒๐๒ ก็กำหนดให้สภาผู้แทนราษฏรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรก การเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรรับรองและมติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นายกรัฐมนตรีต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร การลงมติในกรณีเช่นว่านี้ให้กระทำโดยเปิดเผย

พูดง่ายๆก็คือการตั้งนายกรัฐมนตรีไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้ อ้าว แล้วที่มาตรา ๗ ของรัฐธรรมนูญฯที่บัญญัติไว้ว่าในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขล่ะ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าการตั้งนายกรัฐมนตรีนั้นมีบัญญัติอยู่ในรัฐธรรมนูญแล้วอย่างชัดเจน จะว่าไม่มีบัญญัติในรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๗ ได้อย่างไร เว้นเสียแต่จะล้มรัฐธรรมนูญโดยวิถีทางอื่นที่มิใช่วิถีทางตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น ซึ่งคงไม่มีใครต้องการเป็นแน่

ประเด็นที่สาม เมื่อมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาไปแล้ว นายกรัฐมนตรีที่รักษาการณ์ในตำแหน่งอยู่จะประกาศลาออกจากจากการเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการณ์นี้ได้หรือไม่ คำตอบก็คือว่า "ได้" แน่นอน เพราะเมื่อไม่ประสงค์จะทำหน้าที่ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยเหตุอันใดก็ตาม เช่น เบื่อ ถูกบีบ ฯลฯ ก็ย่อมที่จะไม่มีใครไปขัดใจได้

แล้วหากนายกฯประกาศลาออกแล้วผลจะเป็นเช่นไร ประเด็นนี้มีการถกเกียงกันมาก บ้างก็ว่าต้องพ้นไปทั้งคณะตามมาตรา ๒๑๕ และมาตรา ๒๑๖ แห่งรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อพิเคราะห์ให้ดีตามมาตรา ๒๑๕ วรรคหนึ่ง(๒) บอกว่ารัฐมนตรีทั้งคณะพ้นตำแหน่งเมื่ออายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง หรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งหมายความว่าเมื่อยุบสภารัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งแล้วแต่ทำหน้าที่รักษาการณ์รอเท่านั้นเอง

ฉะนั้น หากนายกรัฐมนตรีลาออกจากจากการรักษาการณ์ก็ไม่มีผลอันใดที่จะทำให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นไปอีกครั้ง(พูดง่ายๆก็คือตายได้ครั้งเดียวเท่านั้น) อ้าว แล้วจะทำอย่างไร ก็ต้องยึดถือตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดินทั่วไปคือ เมื่อเบอร์ ๑ ไม่มีหรือไม่อยู่ก็ต้องให้เบอร์ ๒ รักษาการณ์หรือรักษาราชการแทน ฉะนั้น คำตอบก็คือก็ต้องให้รองนายกฯที่มีอาวุโสอันดับ ๑ ที่ได้จัดลำดับไว้แล้วเป็นผู้ที่ทำหน้าที่นายกฯแทนนั่นเอง

และหากคิดมากไปกว่านั้นว่าหากรัฐมนตรีลาออกทั้งคณะล่ะ จะทำอย่างไร คำตอบก็ต้องว่ากันไปตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดินนั่นแหละครับ เพียงแต่ไม่มีรัฐมนตรีรักษาการณ์แต่กลไกของข้าราชการประจำก็ทำหน้าที่ต่อไปเพียงแต่อำนาจหน้าที่ไหนที่เป็นอำนาจเฉพาะรัฐมนตรีจะทำไม่ได้เท่านั้นเอง

กล่าวโดยสรุปทั้งสามประเด็นนี้ก็คือว่าการตีความกฎหมายต้องตีความให้ปฏิบัติได้ ไม่ใช่ตีความแล้วปฏิบัติไม่ได้ อย่างที่เราเรียกว่าตีความหาเริ่องนั่นเอง

 

 

------------------------

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท