Skip to main content
sharethis

คลื่นความคิด


โดย ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ และทีมงาน


ออกอากาศ  เสาร์  09.00-10.00 น / อาทิตย์  8.30-10.00 น.


สถานีวิทยุ FM 101 เมกะเฮิร์ตซ์


(คลื่นความคิดเป็นรายการสนทนาเชิงวิเคราะห์ในหลากหลายเรื่องราว ในมิติของประวัติศาสตร์ ปัจจุบัน และอนาคต)


 


กฎแห่งกรรมยุคใหม่


(ออกอากาศ 11-12 กุมภาพันธ์ 2549)


 


"ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงินทอง หรือของที่บุคคลหวงแหนอย่างใดอย่างหนึ่ง…สิ่งอื่นๆทั้งหมดนี้บุคคลนำไปไม่ได้ ต้องทอดทิ้งไว้ทั้งหมด แต่สิ่งที่บุคคลทำด้วยกาย วาจา หรือด้วยใจนั่นแหละที่จะเป็นของเขา เป็นสิ่งที่เขาต้องนำไปเหมือนเงาตามตัว เพราะฉะนั้น ผู้ฉลาดพึงสั่งสมกัลยาณกรรมอันจะนำติดตัวไปสู่สัมปรายภพได้ บุญย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายทั้งในโลกนี้และโลกหน้า…"


"พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน"


เรียบเรียงจากพระไตรปิฏก โดย วศิน อินทสระ


 


ใกล้จะถึงวันมาฆบูชา คิดว่าจะหาอะไร "เย็น"ๆ มาคุยกัน เพื่อช่วยรั้งช่วยผ่อนคลายบรรยากาศทางการเมืองที่ร้อนอ้าวอยู่ในขณะนี้ แต่หากนำคำพระคำเจ้ามาว่ากัน ดูท่าจะลำบากพอสมควร เพราะผู้คนบางกลุ่มบางรายในระยะหลังๆ ดูเหมือนยากที่จะซึมซับพระวจนะหรือคำเทศน์คำสอนกันอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งต่างจากผู้คนในยุคก่อน แค่พระท่านใช้คำพูดง่ายๆ ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" เพื่อให้เห็นความเป็นมา-เป็นไปของสิ่งที่เรียกว่า     "กฎแห่งกรรม" แบบพื้นๆ  อะไรต่อมิอะไรก็สามารถซึมผ่านกะโหลก สมอง ไปถึงจิตใจ วิญญาณได้รวดเร็วมาก เกิดความกลัว ละอายต่อบาป ต่อพฤติกรรม หรือการกระทำของตัวเอง เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนจิตใจกับแบบฉับพลันทันที อย่างองคุลีมารที่ฆ่าใครต่อใครมาตลอด พระพุทธเจ้าท่านเทศน์แว๊บเดียวก็วางดาบกันเห็นๆ


ว่าไปแล้ว เรื่องของกฎแห่งกรรมนี้น่าจะเป็นสิ่งที่สามารถโน้มน้าวฉุดดึงใครต่อใครให้ต้องเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนพฤติกรรมกันได้ ถ้าหากเข้าใจ เข้าถึงความเชื่อนี้กันจริงๆ เพราะนอกจากจะเป็นสิ่งที่จะติดตัวใครต่อใครชนิดที่เรียกว่า "เงาตามตัว" สามารถส่งผลต่อการกระทำที่ได้ทำไว้ไม่ว่าในขณะที่มีชีวิตอยู่ และว่ากันว่ายังสามารถติดตามส่งผลสืบต่อไปยังชาติหน้าหรือชาติต่อไปได้อย่างไม่มีละเว้น จึงน่าจะทำให้ใครต่อใครต้องรั้งต้องชะงักไปบ้างหากคิดจะทำอะไรที่แย่ๆ  หรือทำไม่ดี  และยังเป็นแรงช่วยส่งให้ใครต่อใครคิดอยากจะทำสิ่งที่ดีๆ  อีกต่างหาก


พูดง่ายๆ ว่าจริงๆ แล้วกฎแห่งกรรมเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ครอบคลุมกว่ากฎหมาย กฎบ้าน-กฎเมืองเสียอีก จนกล่าวได้ว่าหากใคร สังคมใดให้ความยอมรับกับเรื่องราวเหล่านี้ อาจแทบไม่ต้องเสียเวลาใช้กฎหมายบ้านเมืองบังคับกันมากมาย ไม่ต้องร่างกฎหมายกันเป็นพันๆ หมื่นๆ มาตรา ซับซ้อนวุ่นวายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ


แต่สำหรับผู้คนยุคนี้ ต้องยอมรับว่านอกจากกฎหมายแทบทุกชนิดในบ้านเมืองจะเอาไม่อยู่แล้ว ออกกฎหมายมาแต่ละทีก็ถูกตีความกันเละเทะ ตีความให้เข้ากับพฤติกรรมหรือการกระทำของใครคนใดคนหนึ่งเป็นหลัก ไม่ว่าการกระทำนั้นจะดีหรือชั่วก็แล้วแต่ กฎแห่งกรรมนั้นแทบไม่มีฤทธิ์เดชพอที่จะไปถ่วงรั้งการกระทำใดๆ ได้อีก ทั้งนี้ ก็เพราะมันได้เกิดการเปลี่ยนมาตรฐานค่านิยมต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ค่านิยมที่ว่า "ทำดีได้ดี-ทำชั่วได้ชั่ว" กลายเป็น "ทำดีได้ดีมีที่ไหน-ทำชั่วได้ดีมีถมไป" คือเมื่อไม่เห็นว่าผลแห่งการกระทำของตัวจะสามารถทำอะไรกับตัวเองได้ในชาตินี้ หรือในขณะที่มีชีวิตอยู่ มีอำนาจ ร่ำรวยเงินทองจนใครต่อใครไม่กล้าจะทำอะไรตัวเองๆ แน่ๆ ก็เลยนอกจากจะไม่กลัวบาปกลัวกรรมแล้ว อาจไม่เชื่อด้วยว่ามีบาปมีกรรม มีชาตินี้ชาติหน้า มีนรก สวรรค์กันจริงๆ


 


ชีวิตหลังความตาย


ความเชื่อแรกของมนุษย์


อันที่จริง เรื่องของบุญบาป ผลแห่งการกระทำ ไม่ว่าดีหรือชั่วที่จะตอบสนองผู้กระทำไปตามกฎแห่งกรรมนั้น มีอยู่ในทุกๆ ศาสนา  เช่นในศาสนาอิสลามพูดไว้ชัดมาก คือบอกไว้ในทำนองว่ามนุษย์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลกนั้น ต่างก็มีเสรีที่จะทำดีหรือทำชั่วก็ได้ แต่ผลแห่งการกระทำนั้น ย่อมจะตอบสนองต่อผู้กระทำโดยไม่มีการยกเว้นแม้แต่อณูเดียว ทุกๆ ศาสนาโดยหลักๆ แล้ว ได้วางพื้นฐานความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมไว้ทั้งสิ้น เพียงแต่อาจแตกต่างกันในรายละเอียด เรื่องกระบวนการตอบสนองผลการกระทำกันไปบ้าง  ในกรณีคริสต์กับอิสลามนั้นอาจจะมอบอำนาจในการตอบสนองสิ่งเหล่านี้ไว้ที่ "God" หรือ "พระเจ้า"  ส่วนพุทธศาสนานั้นอาจจะมอบอำนาจในการตอบสนองการกระทำต่างๆ ไว้ที่ "กฎ" เรียกว่า"กฎแห่งกรรม" แม้จะมีรายละเอียดคำอธิบายถึงสิ่งเหล่านี้ผิดแผกแตกต่างกันไปขนาดไหนก็แล้วแต่ แต่โดยจุดสุดท้ายแล้วต่างก็เชื่อตรงกันว่าการกระทำที่ดีย่อมได้ผลดีตอบแทน การกระทำที่ชั่วหรือเลวร้าย ก็ต้องได้รับผลร้ายตอบแทน


ทุกศาสนานั้นเชื่อเหมือนๆ กันว่าแม้นว่าผลแห่งการกระทำนั้นๆ มันอาจจะไม่ตอบสนองต่อการกระทำของมนุษย์แต่ละรายในขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่หรือในชาตินี้ แต่มันสามารถติดตามไปส่งผลสืบต่อกันไปได้ตลอดแม้นว่ามนุษย์เหล่านั้นได้ตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ทำความเลวร้ายไว้ แล้วอาจจะตายไปแบบสบายๆ ไม่ได้มีอะไรไปลงโทษต่อการกระทำนั้นๆ กันให้สาสมกับสิ่งที่ตัวเองได้กระทำไว้  ก็ไม่ได้หมายความว่ากฎแห่งกรรมนั้นจะไม่เป็นจริง หรือทำให้การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่เป็นจริง กลายเป็นทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป อย่างที่พูดกันในช่วงหลังๆ


ซึ่งความเชื่อว่าผลการกระทำใดๆ ก็ตาม สามารถส่งผลติดตามมนุษย์ต่อไปได้แม้ว่าจะตายไปแล้ว จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อต้องเกิดการยอมรับหรือเชื่อกันก่อนว่าหลังจากที่มนุษย์ตายไปแล้ว น่าจะยังมีอะไรที่คงอยู่ หรือที่เรียกกันว่า "ชีวิตหลังความตาย" มันจึงจะตอบสนองกันได้ หรือพูดง่ายๆว่าต้องยอมรับเป็นเบื้องแรกก่อนว่าชีวิตต่างๆ นั้นไม่ได้ตายแล้วสูญ หรือตายแล้วตายเลย เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็จะเข้าหลักที่สามารถทำชั่วกันได้สบายๆ ทำแล้วไม่มีใครรู้ ทำแล้วมีอำนาจมีเงินช่วยประคับประคองป้องกันไม่ให้ผลของการกระทำเล่นงานตัวเองได้ง่ายๆ ถึงจะไปเสวยผลกรรมที่ต่างประเทศก็ยังมีคอนโดฯ หรูรองรับ มีบ้านพักริมชายหาด มีเงินสดใช้กันไม่หมดไปตลอดชาติ ถ้าเป็นเช่นนี้มันก็น่าจะแหกกฎแห่งกรรมอยู่เหมือนกัน


ซึ่งถ้าหากว่าอะไรต่างๆ เป็นไปในแบบตายแล้วสูญจริงๆ นอกจากจะทำชั่วกันได้สบายๆแล้ว การทำดียังน่าที่จะเป็นอะไรที่โหดร้ายทารุณเอามากๆ  ดังที่ "โทมัส มอร์" นักปราชญ์อังกฤษ ที่เขียนเรื่อง "ยูโทเปีย" ดินแดนแห่งความฝัน อุดมคติได้กล่าวว่า ถ้าหากเมื่อไหร่ก็ตามที่มนุษย์ไม่เชื่อ หรือไม่ยอมรับว่าชีวิตหลังความตายมีจริง หรือคิดว่าสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณนั้นสลายไปพร้อมกับร่างกาย การทำความดีนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งที่ทั้งโง่ ทั้งบ้า ทั้งเจ็บปวดรวดร้าว ทรมาน ทรกรรมกันไปตลอดชีวิต หรือจะทำให้ความเป็นมนุษย์กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่าใดๆ อีกต่อไปเลย มนุษย์จะเป็นยิ่งกว่าสัตว์ป่า และโอกาสที่จะทำให้ใครต่อใครยอมรับกฎหมายบ้านเมืองอันเป็นกติกาการอยู่ร่วมกันในสังคมมนุษย์นั้น เป็นไปไม่ได้เลย


มีคำถามว่า ความเชื่อที่ว่าชีวิตหลังความตายมีจริง หรือชาติหน้ามีจริงนั้น เป็นเพราะมนุษย์สร้างขึ้นเองเพื่อจะให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นปกติในสังคม หรือหลังจากที่มนุษย์ได้สร้างบ้านสร้างเมืองเป็นอาณาจักรเป็นประเทศแล้ว ต้องหาทางสร้างความชื่อในแบบที่ว่านี้ไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนเข่นฆ่าล้างผลาญกันแบบสัตว์ป่า หรือสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการปกครองผู้คนในสังคมแบบเดียวกับการสร้างกฎหมายต่างๆ นานา


ถ้าไปสืบค้นว่าความเชื่อที่ว่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อไหร่ จากการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์โบราณคดีที่มีการสรุปอย่างเป็นหลักฐานแล้ว ก็น่าแปลกที่นักประวัติศาสตร์โบราณคดีได้สรุปไว้อย่างชัดเจนว่าความเชื่อที่ว่านี้อุบัติขึ้นพร้อมกับมนุษย์คนแรกที่อุบัติขึ้นมาบนโลก เป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาแต่แรก หรือปรากฏให้เห็นตั้งแต่มนุษย์ยังไม่ได้เป็นผู้เป็นคนก็ว่าได้ หรือย้อนหลังไปตั้งแต่ยุคมนุษย์นีแอนเดอธัลที่ยังไม่ถือว่าเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบ มีชีวิตก่อนหน้ามนุษย์ในปัจจุบันนับเป็นแสนๆ ปี  ลักษณะความเชื่อเหล่านี้ได้ถูกสะท้อนให้เห็นจากซากโบราณคดีนานาชนิด ไม่ว่าร่องรอยการทำพิธีกรรมต่างๆ การฝังศพ แผ่นภาพที่เขียนทิ้งไว้บนผนังหิน ผนังถ้ำต่างๆ  เป็นต้น


 


จาก…การเนรมิตสร้าง


ถึง…ความบังเอิญ


แต่จู่ๆ เมื่อถึงยุคหนึ่ง    ความเชื่อดังกล่าวได้ถูกตั้งคำถาม   ถูกปฏิเสธ  ถูกทำให้ไม่น่าเชื่อถือ เป็นความงมงาย ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ นั่นก็คือเมื่อประมาณ 300 ปีที่แล้ว ได้เกิดการต่อสู่แย่งชิงอำนาจกัน ระหว่างผู้คนในยุโรปที่เรียกกันว่านักวิทยาศาสตร์ กับพวกพระชาวคริสต์ที่มีอำนาจปกครองดูแลในขณะนั้น จนเมื่อสามารถโค่นล้มอำนาจพระได้ ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากอำนาจการเมืองการปกครองของพระหรือสังฆราชแห่งกรุงวาติกันได้สำเร็จ ก็จำเป็นต้องประกาศ "ความเชื่อใหม่ๆ" ขึ้นมาแทนที่ความเชื่อเดิมๆ ที่พวกพระใช้เป็นเครื่องมือในการปกครองมาโดยตลอด เพื่อไม่ให้พวกพระที่เป็นผู้รับหน้าที่ติดต่อกับพระเจ้ากลายเป็นผู้มีอำนาจด้วยความเชื่อความศรัทธาในลักษณะเดิมๆ อีกต่อไป จึงต้องทำให้โลกนี้เป็นโลกที่ไม่ได้เกิดมาเพราะพระเจ้าเนรมิตสร้างที่ชาวยุโรปเชื่อฝังหัวกันมาโดยตลอดว่า…ตั้งแต่ปฐมกาล พระเจ้าเริ่มต้นด้วยการแยกความสว่างออกจากความมืด แยกน้ำแยกดิน สร้างสรรพสิ่งต่างๆ และสร้างมนุษย์ขึ้นมาด้วยการปั้นมนุษย์จากผงคลีดินแล้วระบายลมปราณหรือวิญญาณเข้าทางจมูก…ประมาณนั้น


ให้กลายมาเป็น…ตั้งแต่ปฐมกาล เมื่อประมาณ 4,500-4,600 ล้านปีมาแล้ว บรรดากลุ่มก๊าซและผงฝุ่นต่างๆ ในอวกาศได้ผนวกรวมตัวกัน หรือเกิดการควบแน่น "condensation" ขึ้นมาอย่างไรไม่ทราบได้ จนกลายสภาพเป็นของเหลวที่ร้อนจัดและหมุนวนรอบตัวเอง   ส่งผลให้ธาตุหนักๆ   จมลงไปในจุดศูนย์กลาง     กลายเป็น


"แกนโลก"  ส่วนที่อยู่เหนือขึ้นมาค่อยๆ กลายเป็นเปลือกโลกตามลำดับ และอยู่มาวันหนึ่ง บรรดาก๊าซต่างๆ ที่มีอยู่ในอวกาศขณะนั้น เช่น ไฮโดรเจน มีเธน แอมโมเนีย ไอน้ำ ก๊าซเฉื่อย และสสารที่เป็นของแข็งในเปลือกโลกไม่ว่าสารซิลิเกตของอลูมิเนียม เหล็ก แคลเซียม แมกนีซียม โซเดียม ได้ทำปฏิกิริยาต่อกันและกันโดย "บังเอิญ" โดยอาศัยพลังงานดึกดำบรรพ์ อันประกอบไปด้วยพลังงานจากดวงอาทิตย์ พลังงานใต้พิภพ พลังงานจากการแผ่รังสีของกัมมันตภาพรังสี  พลังงานไฟฟ้าจากฟ้าแลบ ฟ้าผ่า    ปฏิกิริยาที่ว่านี้ได้เกิดขึ้นในแอ่งน้ำในหุบเขาโบราณหรือ "สระน้ำอุ่นโบราณ" จนทำให้จู่ๆ ก็เกิดโมเลกุลชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างคล้าย "เซลล์" ขึ้นมา และโดยบังเอิญอีกเช่นกัน  โมเลกุลที่ว่านี้ก็ขยับไปขยับมาวิวัฒนาการกลายมาเป็นเซลล์ของสิ่งมีชีวิต เมื่อประมาณ 3,000 กว่าล้านปีที่แล้ว


ด้วยเหตุนี้ ชีวิตจึงไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการรวมตัวกันของบรรดาสสารต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญจนกลายมาเป็นเซลล์ กลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตในลักษณะต่างๆ กันไปจนกระทั่งกลายมาเป็นมนุษย์ และเพราะชีวิตเกิดขึ้นมาด้วยความบังเอิญ ไม่มีใครสร้าง เกิดจากการรวมตัวกันของสสารโดยบังเอิญ เมื่อสสารได้แตกสลายลงไป   หรือได้ตายลงไปแล้ว     ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องสิ้นสูญ   ไม่เหลือความมีชีวิตใดๆ อยู่ต่อไปอีกเลย  ไม่มีวิญญาณ


ไม่มีชีวิตหลังความตาย ไม่มีโลกหน้า ไม่มีนรก สวรรค์ และไม่มีพระเจ้า ซึ่งความเชื่อในลักษณะนี้นี่เองที่นักวิทยาศาสตร์ชาวยุโรปนำไปแทนที่ความเชื่อเดิมๆ ของพวกพระ ที่ในท้ายที่สุดได้ถูกเผยแพร่กระจัดกระจายไปสู่พื้นที่ต่างๆ ในโลกที่ตกเป็นเมืองขึ้น เป็นอาณานิคมของชาวยุโรปกันไปหมดทั้งโลกในเวลาต่อมานั่นเอง หลังจากนั้น ไม่ว่าใครจะอยู่ในซีกโลกไหน จะนับถือศาสนาอะไรก็แล้วแต่ ถ้าหากยังคงเชื่อๆ กันอยู่กับเรื่องวิญญาณ เรื่องชีวิตหลังความตาย เรื่องนรก สวรรค์หรือชาตินี้ชาติหน้า ก็จะค่อยๆ กลายเป็นคนที่เชย ไม่โมเดอร์น ไม่ทันสมัย กลายเป็นคนงมงายหรือคนที่คิดแบบไม่เป็นวิทยาศาสตร์ไปตามๆ กัน


ความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมที่มีอยู่ในทุกศาสนาจึงค่อยๆ ละลายไปทีละเล็กทีละน้อย พร้อมๆ กับคุณค่าของความเป็นมนุษย์ในแต่ละสังคมก็ค่อยๆ ตกต่ำตามไปด้วยในแทบทุกสังคม และไม่ว่าจะคิดค้นตัวบทกฎหมายอะไรต่อมิอะไรโดยวิธีลอกมาจากชาวยุโรปทุกตัวอักษรหรือลอกมาครึ่งๆ กลางๆ ก็แล้วแต่ แต่ก็มักจะถูกตีความกันไปตามแบบฉบับของใครของมันในท้ายที่สุดนั่นเอง


 


คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ


แม้นักวิทยาศาสตร์ยุโรปจะประสบความสำเร็จไม่น้อย ในการทำให้ความเชื่อใหม่ที่สร้างขึ้นมานั้นสามารถทดแทนหรือทำลายความเชื่อเดิมๆ ของพวกพระไปได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคาใจและยังคงต้องถกเถียงกันไปมาโดยตลอดจวบจนทุกวันนี้ และเป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจในแวดวงวิทยาศาสตร์ของยุโรปพยายามกีดกัน ปฏิเสธไม่ให้ใครตั้งคำถามกับเขาได้ง่ายๆ นั่นก็คือการที่จะต้องหาข้อพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ให้ได้ว่าบรรดาสสารที่ "ไม่มีชีวิต" นั้นมันสามารถรวมตัวกันได้โดยบังเอิญจนกลายมาเป็น "ความมีชีวิต" ได้อย่างไร หรือไม่ได้มีอะไรลึกลับซับซ้อนไปกว่านั้น ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรที่นอกเหนือไปจากกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นตัวการทำให้มันเกิดขึ้น ซึ่งการที่จะทำให้สิ่งนี้กลายเป็นความจริงตามความเชื่อขึ้นมาได้ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องอาศัยการทดสอบทางวิทยาศาสตร์เข้ามาเป็นตัวพิสูจน์ แม้ว่าจะมีความพยายามอย่างต่อเนื่องมาตลอด 300 กว่าปี แต่ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่านักวิทยาศาสตร์กี่รายต่อกี่รายก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันสิ่งที่ว่านี้ได้


ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์รัสเซียอย่าง "อเล็กซานเดอร์ โอปาริน" ที่พยายามนำวิชาเคมี ฟิสิกส์ ธรณีวิทยามาทดสอบหาข้อสันนิษฐานแล้วพยายามพิสูจน์ให้เห็นว่าสสารต่างๆ มันอาจจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาเป็นโมเลกุลของสารอินทรีย์ขนาดเล็ก ก่อนที่จะค่อยๆใช้เวลาเป็นล้านปีจึงกลายมาเป็นโมเลกุลของสารอินทรีย์ขนาดใหญ่ แล้วใช้เวลาอีกเป็นล้านๆ ปีจึงค่อยๆ กลายเป็นอนุภาคขนาดเล็ก แล้วจึงค่อยๆ กลายมาเป็นเซลล์ ซึ่งก็ผ่านการถกเถียงกันอุตลุด หาข้อสรุปไม่ได้ หรือนักวิทยาศาสตร์เม็กซิกันอย่าง "อัลฟองโซ เฮอเรรา" ที่ถึงขั้นนำสารเคมีต่างๆ คือ ฟอร์มาลีน  แอมโมเนียไธโอไซยาเนต ฯลฯ         ไปทำการสังเคราะห์จนเกิดชิ้นส่วนบางอย่างที่เรียกว่า "อนุภาคขนาดเล็ก" หรือ "โคอะเซอเวท" แต่ก็ยังไม่ได้รูปร่างลักษณะใดที่จะกลายมาเป็นเซลล์ หรือ "ฮาโรลด์ อูเรย์" กับ "สแตนลีย์ มิลเลอร์" ที่ใช้วิธีสร้างสภาพแวดล้อมจำลองของยุคเริ่มต้นของโลก       แล้วนำก๊าซต่างๆ มาสปาร์คกับไฟฟ้า ไอน้ำ ต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ๆ แค่ได้พบว่าการทดลองนี้สามารถทำให้เกิดกรดอะมิโนอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของการเกิดเซลล์ขึ้นมาได้ ก็แตกตื่นกันยกใหญ่  แต่สุดท้ายก็ได้เท่านี้ คือยังไม่สามารถหาทางทำให้สสารต่างๆ นั้นกลายเป็นรูปร่างของเซลล์ที่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการก่อกำเนิดชีวิตขึ้นมาได้เลย จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังๆ บางราย เช่น "ฮาโรลด์ โมโรวิตช์" นักชีววิทยารายหนึ่งที่ทุ่มเทให้เรื่องนี้แบบสุดชีวิตถึงกับยอมรับสารภาพว่า ถ้าหากไม่มีอะไรบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังสสารเหล่านี้ โอกาสที่สสารต่างๆ จะรวมตัวกันหรือจะจัดระเบียบด้วยตัวมันเองให้กลายมาเป็นเซลล์นั้น แทบเป็นไปไม่ได้


แต่ถึงแม้จะไม่สามารถทำการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ตลอด 300 ปีมาจนถึงทุกวันนี้ แต่สิ่งเหล่านี้ก็สามารถทำให้เป็นความเชื่อใหม่ๆ   ที่เข้ามาแทนที่ความเชื่อเดิมๆได้เรียบร้อย     กลายเป็นความเชื่อที่ถือกันว่าเป็น


วิทยาศาสตร์ เป็นความเชื่อที่ทันสมัย ก้าวหน้า ที่จะยึดถือว่าชีวิตต่างๆ นั้นตายแล้วตายเลย ตายแล้วสูญสลายไม่มีอะไรที่อยู่เบื้องหลังสสารต่างๆ ที่เป็นเลือดเนื้อร่างกายกันเลยแม้แต่น้อย


 


การปรากฏตัวของ "วิทยาศาสตร์ยุคใหม่"


ในขณะที่ความเชื่อแบบวิทยาศาสตร์ที่ว่านี้ ได้ทำให้ความเชื่อเดิมๆ ในทางศาสนากลายเป็นสิ่งที่งมงาย คร่ำครึ โบราณ ไม่น่าเชื่ออีกต่อไป ก็เผอิญมีนักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมตกอยู่ภายใต้ความเชื่อใดๆ ได้ง่ายๆ ไม่ว่าความเชื่อนั้นจะเป็นความเชื่อแบบศาสนาหรือความเชื่อแบบวิทยาศาสตร์ก็แล้วแต่ ได้พยายามที่จะค้นหาลึกลงไปในสสารต่างๆ จนกระทั่งถึงช่วงระยะหนึ่ง กลับทำให้การค้นคว้าหาข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เกิดการย้อนกลับมาปลุกฟื้นคืนชีพความเชื่อเดิมๆทางศาสนาขึ้นมาจนได้ กลายเป็น "วิทยาศาสตร์ยุคใหม่" ที่ทำให้เรื่องราวของวิญญาณ ชีวิตหลังความตาย หรือกระทั่งพระเจ้าได้ผงาดกลับคืนขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ


อันที่จริงสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ที่พูดๆ กันอยู่ในขณะนี้ ว่าไปแล้วก็ไม่น่าจะถึงกับใหม่สักเท่าไหร่ เพราะเมื่อราว 100-200 ปีที่แล้ว  ได้มีนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามค้นคว้าทดลองเรื่องทำนองนี้อยู่เช่นกันเพียงแต่ในครั้งกระโน้นอาจถือเป็นเรื่องต้องห้าม หรือเป็นเรื่องที่จะต้องถูกกีดกันออกไปไปจากวงการวิทยาศาสตร์ที่เพิ่งโค่นล้มพวกพระกันไปหมาดๆ นักวิทยาศาสตร์รายใดที่ทำการค้นคว้าแล้วเกิดไปเข้าทางพวกพระ หรือโน้มเอียงไปในทางที่จะทำให้ความเชื่อในเรื่องจิต เรื่องวิญญาณ เรื่องพลังลึกลับที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์ฟื้นกลับคืนมา ก็มักจะถูกเล่นงานหนักแบบเดียวกับที่พวกพระเคยเล่นงานพวกนักวิทยาศาสตร์ในยุคที่เรียกกันว่ายุคมืดนั่นเอง


อย่างเช่นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1734 หรือเมื่อ 272 ปี เกือบ 300 ปีมาแล้ว นายแพทย์ "ฟรานซ์ แอนตัน เมสเมอร์" แห่งมหาวิทยาลัยกรุงเวียนนาได้ทำการทดลองจนพบว่าน่าจะมีพลังบางอย่างอยู่ในตัวตนของสิ่งมีชีวิต แต่ละชีวิตที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เรียกพลังที่ว่านี้ว่า "พลังแม่เหล็กของสัตว์" ซึ่งได้นำพลังที่ว่านี้ไปใช้รักษาคนไข้มากมาย แต่ท้ายที่สุดก็ถูกผู้คนในวงการวิทยาศาสตร์เล่นงานจนต้องหายหน้าไป หรือในปี ค.ศ.1844 นักฟิสิกส์เคมีชาวเยอรมันอีกรายหนึ่งชื่อ "คาร์ล ไรเซนบัค" ที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในขณะนั้นเพราะสามารถค้นพบวิธีแยกน้ำมันพาราฟิน แต่เผอิญไปค้นพบสิ่งเดียวกับที่นายแพทย์เมสเมอร์พบ คือพลังบางอย่างในตัวตนของสิ่งมีชีวิตที่คล้ายๆ พลังแม่เหล็ก ตั้งชื่อว่า "พลังโอดิค"  เขาได้เขียนรายงานชื่อ "การวิจัยแม่เหล็กอันเกี่ยวกับพลังชีวิต"  แต่หนังสือออกมาได้ไม่เท่าไหร่ ก็ถูกวงการวิทยาศาสตร์ขณะนั้นเล่นงานจนต้องม้วนเสื่อ กลับไปเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีและโลหะวิทยาธรรมดาๆ ต่อไป


หลังจากนั้น ในปี ค.ศ.1869 มีนายแพทย์อีกรายหนึ่งจากโรงพยาบาลเซ็นต์โธมัส ในประเทศอังกฤษที่กำลังโด่งดังเช่นกัน เคยมีผลงานการประดิษฐ์ "หม้อเก็บปลอดเชื้อ" ในโรงพยาบาลจนได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการแผนกรังสีซึ่งเป็นแผนกใหม่ในโรงพยาบาล สนุกกับของเล่นใหม่ๆ คือการค้นคว้ารังสีบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ก่อนจะพบว่ามันเป็นสิ่งที่ปรากฏตัวอยู่รอบๆ ร่างกายของสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ สัตว์ หรือมนุษย์ จึงเขียนหนังสือออกมาอีกเล่ม เรียกรังสีนี้ว่า "บรรยากาศรอบๆ ตัวคน" หรือ" The Human Atmosphere" สุดท้ายก็เหมือนรายอื่นๆ โดนผู้มีอำนาจในวงการวิทยาศาสตร์เล่นงานจนต้องหลุดออกจากตำแหน่ง หายสาบสูญไปจากวงการตั้งแต่บัดนั้น


ต่อมาในปี ค.ศ. 1920 "วิลเฮล์ม ไรช์" นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้าทางด้านจิตหรือจิตแพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในออสเตรีย-เยอรมนี   มีผลงานหลายเล่มแต่ถูกนาซีเยอรมันเผาทำลายจนต้องหลบหนีมาอยู่อเมริกา จิตแพทย์ท่านนี้ได้ค้นพบพลังบางอย่างคล้ายกับบรรดานักวิทยาศาสตร์ที่ว่ามาแล้ว เรียกว่า "พลังออร์กอน" ซึ่งเชื่อว่าเป็น "พลังงานชีวิต" ที่ไม่ได้มีอยู่แค่ภายในตัวตนของสิ่งมีชีวิตต่างๆ เท่านั้น แต่แผ่ซ่านอยู่ในบรรยากาศอีกด้วย แต่เมื่อแนวคิดนี้เผยแพร่ออกไป ปรากฏว่าผู้มีอำนาจในวงการวิทยาศาสตร์อเมริกันที่เหมือนๆ กับในแทบทุกประเทศ ที่นอกจากจะทำลายหนังสือแล้ว ยังจับหมอไรช์เข้าคุกจนต้องตายคาคุกในที่สุด


ต่อมาในช่วงใกล้ๆ กัน คือในปี ค.ศ.1923 คราวนี้เป็นนักวิทยาศาสตร์รัสเซียจากมหาวิทยาลัยเฟิร์สท์เสตท ที่เชี่ยวชาญด้านเซลล์เนื้อเยื่อชื่อ "อเล็กซานเดอร์  กูร์วิทช์" ได้ค้นพบพลังงานบางอย่างในสิ่งมีชีวิตระหว่างทำการแบ่งเซลล์รากต้นหัวหอมในห้องทดลอง เรียกพลังนี้ว่า "ไมโตจีนิก" ซึ่งหลังจากมีการเผยแพร่หลักฐานการค้นพบออกไปในวงกว้างแล้ว ปรากฏว่านักวิทยาศาสตร์และนักชีววิทยาอีกหลายต่อหลายคนในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส  แฟรงค์เฟิร์ต มิวนิค ในเยอรมัน เลนินกราดในรัสเซีย ต่างยืนยันว่าค้นพบพลังไมโตจีนิกจากการทดลองในแบบเดียวกัน แต่เรื่องนี้ก็ได้ถูก "สมาคมอเมริกันเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์" หรือ AAAS ที่มีอิทธิพลทั่วโลกออกมาสั่งระงับ ประกาศว่าผลการค้นพบนี้เป็น "สิ่งต้องห้าม" สำหรับวงการวิทยาศาสตร์


อีกสิบกว่าปีต่อมา คือในปี ค.ศ. 1939 นักวิทยาศาสตร์รัสเซียอีกรายชื่อ "เซมยอน กีร์เลียน" ได้ประดิษฐ์กล้องถ่ายรูปชนิดที่สามารถบันทึกภาพพลังงานชีวิตที่เรียกว่าไมโตจีนิกให้ได้เห็นกันชัดๆ ว่าเป็นรังสีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากร่างกายของสิ่งมีชีวิต จนมีการเรียกสิ่งเหล่านี้ต่อๆ กันมาว่า พลังงาน "ไบโอพลาสมิก" และเมื่อนำกล้องนี้ไปถ่ายภาพใบไม้ที่เพิ่งถูกเด็ดมาสดๆ แล้วตัดออกครึ่งหนึ่ง ปรากฏว่าส่วนที่ถูกตัดไปยังคงปรากฏรอยรังสีที่แผ่ครบทุกส่วนเหมือนเดิม จนมีการเรียกหลักฐานยืนยันถึงพลังชนิดนี้ว่าปรากฏการณ์ "ใบไม้ผี" หรือ "Phantom Leave" และเรียกรัศมีหรือพลังชีวิตที่อยู่รอบๆ สิ่งมีชีวิตนั้นว่า "Morphogenetic Field" หรือ "สนามพลังในการก่อรูปชีวิต" อันเป็นตัวการสำคัญในการสร้างชีวิตที่อยู่นอกเหนือไปจากองค์ประกอบทางสสาร แต่สุดท้ายสิ่งเหล่านี้ก็ถูกผู้มีอำนาจในวงการวิทยาศาสตร์ปฏิเสธเหมือนเดิม


 


เมื่อวิทยาศาสตร์-ศาสนามาบรรจบ


จนกะทั่งมาถึงยุคใหม่ หรือที่เรียกว่า "วิทยาศาสตร์ยุคใหม่" ซึ่งได้ปรากฎตัวให้เห็นชัดเจนในปี ค.ศ. 1981 นักวิทยาศาสตร์แนวนี้เช่น "รูเพิร์ต เชลเดร็ค" ศาสตราจารย์ด้านชีวเคมีแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ซึ่งทำงานวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับพัฒนาการของพืชมานาน ได้เดินทางไปทำงานวิจัยในอินเดีย หลังจากค้นคว้าเรื่องราวการพัฒนาการของพืชรวมทั้งสิ่งมีชีวิตต่างๆ มานานเต็มที ก็ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งออกมาชื่อว่า "วิทยาศาสตร์แผนใหม่แห่งชีวิต" หรือ "A New Science of Life" สรุปรวมความไว้ว่า ความมีชีวิตนั้นไม่ได้มีอยู่ในแง่สสารแต่เพียงเท่านั้น แต่มันมีบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็น ไม่สามารถสัมผัสได้ ไม่มีรูป รส กลิ่น เสียง แต่มีลักษณะคล้ายๆสนามแม่เหล็กไฟฟ้า  สนามแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งสามารถพิสูจน์ความมีอยู่ได้จากผลที่มันมีต่อวัตถุสสารต่างๆ ซึ่งได้เรียกชื่อตามที่นักวิทยาศาสตร์ยุคก่อนหน้าเรียกไว้คือ "Morphogenetic Field" หรือ "สนามพลังก่อรูปชีวิต" ที่เชื่อว่าเป็นตัวการในการสร้างชีวิต และสร้างลักษณะต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตในระดับตั้งแต่รูปแบบ โครงสร้าง ไปจนถึงอุปนิสัยพฤติกรรม และยังอธิบายต่อไปว่าบทบาทของสนามพลังชีวิตที่ว่านี้ยังมีความเชื่อมโยงกับพลังบางอย่างในจักรวาล และสามารถก่อรูปการเคลื่อนไหวในแบบที่เป็นพลังที่ไม่สิ้นสุด ไม่มีจุดจบ มาถึงตรงนี้ต้องเรียกว่าเริ่มย้อนกลับไปหาความเชื่อเดิมๆ แบบความเชื่อทางศาสนากันอย่างชัดเจน


และในระยะใกล้ๆ กัน นักชีววิทยาอีกสองรายชื่อว่า "ฮัมเบอร์โต มาตูรานา" และ "ฟรานซิสโก วาเรลา" ได้ตัดสินใจ "ฟันธง" ในปี ค.ศ.1970 สรุปเเป็นทฤษฎีว่าด้วยความเป็นมาเป็นไปของสิ่งมีชีวิต เรียกกันว่า "ทฤษฎีซานติอาโก" ใครที่เคยอ่านหนังสือเล่มล่าสุดชื่อว่า "The hidden connections" หรือ "โยงใยที่ซ่อนเร้น" ของ "ฟริดจ็อบ คาปรา" ที่สำนักพิมพ์สวนเงินมีมาเพิ่งจะแปลออกมาวางตลาดเมื่อไม่นานมานี้ก็คงพอได้รับทราบกันไปแล้วถึงเนื้อหาต่างๆ ของทฤษฎีที่ว่านี้ แต่ถ้าหากจะสรุปสั้นๆ กันในช่วงนี้ ก็คือ "คาปรา" ได้อธิบายว่าทฤษฎีซานติอาโกที่ว่านี้ก็คือการชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่า "ความมีชีวิต" นั้นมันเป็นสิ่งที่มีอยู่มาก่อน ก่อนหน้าที่มันจะปรากฏตัวออกมาในลักษณะรูปร่างวัตถุสสารใดๆ ก็ตาม และมันจะดำรงตัวเองอยู่ในสภาพที่เรียกว่า "สำนึกความรับรู้" หรือ "perception" ซึ่งไม่มีรูปร่าง มองไม่เห็นด้วยตา สัมผัสไม่ได้ ซึ่งจะเป็นตัวการหรือเป็นจุดเริ่มต้นในการก่อกำเนิดชีวิตหรือเป็นตัวการนำสสารวัตถุต่างๆ มารวมตัวกันจนเป็น "เซลล์" ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งท่านจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่นักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างฟริดจ็อบ คาปรา นั้น นอกจากจะเชื่ออย่างจริงจังแล้วยังอธิบายความต่อไปอีกว่า "การผูกโยงสิ่งที่เรียกว่าสำนึกแห่งการรับรู้หรืออาจจะเรียกว่าจิตก็ได้ ว่าเป็นกระบวนการที่มาแห่งชีวิต หรือเป็นกระบวนการชีวิตนั้น แม้นว่ามันเป็นความคิดที่อาจจะดูแหวกแนวทางวิทยาศาสตร์ก็ตามที แต่อันที่จริงแล้วปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นญาณทัศนะอันลึกซึ้งที่สุดและเก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ด้วย หรือเป็นสิ่งเดียวกันกับที่มีการเรียกขานในครั้งโบราณว่าดวงวิญญาณ หรือลมปราณแห่งชีวิต"


สุดท้ายกลายเป็นว่าวิทยาศาสตร์ที่พยายามทำลายความเชื่อเดิมๆ ของศาสนาในยุคแรกๆ ต่อมาเมื่อเกิดการพัฒนา เกิดการค้นคว้าใหม่ เพื่อมุ่งไปแสวงหาความจริงกันจริงๆ จังๆ ไม่ใช่เพียงแค่คิดจะสร้างความเชื่อ ก็ได้ย้อนกลับมารองรับความเชื่อทางศาสนากันในท้ายที่สุดจนได้ หรือกำลังพัฒนาไปสู่การยอมรับขึ้นมาอีกครั้งว่ามันยังมี "บางสิ่งบางอย่าง" ในชีวิตที่อยู่นอกเหนือไปจากความเป็นวัตถุสสาร และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้สูญหายไปพร้อมกับการแตกสลายของวัตถุร่างกาย แต่มันยังคงเคลื่อนไหวในแบบไม่สิ้นสุด และยังเชื่อมโยงไปถึงพลังต่างๆ ที่มีอยู่ในจักรวาลอีกต่างหาก ตรงนี้นี่แหละ ใครก็แล้วแต่ที่กฎหมายเอาไม่อยู่ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน และไม่เชื่อกฎแห่งกรรมอีกด้วย ก็น่าที่จะต้องหนาวๆร้อนๆ กันบ้าง อย่างน้อยที่สุดถึงจะรอดกฎหมายไปได้ แต่อาจจะต้องเจอกับกฎแห่งกรรมที่แม้นจะไม่สนองกันในวันนี้พรุ่งนี้ หรือในชาตินี้ก็แล้วแต่ แต่ชาติหน้าตอนสายๆ น่าจะลำบากไม่น้อย


ที่จริงแล้วไม่ได้คิดจะมาทำให้ท่านเชื่อหรือไม่เชื่ออะไรมากมาย แค่พยายามหาอะไรมาแลกเปลี่ยนพอให้เข้ากับบรรยากาศที่กำลังร้อนๆ อยู่ในตอนนี้ ซึ่งต้องขอยอมรับว่าเป็นบรรยากาศที่ไม่ว่าทั้งกฎหมายหรือกฎแห่งกรรมมักจะถูกมองว่าไม่ค่อยสำคัญสักเท่าไหร่ จึงขอสรุปด้วยข้อเขียนของผู้ที่มีความรู้เชี่ยวชาญทางด้านศาสนาที่ได้เขียนไว้ เช่น ข้อเขียนของท่านที่ใช้ชื่อว่า "ไชย ณ พล" ซึ่งเป็นใครก็ไม่ทราบ เพราะไม่มีประวัติบอกไว้ แต่มีงานเขียนเรื่อง "พุทธศาสตร์ว่าด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการ" ไว้นานแล้ว แต่เท่าที่ได้อ่านดูโดยเฉพาะบทสรุปก็ดูจะเข้าท่า ท่านเขียนไว้ว่า…


"หลักการพุทธศาสน์ก้าวไปไกลกว่าวิทยาศาสตร์ตรงที่ว่าเมื่อกายแตกตายไป กระบวนการธรรมชาติมิได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น สภาวะแห่งนามและนามรูปยังอยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นพลังอันประณีตที่มิอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า ประณีตกว่าอะตอมทั้งหลาย ซึ่งการคงอยู่ของสภาวะแห่งนามและนามรูปหลังกายแตกเพราะตายแล้วนั้น มี 3 ลักษณะคือ


1. หากชีวิตได้ผ่านชุดประสบการณ์ เกิดการเรียนรู้มามาก จนกระจ่างกฎเกณฑ์ กลไก และปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างโปร่งปรุ กระทั่งสามารถประเมินผลธรรมชาติได้โดยชัดแจ้งว่ามีความหมายเพียงใด และให้คุณค่าเพียงใด เข้าใจสภาพที่แท้จริงของธรรมชาติว่าไม่เที่ยง มีความบีบเค้นและไม่เป็นตนใดๆ ไร้การยึดถือสิ่งใดๆ ในความมีอยู่เป็นอยู่ทั้งปวง ชีวิตเช่นนี้เป็นชีวิตที่มีดวงใจอันหมดจด เมื่อกายแตกแล้ว จะเข้าสู่สภาวะสุขอันหมดจด สงบระงับและอมตะตลอดกาล ซึ่งเรียกว่าพระนิพพาน อันเป็นวิวัฒนาการสูงสุดแห่งชีวิตจะพึงเข้าถึงได้


2. หากชีวิตใดประสบการณ์น้อย การเรียนรู้ในสายวิวัฒนาการยังไม่เพียงพอ ยังไม่อาจประเมินค่าแท้จริงของโลกได้ เพราะไม่เข้าใจความจริงแท้แห่งธรรมชาติโลก ยังมีความยึดถือในอารมณ์ที่เสพโลก หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลกนี้ที่จะสร้างอารมณ์ให้บังเกิด บุคคลเช่นนี้เมื่อกายแตกตายไปแล้ว นามรูป (สัญญา) ที่บันทึกเจตนานั้นไว้จะยังไม่ดับ วิญญาณจะยังเกาะอยู่กับสิ่งที่เขายึดถือ หน่วงอยู่ในสัญญาตามลักษณะภพ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ และเพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกย่อมเกิด แก่ ตาย เคลื่อน และอุบัติขึ้นอีก (พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ2501 : 26 : 167)


เมื่อบุคคลมีภพ (ภาวะ) อยู่ในใจ เมื่อตายไปแล้ว ใจจึงไปสร้างภพใหม่หลังการตาย ภพใหม่ที่บังเกิดขึ้นนี้เรียกว่ามิติทิพย์ อันประกอบด้วย พรหมโลก เทวโลก ภพเปรต และภพนรก  การจะไปอยู่ในภพใดขึ้นกับว่าเขายึดถือภาวะอารมณ์และความอยากอย่างใดในนามรูป กล่าวคือ


ก. ถ้าบุคคลมีความโกรธ หน่วงยึดอารมณ์ พยาบาทมาก เป็นภาวะอยู่ในใจ เมื่อกายแตกแล้ว นามรูปก็จะไปอยู่ในภพที่มีความโกรธกับเหล่าสัตว์ที่เต็มไปด้วยพยาบาท มีการกระทำต่อกันอย่างโหดร้าย หรือที่เรียกว่านรก


. ถ้าบุคคลมีความโลภ หน่วงยึดอารมณ์กระหายอยาก อย่างไม่ยับยั้งเป็นภาวะอยู่ในใจ เมื่อกายแตกแล้ว นามรูปก็จะไปอยู่ในภพที่เต็มไปด้วยความอดอยาก แห้งแล้ง กันดาร กับสัตว์ที่มีความกระหายอยู่เนืองนิตย์ หิวโหย ทรมานยิ่ง หรือที่เรียกว่าเปรต


ค. ถ้าบุคคลใดมีคุณธรรมงาม มีความละอายต่อความผิด (หิริ) มีความเกรงกลัวต่อโทษภัย ต่อตนและคนอื่นแม้น้อยนิด (โอตตัปปะ) เป็นภาวะอยู่ในจิตใจ เมื่อกายแตก จะไปอยู่ในภพที่เต็มไปด้วยสิ่งดีงาม หาสิ่งเลวทรามแม้น้อยนิดก็ยาก อยู่ร่วมกับผู้มีความสำรวมระวังกันเนืองนิตย์ ที่จะกอปรแต่กิจอันดีงาม เรียกว่าเทวโลก


ง. ถ้าบุคคลใดมีคุณธรรมประเสริฐ ทั้งยังกอปรด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต่อปวงสัตว์  หรือทรงฌานสมาบัติอันมั่นคง เมื่อกายแตก จะไปอยู่ในภาวะที่มีเสถียรภาพสูง แต่ไม่สถาพร เต็มไปด้วยความสงบ เยือกเย็นและอิ่มสุขกับผู้มีคุณสมบัติเดียวกันทั้งหลาย ภาวะนี้เรียกว่าพรหมโลก


นี่คือภพใหญ่ 4 ภพ ที่นามรูปซึ่งยังมีการยึดเหนี่ยวในสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะพึงเข้าถึงหลังการแตกมลายของกายธาตุ…


3. หากชีวิตใด แม้ประสบการณ์และการเรียนรู้ยังไม่มากพอที่จะเข้าใจแจ้งแทงตลอดธรรมชาติแห่งสรรพสิ่ง แต่กำลังเพียรพยายามเรียนรู้อยู่ ทั้งไม่มีคุณสมบัติใดๆ ตามภาวะแห่งใจที่ต้องไปอยู่พรหมโลก เทวโลก ภพเปรต และภพนรก และใจยังหน่วงยึดเหนี่ยวอยู่ในโลกมนุษย์ นามรูปก็จะมาเกิดในโลกมนุษย์อีก โดยเข้าสู่ปฏิสนธิเซลล์ ในขณะที่สัตว์ผู้และสัตว์เมียผสมพันธุ์กัน  แม้บุคคลเช่นนี้จะเกิดในโลกมนุษย์อีก แต่สถานะอาจจะไม่เหมือนเดิมก็ได้ สถานะจะเปลี่ยนแปลงแปรตามสภาวะแห่งจิตใจที่ยึดถือสิ่งใดไว้ในนามรูป…"


เรื่องที่พูดคุยกันนี้ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ ถือว่าเป็นของฝากกันในสัปดาห์แห่งวันสำคัญทางศาสนา ท่ามกลางบรรยากาศระอุอ้าวทางการเมืองที่มีการพูดถึงเรื่องคุณธรรม จริยธรรม และกฎแห่งกรรม กันมากขึ้น .

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net