โดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ภาพเหตุการณ์บ้านเมืองไทยยามนี้ ทำให้นึกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากแผ่นดินบอสเนีย...
ผมเดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศบอสเนีย เฮอเซโควินา ร่วมกับคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วุฒิสภา ประเด็นหลักที่ได้ไปเรียนรู้คือ ปัญหา ผลกระทบ และการฟื้นฟูความขัดแย้งรุนแรงจากสงครามกลางเมืองบนแผ่นดินยูโกสลาเวีย(เดิม) ซึ่งปัจจุบันได้แก่ ประเทศบอสเนีย โครเอเชีย และเซอร์เบียฯ
สิ่งได้ไปสัมผัสและเรียนรู้ ทำให้ผมนึกถึงแผ่นดินไทยด้วยความรู้สึกเย็นเฉียบหัวใจ
เดิม "บอสเนีย" อยู่บนแผ่นดินในชื่อประเทศ "ยูโกสลาเวีย" จนกระทั่งเมื่อสิบกว่าปีมานี้เอง ประเทศยูโกสลาเวียก็แตกสลาย เกิดความขัดแย้งทางการเมือง เกิดเป็นประเทศบอสเนียและประเทศอื่นๆ และเกิดสงครามกลางเมืองยืดเยื้ออย่างรุนแรง
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เป็นปัญหามาจากการขัดแย้งทางการเมืองเป็นหลัก โดยเมื่อตั้งประเทศขึ้นมาใหม่ ก็มีกลุ่มผลประโยชน์และคนที่มีอำนาจในขณะนั้น ต่างพยายามแย่งชิงอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ กระทั่งมีการปลุกปั่นสังคม และแบ่งแยกประชาชนในประเทศให้เป็นฝักเป็นฝ่ายขึ้นมาสนับสนุนหรือเป็นฐานอำนาจและความชอบธรรมให้แก่ตัวเอง
นักการเมืองและนักการทหารที่อยากยึดครองอำนาจ ได้ใช้ "เชื้อชาติที่แตกต่าง" และ "ศาสนาที่แตกต่าง" เป็นเครื่องมือในการสร้างขุมกำลังของตนเอง แบ่งแยกประชาชน และสร้างความแตกแยกให้แก่ประชาชนที่เคยอยู่ร่วมกันมา เกิดเป็นกลุ่มต่างๆ ๓ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่มีเชื้อชาติโครแอต กลุ่มผู้นับถือศาสนาอิสลาม และกลุ่มชาวเซิร์บฯ
ต่อมา นักการเมืองและนักการทหารที่ต้องการอำนาจ ก็ได้ใช้กองทัพฝ่ายที่สนับสนุนตน และปลุกระดมให้ประชาชนที่ถูกแบ่งแยกให้เข้ากลุ่มเป็นพวกของตนแล้วนั้น ลุกขึ้นมาประหัตประหาร เข่นฆ่ากัน ยิงกันกลางเมือง ฆ่ากันกลางภูมิประเทศที่สวยงาม
ในที่สุด ประชาชนธรรมดาทั่วๆ ไป ก็ถูกติดอาวุธ ให้กลายเป็นทหารของประชาชน(ฝ่ายของตน) ลุกขึ้นมาฆ่าคนที่เคยอยู่ร่วมเมืองกันเอง เคยอยู่ร่วมถนน เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน เพียงแต่มีเชื้อชาติหรือนับถือศาสนาที่แตกต่างกัน
สงครามกลางเมือง ที่ประชาชนลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากันเอง ทำให้ประเทศบอสเนีย ที่เคยมีคนราว ๔.๕ ล้านคนก่อนสงคราม เหลือเพียงครึ่งหนึ่ง หรือประมาณ ๒-๓ ล้านคน เพราะจำนวนหนึ่งตายไปในสงคราม และคนที่เหลือก็อพยพหนีภัยสงคราม หญิงจำนวนมากเป็นหม้าย เด็กจำนวนมากกลายเป็นลูกกำพร้า และพ่อแม่จำนวนมากสูญเสียลูกชายและลูกสาวไปในระหว่างสงคราม
ปัจจุบัน ในบอสเนีย โดยเฉพาะที่เมืองหลวง "ซาราเยโว" และเมือง "มอสทาร์" เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องที่มีรอยกระสุนปืนกัดกินผนังตึกอยู่โดยทั่วไป ตึกจำนวนมากถูกระเบิดทำลาย ถูกไฟเผา เหลือเป็นซากตึก
น่าสะเทือนใจที่สุด คงเป็น "สุสาน" ที่ฝังศพของคนตายในสงคราม ทั้งผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม และผู้ที่มีเชื้อชาติโครแอต โดยในเมืองมีสุสานอยู่เกือบทุกย่าน บ้านจำนวนมากมีหลุมฝังศพอยู่หน้าบ้าน
หากมองอย่างเกิดสติ ก็จะเข้าใจว่า ที่นี่ คนตายไปยังคงอยู่ อยู่เพื่อตักเตือนคนเป็นว่า อย่าได้ใช้ความรุนแรงต่อกันอีกเลย
ปัจจุบัน การเมืองในบอสเนีย ยังต้องมีประธานาธิบดีถึง ๓ คน เพื่อเป็นตัวแทนของแต่ละฝ่ายที่แตกแยกกันในสงครามกลางเมือง
ผมสนทนากับผู้แทนของสหภาพยุโรปในบอสเนีย เขาระบุยืนยันชัดเจนว่า ความขัดแย้งและความไม่สงบในบอสเนียมีสาเหตุมาจากการเมือง การแย่งชิงอำนาจเป็นเรื่องหลัก โดยที่มีการใช้ "ศาสนา" และ "เชื้อชาติ" เป็นเครื่องมือเท่านั้น และเตือนด้วยความห่วงใยว่า ขออย่าให้ปัญหาบ้านเราซ้ำรอยอย่างนั้น
ทุกวันนี้ สงครามผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว แต่ "บาดแผล" ของสงครามกลางเมืองในบอสเนียก็ยังไม่ลบเลือน
ผมเขียนข้อเขียนนี้ ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงบ้านเมืองของเราอย่างยิ่ง...
แม้สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองของเราในอนาคตอันใกล้ จะยังไม่ปรากฏชัด แต่การบ้านการเมืองยามนี้ กำลังส่อว่าจะนำไปสู่ความแตกแยกของคนในสังคม เมื่อประชาชนลุกฮือขึ้นขับไล่ทักษิณ-ผู้มีอำนาจ ในขณะเดียวกัน ในฝ่ายของ "ทักษิณ" ที่ยึดกุมอยู่ทั้งอำนาจรัฐและอำนาจทุน เกิดการปลุกปั่นและจัดตั้งมวลชนขึ้นมาปะทะคะคานกับฝ่ายที่ต่อต้านการอยู่ในอำนาจของทักษิณ
เกิดกระบวนการบิดเบือนประเด็นปัญหาของสังคม โดยพยายามจะแอบอ้างเอาผลการเลือกตั้งขึ้นมาใช้แทนการตรวจสอบข้อเท็จจริงในข้อกล่าวหาของประชาชนผู้ขับไล่ทักษิณ โดยไม่คำนึงว่า ข้อกล่าวหาต่างๆ ที่เกี่ยวพันกับทักษิณโดยตรงนั้น ล้วนเป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์ ตัดสินและลงโทษด้วยหลักการ หลักความถูกต้อง หลักกฎหมาย และหลักจริยธรรมของสังคม ไม่ใช่เรื่องที่จะมาตัดสินด้วยการลงมติว่าใครพวกมากกว่าหรือน้อยกว่า
น่าเป็นห่วงว่า ความกลัวที่จะออกจากอำนาจของคนๆ เดียว กลัวว่าจะถูกยึดทรัพย์ กลัวว่าจะถูกขุดคุ้ยสอบสวนเอาผิด จะนำไปสู่ขบวนการปลุกระดมประชาชนขึ้นมาขัดแย้งกันเอง สร้างกระแสด้วยความคิดที่คับแคบว่าถ้าขาดทักษิณแล้วใครจะมาดูแลบ้านเมือง จัดซื้อจัดจ้างและระดมประชาชนเข้ามาสนับสนุนด้วยผลประโยชน์เฉพาะหน้า และในอนาคต จะนำพาบ้านเมืองเข้าไปสู่สถานการณ์แบบใด
ผมไม่อยากจะนึก
วันนี้ จึงขอแค่นึกถึงอนุสติจากบอสเนีย และเล่าสู่กันฟังเพียงเท่านี้ก่อนครับ
หากเหตุการณ์ในประเทศไทยลุกลาม จากการที่คุณทักษิณผู้มีอำนาจนายกรัฐมนตรีปลุกกระแสผู้คนขึ้นมาเป็นสองฝ่ายเพื่อเอาชนะ แล้วเกิดความขัดแย้งแตกแยกรุนแรงอย่างเช่นประเทศบอสเนีย เฮอเซโควินา
ทักษิณ พจมาน ชินวัตร และพรหมินทร์ เลิศสุริยเดช จะต้องเป็นคนรับผิดชอบ.
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)