Skip to main content
sharethis

 


คำฟ้อง พันตำรวจโททักษิณ เกี่ยวกับการใช้อำนาจโดยไม่ชอบ เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง


 


ข้าแต่ศาลที่เคารพ เป็นที่ทราบกันดีว่าระบบการเมืองการปกครองสมัยใหม่นั้นได้ออกแบบให้ผู้นำประเทศนั้นจะต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ จะต้องมีการแยกผลประโยชน์ของตนออกจากผลประโยชน์ของประเทศชาติ เพื่อที่จะให้ผู้นำประเทศนั้นได้ตั้งใจทำงานในหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ดังนั้นผู้นำประเทศคนใดที่ไม่สามารถแยกผลประโยชน์ทั้งสองออกจากกันได้ จึงไม่มีความชอบธรรมที่จะดำรงตำแหน่งในฐานะผู้นำของประเทศได้อีกต่อไป


 


ในการบริหารแผ่นดินของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ตลอดห้าปีที่ผ่านมานั้น นอกจากท่านจะไม่สามารถให้ประชาชนทั้งประเทศคลายความสงสัยในผลประโยชน์จำนวนมหาศาลที่ท่านมีว่าจะสามารถแยกออกจากผลประโยชน์ของประเทศชาติได้ ซ้ำร้ายทั้งยังแสดงให้เห็นโดยพฤติกรรมที่ผ่านมาอยู่ตลอดเวลาว่าท่านจงใจใช้อำนาจหน้าที่ที่ท่านมีในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศในการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มธุรกิจของตนเอง ญาติพี่น้องและพวกพ้องเป็นจำนวนมหาศาล พฤติกรรมที่ว่านี้เป็นการกระทำที่สลับซับซ้อน มีการวางระบบกลไกทางกฎหมายให้สอดคล้องและเอื้อประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของท่านจนยากที่ชาวบ้านทั่วไปจะเข้าใจได้ นอกจากนี้ยังได้ทำลายกลไกในการตรวจสอบทั้งหลายที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นๆบัญญัติขึ้น จนไม่อาจที่จะนำพฤติกรรมการกระทำผิดเหล่านั้นมาตรวจสอบจนนำไปสู่การนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้


 


ข้าแต่ศาลที่เคารพ สถาบันตุลาการเป็นสถาบันสุดท้ายที่ประชาชนทั่วไปรวมถึงข้าพเจ้าฝากความหวังไว้ว่าจะเป็นสถาบันที่คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ ยุติธรรม และรักษาไว้ซึ่งความถูกต้อง เที่ยงตรงของระบบกฎหมาย ข้าพเจ้าจึงได้นำคดีมาฟ้องร้องต่อท่าน ขอให้วินิจฉัยว่าการกระทำของนายกรัฐมนตรีดังต่อไปนี้เป็นการกระทำที่เป็นความผิดในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจโดยมิชอบเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง


 


กรณีที่ 1 พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ใช้อำนาจในฐานะผู้นำเสียงข้างมากในรัฐสภาผลักดันให้มีการตราพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 2) เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มบริษัทของตนเอง เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการที่บริษัทในเครือชินวัตรต้องการที่จะขายหุ้นให้กับกองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ ซึ่งในกรณีดังกล่าวทำให้ท่านได้ประโยชน์ไปเป็นจำนวนมหาศาล


 


กรณีที่ 2 พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ใช้อำนาจหน้าที่เพื่อให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มีมติให้กับกิจการที่ท่านเป็นเจ้าของ ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งในกรณีดังกล่าวทำให้ท่านปลอดพ้นจากหน้าที่ในการเสียภาษีเป็นจำนวนหลายหมื่นล้านบาท ทั้งมติดังกล่าวยังมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายอื่นที่ทำให้ไม่สามารถเข้ามาแข่งขันในกิจการที่ท่านดำเนินการอยู่ได้จนเป็นที่เกรงกลัวกันว่าจะมีการผูกขาดในกิจการโทรคมนาคมซึ่งเป็นผลประโยชน์ของคนทั้งประเทศ ซึ่งกรณีดังกล่าวจะเป็นผลเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ


 


กรณีที่ 3 การดำเนินการสายการบินไทยแอร์เอเชีย ของนายกรัฐมนตรีและครอบครัวนั้นมีพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่ามีการใช้อำนาจหน้าที่ในการเอื้อประโยชน์ให้สายการบินดังกล่าว ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินการของสายการบินไทย ผลประโยชน์ที่ว่านี้เป็นผลประโยชน์ทั้งในเรื่องของภาษี สิทธิพิเศษต่างๆ เรื่องเส้นทางการบิน ที่ให้ประโยชน์โดยตรงต่อสายการบินไทยแอร์เอเชีย


 


นอกจากนี้การขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นนั้น ยังมีพฤติกรรมที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนในการพยายามที่จะรักษาความเป็นบริษัทสัญชาติไทยของสายการบินไทยแอร์เอเชียโดยการปรับเปลี่ยนตัวผู้ถือหุ้น โดยที่ไม่ได้ทำให้สังคมคลายความสงสัยว่าแท้จริงแล้วใครยังเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวล่อแหลมต่อการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวและกฎหมายว่าด้วยการบินพาณิชย์


 


กรณีที่ 4 กรณีการดำเนินการของสถานีโทรทัศน์ ไอทีวี ที่เป็นที่สงสัยของประชาชนโดยทั่วไปว่ากรณีคำวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการในกรณีสัญญาทางปกครอง(สัญญาสัมปทาน)ที่ให้ประโยชน์อย่างมหาศาลต่อไอทีวีนั้น เป็นการเอื้อประโยชน์โดยตรงต่อการเข้าซื้อหุ้น ไอทีวีของกลุ่มชินวัตรใช่หรือไม่


 


กรณีที่ 5 ความพยายามในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร นั้นมีความผิดปกติในการพยายามแปรูปรัฐวิสาหกิจที่มีกำไร เพื่อให้มีการกระจายหุ้นไปยังตนเองและพวกพ้องให้เข้ามามีส่วนร่วมในกำไรจำนวนมหาศาลที่รัฐวิสาหกิจเหล่านั้นดำเนินการได้ในแต่ละปี การดำเนินการดังกล่าวขัดต่อหลักการทั่วไปในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เป็นกรณีที่เห็นได้ชัดว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนและพวกพ้อง


 


ข้าแต่ศาลที่เคารพ พฤติกรรมที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเพียงตัวอย่างของผลประโยชน์ที่แยกกันไม่ออกระหว่างประโยชน์ของผู้นำประเทศกับผลประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งเป็นการกระทำที่ทำให้พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ไม่สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศได้อีกต่อไป เพราะขาดคุณสมบัติในเรื่องความเป็นผู้มีผลประโยชน์ทับซ้อน ข้าพเจ้าจึงขอให้ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งเพราะขาดคุณสมบัติ และลงโทษในกรณีที่ได้กระทำผิดต่อกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อรักษาไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของกฎหมาย รักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และที่สำคัญรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของประเทศชาติและความหวังของประชาชนทั้งประเทศ


 


ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net