Skip to main content
sharethis


ภาพจาก www.manager.co.th


 


วันที่ 12 มีนาคม 2549 หรือวันครบรอบ 2 ปีที่นายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความนักสิทธิมนุษยชนถูกทำให้หายไป โดยศาลชั้นต้นมีความเชื่อและตัดสินไปแล้วเมื่อวันที่ 12 มกราคม ที่ผ่านมาว่า เป็นฝีมือของ "ตำรวจ" อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังสาวไปไม่ถึง "ไอ้โม่ง" ที่อยู่เบื้องหลัง และทนายสมชายก็ยังไม่ได้กลับบ้าน


 


ในโอกาสครบรอบความอัปยศของวงการยุติธรรมไทยนี้ "ประชาไท" จึงขอเข้าไปเยี่ยมเยือนบ้านของทนายสมชาย และได้พบปะกับ อังคณา นีละไพจิตร ภรรยาซึ่งเป็นผู้ได้รับผลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อนนี้โดยตรง


 


อังคณา ได้เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัว นีละไพจิตร อย่างคร่าวๆ ด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงราบเรียบ ทั้งๆ ที่เรื่องที่เธอกำลังพูดถึงนั้น ล้วนเป็นเรื่องที่หนักและเจ็บปวดสำหรับการที่ผู้หญิงคนหนึ่งต้องแบกรับทั้งสิ้น


 


จากนั้นได้ถามถึงความหวัง และก้าวต่อไปของเธอในการทวงถามหาความยุติธรรมเพื่อนำสามีกลับบ้าน


 


คำตอบจากประสบการณ์ 2 ปี ที่ไม่มีทนายสมชายอยู่เคียงนี้อยู่เบื้องล่างนี้


 


0 0 0


 


วันที่ 12 มีนาคม 2549 จะเป็นวันครบรอบ 2 ปีการหายตัวไปของคุณสมชาย นีละไพจิตร เหตุการณ์นี้ทำให้จากผู้หญิงที่เคยเป็นเพียงแม่บ้านคนหนึ่งต้องมาต่อสู้และเผชิญกับสถานการณ์แทบทุกแบบ เคยท้อบ้างไหม


ไม่เคยท้อเลยกับการที่จะต้องหาความจริง มันจะเป็นกำลังใจให้เราต้องทำงานให้หนักขึ้น ยิ่งไม่ได้รับความเป็นธรรม ยิ่งต้องมุมานะพยายามให้มากขึ้น เพราะการที่ได้มีโอกาสทวงถามความเป็นธรรมให้คุณสมชายถือว่าเป็นกำลังใจและความมุ่งหวังหนึ่งในชีวิต


 


คุณสมชายคล้ายกับเป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรมในสังคมยุคนี้ไปแล้ว แต่สำหรับครอบครัวคุณสมชายเห็นคุณสมชายในความหมายไหน


เวลาที่คุณสมชายได้ออกไปช่วยเหลือคนที่ทุกข์ยาก ครอบครัวก็กลายเป็นผู้ลิ้มรสของความทุกข์ยากนั้นไปด้วย เพราะทุกคนในครอบครัวต้องเสียสละ อดทน เผชิญกับการคุกคามมาโดยตลอด สิ่งสิ่งที่คุณสมชายเหลือไว้ให้คือความอดทน และการที่เรายืนอยู่ได้ด้วยขาของตัวเองในวันนี้ ถือว่ามันมีค่า


 


ลูกแต่ละคนเคยบ่น หรือบอกให้พอบ้างไหม เพราะต้องเจออะไรกันเยอะมาก


ไม่มีลูกแม้แต่คนเดียวที่จะถามว่า ทำไมเราถึงต้องถูกคุกคาม ทำไมเราถึงต้องมีชีวิตอยู่กับความไม่ปลอดภัย ทุกคนจะคิดอย่างเดียวกันว่า พ่อช่วยคนอื่นมาตั้งเยอะแล้ว ทำไมเราจะทำอย่างนั้นเพื่อพ่อบ้างไม่ได้ ตรงนี้ก็ต้องยอมรับและนับถือน้ำใจของลูกทุกคนที่เสียสละมาโดยตลอด       


 


เคยโดนข่มขู่ กลั่นแกล้งกันมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งลูกๆด้วย


ลูกๆยังไม่เคยโดน ส่วนใหญ่จะโดนกับตัวเองตลอด ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ หรือมีคนมาที่บ้าน สุดท้ายก็เป็นวันที่ไปฟังคำพิพากษาคดี ไฟที่หน้ารถถูกทุบ ไม่เป็นไรก็ชินไปแล้ว


 


ทำอย่างไรจึงเกิดความชินจนกับภาวะแบบนี้ได้


มันคงเป็นความชิน เคยโดนมาแม้กระทั่งสมัยที่คุณสมชายยังอยู่ คือตัวเองพาลูกไปหาหมอ กลับมาก็เที่ยงคืนก็มีผู้ชายมายืนมองติดหน้าบ้านเลย ผิดปกติสำหรับคนยืนมองธรรมดา ก็เข้าไปถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม คุณสมชายพอทราบก็ถามว่าไปพูดกับเขาทำไม


 


ถามว่ากลัวไหม สิ่งที่เรามีคือความบริสุทธิ์ใจ ไม่เคยสร้างศัตรูหรือคิดร้ายกับใคร ก็คงต้องย้อนกลับมาถามตัวเองว่า ไอ้ความกลัวนั้นเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเองหรือไม่ หรือใครมาทำให้เรากลัว แล้วมักจะตอบตัวเองเสมอว่า ถ้าเราคิดว่าเรากลัว เราก็ต้องอยู่กับมัน แล้วเราก็เป็นทาสมัน เราก็จะทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเราคิดว่ามันจะเกิดอะไร เราก็ทำหน้าที่ของเราไป แล้วก็พบว่า เราก็ทำได้อย่างสบายใจ ทุกวันนี้ก็ใช้ชีวิตสบายๆ ไม่กดดัน ยิ่งทำแล้วสุขใจก็ไม่เชิง มันเหมือนกับเราได้ทำหน้าที่ ดีกว่าอยู่เฉยๆ ซึ่งจะเป็นทุกข์มากกว่า


 


งานที่ทำดูจะคล้ายๆ กับงานที่คุณสมชายทำ มันทำให้นึกถึงคุณสมชายตลอดเวลาไหม


คุณสมชายทั้งชีวิตทำเพื่อคนอื่น แต่เราทำเพื่อคุณสมชาย สิ่งสำคัญคือ ทำให้คนในสังคมรู้ว่าตัวตนของคุณสมชายคืออะไร จุดมุ่งหมาย ความมุ่งมั่นคืออะไร ถามว่าเศร้าไหม ก็เตรียมชีวิตมานาน เพราะชีวิตของนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนหาใครที่พบกับความสะดวกสบายแทบไม่มี บางคนไม่มีที่ซุกหัวนอน บางคนถูกไล่ล่า บางคนเสียคนที่รัก บางคนเสียชีวิต


 


เลยซึมซับสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอด มาถึงวันหนึ่งที่มันเกิดขึ้นกับตัวเองก็อยู่กับมันได้ แม้ไม่มีความสุขใจ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ใจ


 


ต้องอยู่กับความรู้สึกแบบนี้มาจนกระทั่งมีการตัดสินจำเลยหนึ่งคนว่าเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคุณสมชาย เมื่อสองเดือนก่อน รู้สึกมีความหวังมากขึ้นไหม


ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวออกมาก็ได้รับคำสบประมาทตลอดว่า จะได้อะไร สู้ไปก็แพ้ คุยกับลูกๆ ตลอดว่าเราออกมาสู้ ส่วนหนึ่งเราต้องเสียนะ ญาติพี่น้องไม่มีใครเขายอมมาถูกคุกคามกับเราด้วย เราต้องเสียญาติพี่น้อง เราต้องเสียเพื่อนบางคนไป เราจะอยู่ได้ไหม แต่เราจะได้มีส่วนทวงถามความเป็นธรรมให้พ่อ ซึ่งทุกคนตอบว่ายินดีสนับสนุน ตรงนี้สามารถทำให้ทำอะไรต่อมิอะไรได้โดยไม่กังวล


 


คดีคืบหน้าแค่ไหน หลังจากศาลตัดสินเมื่อวันที่ 12 มกราคม


ตำรวจโยนทุกสิ่งทุกอย่าง ครั้งแรกตอนคดียังอยู่ในศาล ตำรวจก็บอกให้ไปถามศาล วันนี้ศาลโยนปัญหากลับมาให้รัฐบาล ไปถามตำรวจว่า คำพิพากษาที่ระบุว่า พ.ต.ท.เงิน ทองสุข กับพวกอีก 3 - 5 คน คือจำเลยที่ 2 - 5 ใช่หรือไม่ ตำรวจก็บอกว่า ตอนนี้คดีอยู่ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว ก็ต้องไปถามเอง


 


ทุกวันนี้ยังคิดว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษที่มีผู้บังคับบัญชาระดับสูงเป็นเจ้านายเก่าของจำเลยทั้ง 5 มาก่อนจะให้ความโปร่งใสเป็นธรรมได้แค่ไหน


 


กรมสอบสวนคดีพิเศษทำคดีนี้ต่อโดยประสานกับคุณอังคณาแค่ไหน มีทิศทางที่พยายามมากขึ้นหรือไม่


ทราบมาว่า 6 เดือนแรก กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ได้ทำอะไรเลย จึงไม่รอและได้ยื่นหนังสือไปทางรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมเพื่อถามความคืบหน้า จากนั้นจึงทราบว่าได้เริ่มมีการทำงานมากขึ้น


 


ช่วงที่กรมสอบสวนคดีพิเศษรับคดีนี้ ตรงกับช่วงที่ได้ไปร้องเรียนกับกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติที่เจนีวา กรมสอบสวนคดีพิเศษก็รับคดีนี้ในวันนั้นเอง


 


ผ่านมาถึงวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้พูดอะไรหลายๆ อย่างเช่นว่า มีพยานแวดล้อมที่บอกว่าคุณสมชายเสียชีวิต ท่านน่าที่จะได้รับข้อมูลบางอย่าง แต่ถามว่าวันนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษที่มีสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ ได้ใช้นิติวิทยาศาสตร์ในการคลี่คลายคดีหรือไม่ เท่าที่ทราบยังไม่มีเลย


 


ดังนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่า เหตุการณ์ผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้วจะไม่เกิดอีก เช่นในขั้นของศาลชั้นต้นมีการส่งหลักฐานการใช้โทรศัพท์ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานสำคัญที่สุดของคดี กลับเป็นเอกสารซึ่งไม่มีใครรับรองความถูกต้อง เป็นเอกสารที่มีการขีดฆ่า ขูดลบ และไม่มีเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่มายืนยันเอกสารนี้ จึงทำให้เอกสารนี้ขาดความน่าเชื่อถือ


 


ทางศาลชั้นต้นคล้ายเปิดทางว่ามีจำเลย 1 คนเป็นผู้พาตัวคุณสมชายไป จึงน่าจะขยายผลได้ง่ายขึ้น แต่ทำไมคดียังไม่คืบหน้า แล้วทางคุณอังคณาจะก้าวต่ออย่างไร


เราเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่เกือบทุกคนจะรู้ว่าใครเป็นคนทำ แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังคุณสมชายถูกผลักขึ้นรถ คุณสมชายถูกนำไปที่ไหน แล้วขณะนี้คุณสมชายอยู่ในสภาพไหน


 


แต่อยู่ที่ว่าจะทำอะไรเพื่อให้ความเป็นธรรมหรือไม่ เพราะที่ได้ฟังมาตลอดคือ ไม่มีพยานหลักฐาน คำนี้หมายความว่าไม่มีการหาพยานหลักฐานใช่หรือไม่


 


ตอนนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษทำงานมาได้ระยะหนึ่ง ถามว่ามีการใช้หน่วยงานนิติวิทยาศาสตร์ไปหาข้อมูลในจุดซึ่งมีการระบุการใช้โทรศัพท์สุดท้ายของ 5 ผู้ต้องหาที่จังหวัดราชบุรีหรือไม่ มีหน่วยงานนิติวิทยาศาสตร์ลงไปดูพื้นที่หรือไม่ ก็ไม่มี แล้วกรมสอบสวนคดีพิเศษทำคดีในส่วนนี้อย่างไร เพราะกรมต้องทำคดีหลังจากที่คุณสมชายถูกนำตัวขึ้นรถแล้ว


 


จากคำพูดของนายกรัฐมนตรีหลังวันตัดสินของศาลชั้นต้นในทำนองว่ารู้หมดแล้ว และเรื่องนี้จะคลี่คลายได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่ก็เกินมาแล้ว ทางคุณอังคณาจะมีวิธีการกดดันหรือไม่


ทีแรกคิด แต่ว่าช่วงนี้การเมืองไทยยังไม่รู้จะออกมารูปแบบไหน สมมติไปถามนายกฯ เขาก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินอะไรได้ เพราะเป็นแค่นายกฯรักษาการ จะมีคำสั่งคงไม่ได้


 


คงทำได้เพียงเคลื่อนไหวภาคประชาสังคม จากคำให้การของประจักษ์พยานตอนเกิดเหตุมีรถเมล์ผ่าน แล้วต้องเบี่ยงหัวออกเพราะมีรถจอดอยู่ 2 คัน คนบนรถต้องเห็นแน่ แล้วจะมีสักคน สองคนหรือไม่ยินดีมาเป็นประจักษ์พยาน เพื่อชี้ตัวผู้กระทำผิดได้มากขึ้น ตรงนี้อาจจะทำการเคลื่อนไหวเพื่อขอความช่วยเหลือจากภาคประชาชนด้วย


 


เวลานี้อาจจะคาดหวังได้น้อยลง เพราะเวลามันผ่านมานานจนข้อมูลอาจคาดเคลื่อนได้


แน่นอน คือจริงๆ แล้วเราควรรีบเร่ง แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเหมือนกับมีการยืดเวลามาโดยตลอดในคดีนี้ เหมือนกับเป็นความจงใจที่ให้เนิ่นนาน เช่น ทำไมกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงมีมติรับคดีนี้หลังจากคุณสมชายหายไปแล้วไม่ต่ำกว่าปีครึ่ง


 


ทั้งๆ ที่เมื่อรู้ว่าคุณสมชายมีเรื่องกับตำรวจ องค์กรที่คิดว่าเป็นกลางไม่เข้ามาทำคดีนี้อย่างจริงจัง อย่างคดีที่มีการพบศพมากมายที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ทำไมกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงคลี่คลายคดีได้ ทำไมจึงให้หน่วยงานนิติวิทยาศาสตร์ลงไปหาเบาะแสได้ หากเทียบกับคดีคุณสมชายซึ่งรับมาก่อนทำไมจึงไม่ทำเช่นนั้นบ้าง เป็นการเลือกปฏิบัติหรือพยายามปกป้องใครหรือไม่


 


คำถามสุดท้ายอาจดูนอกเรื่อง หากคุณทักษิณ ลาออกจากการเป็นนายกฯรักษาการทิศทางคดีจะคลี่คลายหรือไม่ ที่ต้องถามเพราะภาพของคุณทักษิณเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในภาคใต้ที่แรงขึ้นและเขาเป็นผู้ควบคุมอะไรบางอย่างได้


เชื่อว่าน่าจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เนื่องจากคุณทักษิณเป็นตำรวจ และในยุคที่เข้ามาเป็นนายกฯเราก็เจอความรุนแรงมากมาย มีคนหาย มีคนถูกประหารชีวิตนอกระบบเป็นพันคนในสงครามยาเสพติด


 


ตรงนี้แม้คุณทักษิณจะบอกว่าไม่ชอบ และไม่ยุ่งกับความรุนแรง แต่วิธีคิดของตำรวจ การอุ้มฆ่า การวิสามัญฆาตกรรมสิ่งเหล่านี้มีอยู่ ปฏิเสธไม่ได้ และเชื่อว่าถ้าคุณทักษิณยอมเสียสละและถอยออกไป หลายๆ สิ่งซึ่งเคยดำมืดน่าจะคลี่คลายได้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net