ประเวศ วะสี
๑๖ มีนาคม ๒๕๔๙
"แล้วมันจะจบลงอย่างไร"
เป็นคำถามที่ได้ยินมากที่สุด เพราะมองไม่ออกว่าวิกฤตการณ์การเมืองในปัจจุบันจะยุติลงอย่างไร บางคนก็เรียกร้องให้สามัคคี ให้ปรองดองกัน ให้สมานฉันท์ ให้ถอยคนละก้าว เหล่านี้เหมือนคำอธิษฐานที่ยากจะเป็นไปได้ เพราะความสงบเรียบร้อย ความสามัคคี และความสมานฉันท์จะมีได้ต่อเมื่อมีความถูกต้อง
ถ้าความไม่ถูกต้องยังดำรงอยู่ การเรียกร้องความสามัคคี นอกจากไม่ได้ผลแล้ว ยังเหมือนเป็นการสนับสนุนให้ความไม่ถูกต้องดำรงอยู่ต่อไป
ประเด็นคือนายกรัฐมนตรีถูกกล่าวหาด้วยข้อหาที่ฉกรรจ์ ว่าขาดความสุจริต หาประโยชน์เข้าตัว ด้วยการหลีกเลี่ยงกฎหมาย โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของชาติ
นักการเมืองใด ๆ อาจถูกกล่าวหาด้วยข้อหาร้ายแรงได้ แต่ระบบจะพยายามวางทางออกที่การมีกลไกอิสระต่างๆ ที่น่าเชื่อถือเข้ามาสืบสวนสอบสวน แต่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจและเงินเข้าครอบงำแทรกแซงองค์กรอิสระจนหมดสิ้น จนองค์กรต่าง ๆ เหล่านั้นหมดศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือ ทำให้ปิดทางออกที่ควรจะมี
อีกวิธีหนึ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีถูกกล่าวหาด้วยเรื่องร้ายแรงคือตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาสอบสวนนายกรัฐมนตรี ดังกรณีที่เมื่อมากาเร็ตแธชเชอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ถูกกล่าวหาว่ากระหายเลือด นำคนอังกฤษไปตายในสงครามโฟคแลนด์ แธชเชอร์ได้ตั้งลอร์ดแฟรงค์ซึ่งคนอังกฤษเขานับถือกันว่าเป็นกลางอย่างยิ่ง มาเป็นประธานสอบสวนนายกรัฐมนตรี มีอำนาจในการเรียกเอกสารและบุคคลมาให้การได้อย่างเต็มที่ รายงานของลอร์ดแฟรงค์ทำให้ประเด็นนี้ตกไป ผมเคยเสนอให้นายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางขึ้นมาสอบสวนนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นทางออก แต่ทางนี้ก็ถูกปิด และสถานการณ์ได้เลยเรื่องนี้ไปแล้ว
เมื่อไม่มีทางออกอย่างอื่น จึงเกิดการชุมนุมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ที่พัฒนามาเป็นเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือเรียกกันว่า การเมืองภาคประชาชน การเมืองภาคประชาชนเป็นสิ่งที่ทั้งถูกกฎหมายและถูกต้อง เพราะลำพังการเมืองของนักการเมือง ต่อให้ดีอย่างไร ก็ยากทีจะถูกต้อง ถ้าปราศจากการเมืองภาคประชาชนคอยติดตามกำกับตรวจสอบ เนื่องจากศีลธรรมจะต้องเป็นหลักของแผ่นดิน การเมืองภาคประชาชนจะต้องเป็นพลังทางศีลธรรม
นายกรัฐมนตรีก็ยืนยันแข็งขันว่า "ไม่ยุบสภาไม่ลาออก"
แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจยุบสภาเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ โดยหวังว่าจะเป็นการออกจากวิกฤต ที่เรียกว่าคืนอำนาจให้ประชาชน แต่ก็นำไปสู่วิกฤตการณ์การเลือกตั้ง ต่อไป เพราะพรรคฝ่ายค้านคว่ำบาตรการเลือกตั้ง
การแข่งขันใด ๆ ต้องมีความยุติธรรม จึงจะเป็นการแข่งขัน
ความยุติธรรมคือคู่แข่งจะต้องมีความใกล้เคียงกันในทุก ๆ ทาง ไม่ใช่ไปเอาผู้ใหญ่กับเด็กมาแข่งกัน เอาเศรษฐีกับยาจกมาแข่งกัน เอาช้างกับมดมาแข่งกัน
ในขณะที่กลุ่มทุนใหญ่ที่มารวมตัวกันเป็นพรรคไทยรักไทยมีทุนเป็นแสนๆ ล้านเปรียบเหมือนช้าง ปชป. ชาติไทย มหาชน นั้นถ้ามีทุนบ้างก็คงน้อยเต็มที ทรท. ยังถืออำนาจรัฐอยู่ด้วย และไม่มีความน่าเชื่อถือใด ๆ ว่าจะไม่ใช้อำนาจรัฐเอาเปรียบคู่ต่อสู้
เมื่อทุนใหญ่ถืออำนาจรัฐ - ชนะเลือกตั้ง - เป็นรัฐบาล - สูบผลประโยชน์ทำให้ทุนของตัวใหญ่ขึ้น - เลือกตั้ง - เป็นรัฐบาล - สูบผลประโยชน์ทำให้ทุนของตัวใหญ่ขึ้น......
ทำให้เกิด "วงจรอุบาทว์แห่งการเลือกตั้ง" แต่เรียกมันว่ากติกาประชาธิปไตย พรรคฝ่ายค้านจะรู้ดีที่สุดว่าขืนเข้าไปสู่วงจรอุบาทว์แห่งการเลือกตั้ง เขาต้องหมดเนื้อหมดตัว ล้มละลายแน่ เขาจึงบอยคอตหรือคว่ำบาตรการเลือกตั้ง ทำให้การเลือกตั้งกลายเป็นเรื่องโจ๊กไป
การเลือกตั้งจึงแก้ปัญหาไม่ได้ด้วยประการฉะนี้
สมมติว่าลากไปถึงการเลือกตั้งในวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๙ ได้ แน่นอนว่า ทรท. ได้รับการเลือกตั้ง แต่อาจตั้งรัฐบาลไม่ได้ หรือตั้งได้ก็ทำหน้าที่ไม่ได้ เพาะคนที่เกลียดและไม่เชื่อถือไว้วางใจคุณทักษิณ ประกอบไปด้วย นักศึกษา คณาจารย์ สื่อมวลชน ชนชั้นกลาง ข้าราชการที่สุจริต ตลอดไปจนพระราชวงศ์ และองคมนตรี
ถึงคุณทักษิณจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก วิกฤตการณ์ทางการเมืองก็ไม่จบหรืออาจรุนแรงมากขึ้น
จะเห็นได้ว่าทางออกต่าง ๆ ตีบตันไปหมด และคุณทักษิณมีส่วนสำคัญในการสร้างโครงสร้างที่ปิดล้อมตัวเองให้ออกไม่ได้
ขณะนี้ทั้งสองฝ่ายคือฝ่ายคุณทักษิณและฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่างตกอยู่ในความกลัวคือคุณทักษิณก็กลัว ว่าถ้ายอมลงจากอำนาจ อีกฝ่ายจะเข้ามาขุดคุ้ยและเสนอให้ยึดทรัพย์ ข้างฝ่ายพันธมิตรฯ ก็กลัวว่าถ้าประนีประนอมราข้อ จะไว้ใจคุณทักษิณไม่ได้ว่าจะไม่มาอุ้มฆ่าตามกิตติศัพท์ จึงไม่มีทางถอยหรือประนีประนอมกันได้
เมื่อตีบตันไปหมดแล้ว จะเป็นไปหรือมีทางออกอย่างไร
หนึ่ง รุนแรงแตกหัก นั้นคือคุณทักษิณไปฆ่าใคร หรือใครฆ่าคุณทักษิณ ซึ่งก็จะก่อเวรก่อกรรมอื่น ๆ ต่อไป ในฐานะชาวพุทธเราย่อมไม่อยากเห็นเช่นนั้น
สอง เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวตน (Transformation) ตามปรกติปุถุชนมีความทุกข์และก่อความทุกข์ให้ผู้อื่น เพราะธรรมชาติพื้นฐานในตัวตนที่เห็นแก่ตัวหรือเอาตัวตนเป็นใหญ่ การที่จะเปลี่ยนแปลงธรรมชาติพื้นฐานในตัวตนเป็นไปได้ยาก แต่การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวตนก็เกิดขึ้นได้ โดยเกิดการเปลี่ยนแปลงในความรู้สึกนึกคิด เห็นโลกและเห็นคนอื่นในมุมมองใหม่ เห็นความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่งทั้งหมด เกิดความรักอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติทั้งหมด มีความสุข ความเป็นอิสระ และมีความสร้างสรรค์อย่างยิ่ง อันเป็นไปเพื่อการอยู่ร่วมกันด้วยสันติ
การจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวตนเกิดขึ้นได้หลายทาง ในที่นี้จะขอกล่าวถึง ๓ วิธี คือ
(๑) มีประสบการณ์ใกล้ตาย (near-death experience) คนที่ใกล้ตายแต่ไม่ตายหลายคนเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นคนใหม่ที่จิตใจดีอย่างยิ่ง
(๒) การออกไปนอกโลกแล้วมองมาเห็นโลกทั้งใบ มนุษย์อวกาศชื่อ เอ็ดการ์ มิทเชลล์ ยืนอยู่บนดวงจันทร์มองมาเห็นโลกทั้งใบแล้วจิตใจเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง เพราะเห็นความเป็นหนึ่งเดียวของโลกทั้งใบ เกิดความรักอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์และโลกทั้งหมด
(๓) เจริญศีล สมาธิ และปัญญาภาวนา โดยจะเป็นฆราวาสหรือเป็นพระก็แล้วแต่
ทางออกที่ดีที่สุดของนายกฯ ทักษิณคือ เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวตน ซึ่งจะทำให้พบความสุข สงบ และหมดเวรหมดกรรม ไม่ควรคิดกลับมาเป็นนากยกรัฐมนตรีอีก ถึงเป็นก็แก้ปัญหาไม่ได้ ปัญหาของประเทศไทยสลับซับซ้อนและยากยิ่ง แก้ไม่ได้โดยวีรบุรุษหรือรัฐบุรุษใดๆ ในภพภูมิของความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมแบบเดิม ๆ แต่ต้องการยกภพภูมิทางจิตใจให้สูงขึ้น จึงจะแก้ไขได้
ฉะนั้น แม้คนอื่น ๆ ก็ต้องการการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวตน การเมืองภาคประชาชนก็ต้องระวังกิเลสในตัวตนด้วย ถ้าชนะแล้วเกิดความฮึกเหิม ก็จะไปพลาดพลั้งเสียหาย แก้ปัญหายากๆ ไม่สำเร็จ แกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง ๕ คน ก็ต้องคิดถึงการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวเองด้วย การณ์ข้างหน้าจึงจะมีพลังของความถูกต้อง
ถ้านายกฯ ทักษิณ และแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง ๕ คน ออกบวชพร้อมกัน จะเป็นอย่างไรบ้าง บวชสัก ๑ เดือนเป็นอย่างน้อย เจริญศีล สมาธิ ปัญญา อย่างเข้มข้น จนได้ลิ้มรสพระธรรมและเกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวเอง ถ้าใครติดใจจะบวชนานต่อไปอีกก็แล้วแต่
การออกบวชพร้อมกันนี้ ไม่มีการเสียหน้า ไม่มีใครแพ้ ทุกคนเป็นผู้ชนะ การทำความดีคือการชนะ และเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวตนแล้ว ทุกคนจะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะศึกษาลาเพศหรือยังคงบวชต่อไป
พรรคการเมืองต่าง ๆ จะต้องมาตกลงกันที่จะปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง จะต้องเลิกพฤติกรรมเดิม ๆ ที่พาบ้านเมืองไปสู่ความวิกฤต
ศีลธรรมจะต้องเป็นหลักของแผ่นดิน
กิจกรรมทุกอย่างจะต้องผูกอยู่กับหลักของแผ่นดิน
การเมืองจะต้องเป็นการเมืองศีลธรรม
เศรษฐกิจจะต้องเป็นเศรษฐกิจศีลธรรม
ระบบการศึกษา ระบบสุขภาพ ระบบความยุติธรรม ระบบการสื่อสาร ล้วนต้องมีรากฐานอยู่ในศีลธรรม
เราจะคด ๆ โกง ๆ เอาเปรียบกันแบบศรีธนญชัยต่อไป บ้านเมืองจะไปไม่รอด ขอให้วิกฤตการณ์ปัจจุบันเป็นการให้การศึกษาแก่เราทุกคนว่า ความถูกต้องเท่านั้นที่จะทำให้เกิดความรัก ความปรองดอง ความสมานฉันท์ ความเจริญ และความร่มเย็นเป็นสุข (ผมมีปัญญาน้อย ถ้ากล่าวอะไรไปไม่ถูกใจ ไม่ถูกต้อง หรือเป็นการล่วงเกินต่อผู้ใด ผมต้องขอประทานอภัย)
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)