นาย
นอกจากนี้ นายนิมิตร์ ยังกล่าวด้วยว่า ไม่มีพลังใดยิ่งใหญ่กว่าความร่วมมือของประชาชน ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของการเมืองภาคประชาชน ดังนั้นต่อไปแม้ว่าระบอบทักษิณจะออกไปแล้วจะต้องสร้างการเมืองภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง ประชาชนต้องไม่ทะเลาะกันเอง และหากภาคประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมกระบวนการตรวจสอบทางนโยบายก็จะทำได้ง่ายขึ้น
นายนิมิตร์ได้ยกตัวอย่างกรณี พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ ซึ่งภาคประชาชนเคยร่วมกันคิดมาตั้งแต่ พ.ศ. 2543 แต่โดนพรรคไทยรักไทยนำไปอ้างในการเลือกตั้งโดยตลอด ถ้าไปติดตามเส้นทางของระบบหลักประกันสุขภาพจะพบว่า เรื่องนี้ริเริ่มโดยเครือข่ายภาคประชาชน 11 เครือข่าย หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญในปี2540 รัฐธรรมนูญฉบับนี้มาตรา 52 บัญญัติไว้ว่า เป็นสิทธิของคนไทยทุกคนที่จะได้รับการดูแลรักษาพยาบาลอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมจากรัฐ ด้วยมาตรานี้ความริเริ่มของภาคประชาชนที่ก้าวหน้าทางด้านสาธารณสุขได้รวมตัวกันแล้วชวนกันคิดว่า คนไทยทุกคนจะต้องได้รับหลักประกันสุขภาพ ได้รับการดูแลรักษาจากรัฐบาล
โดยในระหว่างที่ริเริ่มในปี 2543 เกิดการระดมล่ารายชื่อ 50,000 รายชื่อขึ้นครั้งแรก เพื่อที่จะเสนอเรื่องนี้ให้เป็นกฎหมาย พบว่ามีความยุ่งยาก และมีข้อจำกัดเยอะ ถึงมีความพยายามที่จะประสานกับทุกพรรคการเมืองให้ช่วยสนับสนุนกฎหมายของภาคประชาชน จังหวะนี้เองที่พรรคไทยรักไทยเข้ามาเป็นรัฐบาล จึงได้หยิบเรื่องนี้ขึ้นไปเป็นนโยบายแห่งชาติในการเลือกตั้งเมื่อปี 2544 หลังจากนั้นไม่เคยได้ยินเลยว่าพรรคไทยรักไทยให้เครดิตกับคนที่ริเริ่มผลักดันและร่างกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมาเป็นครั้งแรก และมีการร่างเลียนแบบฉบับของภาคประชาชน เสนอเข้าไปในสภาโดยที่ไม่การกล่าวอ้างถึงภาคประชาชนเลย เพราะว่าตอนนั้นภาคประชาชนยังล่ารายชื่อไม่ครบ
นาย
ดังนั้นข้อเท็จจริงเรื่องระบบหลักประกันสุขภาพว่า 30 บาทรักษาทุกโรคจะอยู่หรือจะไปต่อจึงไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับที่พ.ต.ท.ทักษิณจะนั่งอยู่ในตำแหน่งหรือไม่เพราะหลักประกันสุขภาพถูกตราเป็น พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติแล้ว
วันเดียวกันที่สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมกันแถลงข่าว "ทักษิณ...หยุดเอา 30 บาทเป็นตัวประกัน"
นาย
ดร.