ผมคิดว่าในสถานการณ์แบบนี้ ปัญญาชนและนักกิจกรรมทางสังคมควรตั้งคำถามใหม่ได้แล้ว
คำถามที่ควรถาม ไม่ใช่คำถามว่า "เรา" ควรทำอะไรในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ "ขบวน" ทั้งหมด
แต่เราควรเริ่มกำหนดท่าทีจากคำถามใหม่ว่า "เรา" ควรทำอะไรในฐานะปัญญาชนและนักกิจกรรมทางสังคม
พันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยเป็นการรวมตัวที่ฉุกละหุก เกิดขึ้นในเงื่อนไขที่เฉพาะเจาะจง เกี่ยวพันโดยตรงกับการช่วงชิงความน่าเชื่อถือทางการเมืองในสถานการณ์เฉพาะหน้า ปราศจากแผนการต่อสู้ทางการเมืองในระยะยาวมาตั้งแต่ต้น รวมทั้งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นผลผลิตจากการตกลงร่วมกันของนักเคลื่อนไหวการเมืองไม่กี่ราย
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของพันธมิตรฯ เพราะมีเหตุผลทางการเมืองเยอะไปหมดที่ทำให้พันธมิตรฯ เกิดมาพร้อมกับบุคลิกลักษณะแบบนี้ แต่บุคลิกข้อนี้ก็ทำให้พันธมิตรฯ มีข้อจำกัดที่ปฏิเสธไม่ได้เช่นเดียวกัน
พูดแบบไม่เกรงใจก็คือไม่มีเหตุให้ปัญญาชนและนักกิจกรรมทั้งหมดต้องนิยามตัวเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรฯ นั่นหมายความว่าปัญญาชนและนักกิจกรรมไม่จำเป็นต้องขึ้นตรงต่อแนวการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ควรรักษาความเป็นอิสระของตัวเองเอาไว้ ร่วมในเรื่องที่ร่วมได้ พร้อมทั้งริเริ่มและผลักดันในเรื่องที่เป็นประเด็นเชิงหลักการของตัวเองไปพร้อมๆ กัน
การต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่การรบทัพจับศึก การมีศูนย์กลางนำจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญสูงสุดของการต่อสู้ทางการเมือง โดยเฉพาะศูนย์กลางนำที่อาจถูกครอบงำด้วยผู้นำไม่กี่คน
พันธมิตร ฯ เกิดด้วยเหตุผลทางการเมือง แต่ปัญญาชนและนักกิจกรรมทางสังคมไม่ควรคิดและกำหนดท่าทีการเคลื่อนไหวด้วยเหตุผลทางการเมืองแบบเดียวกัน
ในฐานะปัญญาชนและนักกิจกรรมทางสังคม สถานการณ์แบบนี้ทำให้เราควรแยกแยะได้ว่า "การต่อต้าน" (resistance) , "การปฏิรูป" (reformation) , และ "ประชาธิปไตย" (democracy) เป็นคนละเรื่องกัน
พูดอีกอย่างคือ เราควรตระหนักว่าการต่อต้านรัฐบาลทั้งหมด "ไม่แน่เสมอไป" ว่าจะต้องนำไปสู่การปฏิรูปและประชาธิปไตย
การต่อต้านรัฐบาลที่ชอบธรรม คือ การต่อต้านที่มีคำประกาศอย่างชัดแจ้งว่าจะปฏิรูปการเมืองไปสู่ประชาธิปไตยของประชาชน ไม่ใช่การต่อต้านรัฐบาลที่การปฏิรูปเป็นเพียงอาภรณ์เพื่อห่อหุ้มเป้าหมายที่ขัดแย้งกับพัฒนาการของประชาธิปไตย รวมทั้งไม่ใช่การต่อต้านที่สอดแทรกไปด้วยวิธีการปั่นความเห็นของผู้ชุมนุม ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
ในความหมายนี้ ไม่จำเป็นว่าการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้การกำกับและชี้นำของพันธมิตรฯ ในทางตรงกันข้าม แต่ละกลุ่มควรมีกิจกรรมที่แสดงจุดยืนของตัวเองให้มากขึ้น เพราะนี่เป็นหลักการสำคัญของการเคลื่อนไหวทางการเมือง
ในแง่ยุทธวิธี แนวทางนี้คือเครื่องมือที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงที่นักฉวยโอกาสทางการเมืองบางคนในพันธมิตร จะ hijack การต่อสู้ของประชาชน ไปเพื่อวาระซ่อนเร้นทางการเมืองของตัวเอง
อย่าลืมว่าการชิงประเด็นไปสู่มาตรา 7 จะเกิดได้ง่ายที่สุด ในสถานการณ์ที่พันธมิตรเป็นฝ่ายครอบงำการเคลื่อนไหวทั้งหมดอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะสถานการณ์แบบนั้นคือเงื่อนไขพื้นฐานที่จะเอื้อให้ "นักฉวยโอกาสทางการเมืองบางคน" เล็งผลเลิศจากการชิงการนำในพันธมิตร และใช้ผลจากการนี้เพื่อผลักดันความเคลื่อนไหวทั้งหมด ไปสู่ทิศทางที่ตัวเองต้องการ
ไม่ควรกลัวว่าการประกาศอย่างเปิดเผยว่าไม่เห็นด้วยกับมาตรา 7 หรือประเด็นพระราชทาน จะเป็นอุปสรรคต่อการขับไล่นายกรัฐมนตรีคนนี้ เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่านายกฯ คนนี้อยู่ในสภาพที่ทำการปกครองไม่ได้ แทบไม่ต่างจากศพหรือบุคคลที่ตายแล้วทางการเมือง
ในระดับภาพรวมนั้น ปัญหาเรื่องทักษิณเป็นปัญหาที่พ้นไปแล้ว เขาถูกทำลายทั้ง legitimacy และ govern mentality เหลือแต่ legality ที่อ่อนแอในทางการเมือง
พูดให้แรงขึ้นไปอีก ต่อให้ไม่มีฐานสนับสนุนของปัญญาชนและนักกิจกรรมทางสังคม นายกรัฐมนตรีคนนี้ก็ไม่มีโอกาสจะมีอำนาจทางการเมืองเข้มแข็งขึ้นมาได้ เพียงแต่ว่าจะสิ้นสภาพอย่างเต็มที่ไปในเวลาไหนและวิถีทางใดเท่านั้นเอง
ในสถานการณ์ขณะนี้ การถอนตัวในทางปฏิบัติ (เช่นการสร้างกิจกรรมที่แสดงจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจน) หรือการถอนตัวอย่างเป็นทางการ (เช่นการประกาศว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพันธมิตรปีกที่ต้องการนายกพระราชทาน) จึงไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการต่อต้านนายกรัฐมนตรี ซ้ำยังเป็นเรื่องที่ควรทำและทำได้ ด้วยเหตุผล 2 ข้อ ในเชิงยุทธศาสตร์ นั่นคือ
ข้อแรก นี่เป็นประเด็นและจุดยืนในระดับหลักการ
ถ้าไม่กล้าประกาศจุดยืนในทางใดทางหนึ่ง ก็เท่ากับยอมรับสภาพที่พวกเราทั้งหมดล้วนมีส่วนในการทำให้เกิดรัฐบาลพระราชทาน, นายกที่มาจากการแต่งตั้ง, หรืออาจกระทั่งระบอบอำนาจนิยมของทหาร-พลเรือน
ข้อสอง การถอนตัวขณะนี้ สามารถทำไปพร้อมกับการประกาศจุดยืนไม่เอานายกทักษิณต่อไปได้
อย่าลืมว่าไม่มีใครห้ามให้คุณหยุดเคลื่อนไหวต่อต้านทักษิณ พร้อมกับประกาศว่าไม่เห็นด้วยกับนายกพระราชทาน
อย่าลืมว่าในการประเมินชัยชนะของการต่อสู้ทางการเมือง บรรทัดฐานสำคัญไม่ได้มีแค่การพิจารณาว่าเราได้มาซึ่งเป้าหมายที่ต้องการหรือไม่ แต่คือการพิจารณาไปพร้อมๆ กันว่า อะไรบ้างที่สูญเสียไป
ปัญหาเดียวของการถอนตัวคือเหตุผลทางยุทธวิธี
แน่นอน การถอนตัวในขณะนี้มีความเสี่ยงในแง่ที่รัฐบาลอาจฉวยโอกาสโจมตีการชุมนุมและเดินขบวน แต่การโจมตีในเวลานี้จะพุ่งเป้าไปที่แกนนำของพันธมิตรไม่กี่คน โดยเฉพาะนักฉวยโอกาสทางการเมืองทั้งคู่ ไม่ใช่พันธมิตรทั้งหมด และยิ่งไม่ใช่ผู้ร่วมชุมนุมและเดินขบวนโดยส่วนรวม
เราจะกลืนหลักการและเหตุผลทางยุทธศาสตร์ เพื่อปกป้องไว้ซึ่งชื่อเสียงและชัยชนะของนักฉวยโอกาสบางคนอย่างนั้นหรือ
อีกข้อ ต้องไม่ลืมว่าการถอนตัวขณะนี้มีความเสี่ยงน้อยกว่าการถอนตัวในขณะที่เกิดการเดินขบวนขึ้นจริงๆ แล้ว เหตุผลคือการถอนตัวในเวลานั้น ไม่เหมาะสม ไม่รับผิดชอบ และอันตรายต่อผู้ร่วมชุมนุมทั้งหมด เพราะการถอนตัวได้เกิดขึ้นในเวลาที่อาจมีการเผชิญหน้า, การปราบปราม, และการใช้กำลังของรัฐ ซึ่งแน่นอนว่ารัฐย่อมใช้การถอนตัวนี้เป็นข้ออ้างสำคัญในการสลายการชุมนุม
การถอนตัวแบบนี้ปรากฎในกรณีพฤษภาคม 2535 ซึ่งปริญญา เทวานฤมิตรกุล ในฐานะเลขาธิการ สนนท., นักกิจกรรมบางคน , และ เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย ขึ้นไปประกาศบนเวทีที่สนามหลวงว่า สนนท.และ ครป.ไม่เกี่ยวข้องกับการเดินขบวนในวันที่ 17 พฤษภาคม 2535
จากนั้น คณะทหารนำข่าวนี้ไปออกอากาศทั่วประเทศว่าผู้เดินขบวนไม่ใช่พลังบริสุทธิ์ จึงชอบธรรมที่พวกเขาจะทำการปราบปราม
ในกรณี 2549 การถอนตัวหรือแสดงหลักการของตัวเองอย่างชัดเจน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และสมควรเกิดในช่วงก่อนที่การเดินขบวนและการชุมนุมจะยกระดับไปสู่จุดที่รุนแรงที่สุด นั่นก็คือถอนตัวในขณะที่มีแต่ผู้นำของพันธมิตรฯ บางคนที่อาจถูกโจมตีจากรัฐ ไม่ใช่ถอนตัวในเวลาที่การถอนตัวจะสร้างความเสี่ยงให้กับผู้ชุมนุมและประชาชนผู้ร่วมเดินขบวน
โดยความเคารพอย่างสูง
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
เอกสารประกอบ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)