เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2549 นาย
อดีตผู้นำนักศึกษาผู้นี้ ให้เหตุผลถึงข้อเรียกร้องครั้งนี้ว่า
1. เป้าหมายสุดท้ายของการต่อสู้ก็เพื่อการปฏิรูปการเมือง เพื่อสร้างการตรวจสอบให้ระบบการเมืองมีคุณธรรม ความรับผิดชอบ
2. การชุมนุมบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว เพราะได้ทำให้อำนาจทักษิณเสื่อมถอย จึงควรเปลี่ยนยุทธวิธีเป็นการชุมนุมใหญ่เป็นคราวๆตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
3. นอกจากวิกฤติจริยธรรมผู้นำที่ดำรงอยู่แล้ว ยังจะเพิ่มวิกฤตรัฐธรรมนูญขึ้นมาอีก จากที่จะไม่ได้ ส.ส.ครบ 500 คน จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 30 วัน ซึ่งถ้าได้ส.ส.ไม่ครบและมีการตีความว่ารัฐสภาเกิดขึ้นแล้ว จะมีปัญหาว่า บางภาคโดยเฉพาะภาคใต้ไม่มีระบบตัวแทนที่เหมาะสมถูกต้อง ภาวะภูมิภาคนิยมและความขัดแย้งเชิงภูมิภาคอาจก่อตัวขึ้น
"สิ่งสำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณในฐานะนายกฯ รักษาการ ยังอาจเอื้อมกราบบังคมทูลขอทรงเปิดรัฐสภาให้ประเทศมีการปกครองแบบสภาพรรคเดียว และหวนกลับมาเป็นนายกฯ อีกหรือ หากมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนก็ยุบสภา อ้างกติกาเลือกตั้ง หวนกลับมาอีกไม่รู้จบ ขณะเดียวกันยังมีแนวโน้มว่า การเลือกตั้ง 2 เมษา อาจเต็มไปด้วยความสกปรก ดังปรากฏข่าวการจัดฉาก ฉ้อฉลของพรรคการเมือง เจ้าหน้าที่ขององค์กรอิสระ เช่น ปลอมคุณสมบัติผู้สมัคร ซื้อพรรคและผู้สมัครส.ส. นอมินี ซื้อคะแนนเสียงให้ตัวเอง ให้คู่แข่ง การจะให้สภาเปิดประชุมได้ ยังต้องยืมมือกกต. รับรองการเลือกตั้งให้สะอาด และศาลรัฐธรรมนูญต้องตีความขัดกับคำวินิจฉัยครั้งแรกของตัวเอง"
นายธีรยุทธ ยังกล่าวด้วยว่า โทษทัณฑ์ 10 ประการที่ พ.ต.ท.ทักษิณสร้างและย้อนกลับเข้าตัวเองรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้รับคะแนนเสียงเท่าใด การขาดความชอบธรรมที่จะปกครองประเทศในแง่การไร้คุณธรรมและจริยธรรมจะยังคงอยู่ ไม่มีสิ่งใดมาลบล้างได้ จะเพิ่มปัญหาว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่ เป็นการโกงกติกา ฉ้อฉลอำนาจองค์กรอิสระ จ้างพรรคเล็ก ฮั้วคะแนนเสียง ฯลฯ
นอกจากนี้ โดยธรรมเนียมทุกครั้ง นายธีรยุทธยังให้ฉายา พ.ต.ท.
ต่อข้อเรียกร้องที่มีต่อพันธมิตร นายธีรยุทธ ยังได้เสนอข้อแนะนำว่า พันธมิตรควรเปลี่ยนยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีให้สอดคล้องคือ โดยเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ที่ยาวนานเป็นหลายๆ เดือน คล้ายการต่อสู้ในประเทศประชาธิปไตยตะวันตก และควรยกระดับจากพันธมิตรเป็นแนวร่วมถาวร โดยขยายตัวร่วมกับกลุ่มวิชาการ วิชาชีพ แพทย์ พยาบาล วิศวกร นักกฎหมาย ทนายความ ดารานักแสดง ตัวแทนภูมิภาคต่างๆ เพื่อขยายความชอบธรรมของตัวเองมากขึ้นตลอดเวลา
ส่วนกรณีมาตรา 7 นายธีรยุทธระบุว่า มาตรา 7 เป็นเพียงประเด็นย่อยที่นำไปสู่การแก้ไขวิกฤต โดยตามประเพณีของไทยในอดีต ชาวบ้านเคยพึ่งบารมีในหลวงโดยใช้การถวายฎีกาเพื่อการร้องทุกข์ต่างๆ จึงมองว่า กลุ่มผู้ชุมนุมจึงเหมือนชาวบ้านธรรมดา โดยเราต้องแบบปล่อยวาง อย่าคิดว่า ไม่ควรให้สถาบันพระมหากษัตริย์มาแก้ไขความขัดแย้ง แต่ควรมองแบบเสรีนิยม เพราะความจริงพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง และไม่ได้มีหน้าที่ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในสภา แต่ภายหลังที่ผู้อาวุโสในบ้านเมืองมาไกล่เกลี่ยแล้ว พระมหากษัตริย์จะทรงเป็นคนสุดท้ายที่มาลดความขัดแย้ง เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และ พฤษภาทมิฬ ทั้งนี้ในโลกปัจจุบัน พระมหากษัตริย์ยังมีความสำคัญ ทรงอยู่ในฐานะผู้ปกป้องรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็นผู้ล้มเลิกรัฐธรรมนูญ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)