โดย น.พ.ประเวศ วะสี
การเมืองภาคประชาชนต้องเป็นพลังความถูกต้องของบ้านเมือง
ในบ้านเมืองมีความไม่ถูกต้องสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งความเสื่อมเสียทางศีลธรรมที่ชัดเจน และความไม่ถูกต้องที่ซ่อนตัวอยู่ในระบบที่ซับซ้อน ทั้งหมดกำลังพาสังคมไทยเข้าไปสู่วิกฤตการณ์ แต่ก็ยากต่อการเข้าใจ ทำให้สังคมไทยค่อนข้างเฉยชาต่อความไม่ถูกต้องที่คืบคลานเข้ามากินตัวเอง
คุณูปการของ "ระบอบทักษิณ" คือทำให้คนไทยตื่นตัวครั้งใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏมาเลย คนไทยจำนวนแสน จำนวนล้านได้เรียนรู้เรื่องระบบการเมือง เรื่องคอร์รัปชั่น เรื่องขายรัฐวิสาหกิจ เรื่องขายหุ้นให้ต่างชาติ ฯลฯ
ความตื่นตัวทางศีลธรรมจริยธรรมการเมืองของประชาชนครั้งนี้ เป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่
เป็นการสร้างทุนทางจิตสำนึก - ทุนทางสังคม - ทุนทางปัญญา (จสป.) อันมหาศาล
ความไม่ถูกต้องในบ้านเมือง ทั้งที่มีมาก่อนทักษิณ และที่เกิดจากระบอบทักษิณ นั้นสาหัสมาก ไม่มีทางที่ระบบต่าง ๆ ของประเทศตามปรกติจะสามารถแก้ไขเยียวยาได้ ถ้าปราศจากการเมืองภาคประชาชน อันนำมาซึ่งทุนทางจิตสำนึก - ทุนทางสังคม - ทุนทางปัญญา อันมหาศาลดังกล่าวแล้ว
ทุน จสป. อันมหาศาล เท่านั้นที่จะสร้างความถูกต้องหรือศีลธรรมในบ้านเมืองได้
การเมืองภาคประชาชนจะต้องสร้างทุน จสป. อันมหาศาลนี้ให้เพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อนึ่งคำว่าประชาชนในที่นี้ หมายถึงคนไทยทุกคน ไม่ได้แบ่งเป็นพวก 16 ล้าน กับพวก 10 ล้าน และรวมหมายถึงข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นักวิชาการ สื่อมวลชน นักธุรกิจ ฯลฯ ด้วย คนไทยไม่ว่าจะสวมหมวกอะไร แต่ในความเป็นคนของเขา เรามีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีอิสระ ที่จะทำอะไรดีๆ ได้
การเมืองภาคประชาชนจะเข้มแข็งได้ก็ต่อเมื่อต่อสู้หรือกระทำภารกิจที่ท้าทาย ขอเสนอภารกิจที่ท้าทายต่อการเคลื่อนไหวของการเมืองภาคประชาชน 8 ประการดังต่อไปนี้
1.ขจัดคอร์รัปชั่น
คอร์รัปชั่นจะกัดกินสังคมไทยไปอีกนาน เหมือนมะเร็งร้ายที่นำความตายมาให้สังคมไทย อาจไม่ฟื้นตัวอีกนานหลังทักษิณไปแล้ว ที่ฟิลิปปินส์ มาร์กอสจากไปแล้ว 20 ปี ก็ยังไม่ฟื้น ฉะนั้น การเมืองภาคพลเมืองจะต้องรณรงค์ขจัดคอร์รัปชั่นอย่างเป็นระบบ
คนเก่งๆ ในการสืบสวนสอบสวนคอร์รัปชั่นควรจะมารวมตัวกันเป็น ปปช.ภาคประชาชน การสืบสวนสอบสวนโดยนักวิจัยและสื่อมวลชนจะต้องเข้มแข็ง ต้องมีทุนสนับสนุนกระบวนการขจัดคอร์รัปชั่น
2.ปฏิรูปการเมืองเพื่อขจัดธนกิจการเมือง และสรรค์สร้างประชาธิปไตยที่แท้
สังคมไทยได้บทเรียนอย่างเจ็บปวดว่าเมื่อทุนขนาดใหญ่เข้ามายึดอำนาจทางการเมือง ทำให้สังคมไทยเสียดุลอำนาจอย่างใหญ่หลวงและนำไปสู่ความไม่ถูกต้องต่างๆ รวมทั้งสร้างความแตกแยกที่คนไทยเกือบจะฆ่ากันเอง ฉะนั้นต้องหาทางขจัดธนกิจการเมืองให้ได้ และสรรค์สร้างประชาธิปไตยที่แท้ให้เกิดขึ้นให้จงได้ ต้องคำนึงถึงว่าประชาธิปไตยไม่ได้มีแต่การเลือกตั้งเท่านั้น และการเมืองไม่ได้มีแต่การเมืองของนักการเมืองเท่านั้น แต่มีการเมืองของพลเมืองด้วย
3.พัฒนาระบบการสื่อสารที่ทำให้คนไทยรู้ความจริงโดยทั่วถึง
ในสังคมที่ซับซ้อนถ้าคนไทยรู้ความจริงโดยทั่วถึง จะช่วยให้บ้านเมืองดีขึ้น การเมืองภาคประชาชนจะเข้มแข็งถ้ามีการสื่อสารที่ดี เผด็จการจะต้องการควบคุมและแทรกแซงสื่อ ทุนนิยมอนาริยะต้องการใช้สื่อเพื่อมอมเมาประชาชน
ในช่วงที่ผ่านมาได้มีการใช้อำนาจรัฐและอำนาจเงินอันมหึมา ทำการตลาดและสร้างภาพ ก่อให้เกิดมิจฉาทิฐิขึ้นในสังคมไทยเป็นอเนกประการ อันเป็นบาปยิ่งนัก เพราะทำให้ทิฐิและวิธีคิดบิดเบี้ยว ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อไปอย่างกว้างขวางและยาวไกล ทั้งๆ ที่มาตรา 40 ของรัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ที่จะให้คลื่นเพื่อการสื่อสารเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะมากที่สุด แต่ก็ขาดความจริงใจของรัฐบาลและเอาไปแสวงประโยชน์กันจนเละ การเมืองภาคประชาชนต้องขับเคลื่อนให้ระบบการสื่อสารเป็นอิสระและมีประโยชน์ต่อสาธารณะมากที่สุด
4.ปักธงแห่งอหิงสธรรมบนผืนแผ่นดินไทยให้จงได้
ใน 5 ปีที่ผ่านมามีการคิดอย่างรุนแรง พูดอย่างรุนแรงก้าวร้าวด้วยโทสจริต และการกระทำอย่างรุนแรง เช่น ฆ่าตัดตอน อุ้มฆ่า จนบ้านเมืองลุกเป็นไฟ ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ลุกโพลนขยายตัวและแก้ไขไม่ได้ สังคมไทยคิดอย่างรุนแรงและแตกแยกอย่างไม่เคยมีมาก่อน แผ่นดินเดือดเพราะผู้มีอำนาจเต็มไปด้วยโทสจริต ขาดวจีสุจริต และส่งเสริมการใช้ความรุนแรง การเมืองภาคพลเมืองควรขับเคลื่อนสันติวิธี ด้วยการคิด พูด ทำ อย่างสันติ สร้างความสมานฉันท์ปรองดอง ปักธงแห่งอหิงสธรรมบนผืนแผ่นดินไทยให้จงได้
5.สร้างสัมมาอาชีวะ และเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นพื้นฐานของประเทศ
สัมมาอาชีวะเป็นพื้นฐานทางศีลธรรมของสังคม
มิจฉาอาชีวะทำให้สังคมเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า การพัฒนาประเทศจะเอาเงินเป็นตัวตั้งไม่ได้ ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางศีลธรรม สัมมาอาชีวะหมายถึงอาชีพที่ไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อม มีรายจ่ายน้อยกว่ารายได้ ถ้ามีสัมมาอาชีวะเต็มพื้นที่ ศีลธรรมจะเป็นปรกติธรรมดาของสังคม เศรษฐกิจดี และราษฎรมีความร่มเย็นเป็นสุข
ขณะนี้ลองดูให้ดีๆ มีมิจฉาอาชีวะเต็มไปหมด แล้วสังคมจะเป็นสุขได้อย่างไร การเมืองภาคประชาชนควรรณรงค์ให้สัมมาอาชีวะและเศรษฐกิจพอเพียงเป็นพื้นฐานของประเทศ
6.ปฏิรูปการศึกษาให้เป็นการปฏิรูปการศึกษาที่แท้จริง
ใน 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลตีประเด็นการศึกษาไม่แตก แม้พยายามเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไปหลายคนแล้ว ระบบการศึกษาในรอบร้อยปีเศษที่ผ่านมาทำให้สังคมไทยอ่อนแอทุกๆ ประการ เพราะเป็นการศึกษาที่เอาวิชา (ในตำรา) เป็นตัวตั้ง ไม่ได้เอาชีวิตจริงและปฏิบัติจริงเป็นตัวตั้ง ทำให้คนไทยแปลกแยกจากเพื่อนมนุษย์ แปลกแยกจากสิ่งแวดล้อม ทำงานไม่เป็น อยู่ร่วมกันไม่เป็น และจัดการไม่เป็น
มนุษย์เรียนรู้ได้ดีที่สุดในฐานวัฒนธรรม
วัฒนธรรมหมายถึงวิถีชีวิตร่วมกันของกลุ่มชนอันสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมหนึ่งๆ
ทุกคนมีความรู้อยู่ในตัว อันได้มาจากการทำงานและประสบการณ์ชีวิต แม่ของเราทุกคนเป็นครูที่ดีที่สุดของเรา ไม่ว่าท่านจะมีปริญญาใดๆ หรือไม่ เพราะท่านมีความรู้ในตัวที่ได้มาจากการทำงานและประสบการณ์ชีวิต ความรู้ในตัวคนเกิดมาจากฐานทางวัฒนธรรม
ในขณะที่ความรู้ในตำรามีน้อยคนที่เก่ง คนส่วนใหญ่กลายเป็นคนไม่เก่ง ไม่มีศักดิ์ศรี ความรู้ในตัวคนทุกคนมีในทางที่ต่างๆ กัน ถ้าเราเคารพความรู้ในตัวคน ทุกคนจะมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และมีศักยภาพ
การศึกษาที่ถูกต้องควรจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชีวิตและวิถีชีวิต นั่นคือศึกษาจากชีวิตจริง ปฏิบัติจริง และเคารพความรู้ในตัวคน แต่เอาความรู้ในตำราเป็นตัวประกอบ หรืออีกนัยหนึ่งเอาวัฒนธรรมเป็นฐานและเอาตำราเป็นตัวประกอบ
การศึกษาทุกวันนี้เอาตำราเป็นตัวตั้ง และทิ้งฐานวัฒนธรรมไปเลย การศึกษาแบบนี้นำไปสู่ปัญหานานาประการและวิกฤตการณ์ทางสังคม รวมทั้งสภาพไร้ศีลธรรมและการเกิดความรุนแรงด้วย
ถ้าตีประเด็นแตกในเรื่องการศึกษาที่เอาวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตเป็นฐานและเอาตำราเป็นตัวประกอบ ประเทศจะเข้มแข็งขึ้นทุกๆ ทาง
7.การรักษาดุลยภาพกับต่างประเทศ
ต่างประเทศที่มีทุนมากกว่า มีความชำนาญมากกว่า จะรุกเข้ามาเอาเปรียบเราด้วยประการต่างๆ อย่างยากที่จะต้านทานได้ และถ้าไม่ระวังให้ดีทุนต่างชาติก็จะมายึดครองทรัพยากรต่างๆ ของเรามากขึ้นๆ คนไทยจะต้องทำงานหนักเหมือนวัวเหมือนควาย โดยนายทุนทั้งไทยและเทศเอาผลประโยชน์ไปหมด การคบค้าแลกเปลี่ยนกับต่างประเทศเป็นของควรทำ แต่ต้องโดยรักษาอัตลักษณ์และดุลยภาพของเราไว้ได้
ในการนี้ต้องการพลังจิตสำนึก - พลังทางสังคม - และพลังทางปัญญา สูงมาก ลำพังรัฐอย่างเดียวหรือประชาชนอย่างเดียวไม่มีทางปกปักษ์รักษาตัวเราจากอิทธิพลของทุนมหึมาข้ามชาติได้ ต้องมีความร่วมมือกันระหว่างรัฐ (ที่ดี) กับประชาชนเป็นรัฐประชาสมาสัย หรือประชารัฐ ดังในเพลงชาตินั่นแหละ จึงจะรักษาอัตลักษณ์และดุลยภาพของเราไว้ได้
8. "แก้วสารพัดนึก" ส่งเสริมการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำในทุกพื้นที่ ในทุกองค์กร และในทุกเรื่อง
ที่กล่าวมาทั้ง 7 ประการข้างต้นไม่มีทางทำได้สำเร็จถ้าปราศจากข้อ 8
การรวมตัวร่วมคิดร่วมทำคือ "แก้วสาระพัดนึก" เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาทุกอย่างทั้งเรื่อง เศรษฐกิจ - จิตใจ - ครอบครัว -ชุมชน - สังคม - วัฒนธรรม - สิ่งแวดล้อม - สุขภาพ และเป็นประชาธิปไตยแบบสมานฉันท์และประชาธิปไตยโดยตรง ไม่เหมือนประชาธิปไตยโดยการเลือกตั้งซื้อเสียง
การรวมตัวร่วมคิดร่วมทำจะทำให้อบอุ่นไม่ว้าเหว่มีความสุข เพราะมีความเสมอภาคและภราดรภาพ ร่วมคิดหมายถึงการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ ร่วมทำคือสามัคคีธรรม การรวมตัวร่วมคิดร่วมทำเป็นการที่ทรงพลานุภาพมาก
ถ้าส่งเสริมให้มีการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำในทุกพื้นที่ ในทุกองค์กร และในทุกเรื่อง ประเทศจะมีพลังของความถูกต้องมหาศาล การเมืองแบบซื้อเสียงจะถูกจำกัดหรือขจัดให้หมดไป
ภารกิจ 8 ประการดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าไม่ทำหรือทำไม่ได้ ประเทศไทยจะไม่พ้นวิกฤต ฝากเพื่อนคนไทยทุกคนช่วยกันพิจารณา การเมืองภาคประชาชนไม่ควรมีแต่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มีแกนนำทั้งห้านั้นเท่านั้น ควรจะมีกลุ่มและเครือข่ายอันหลากหลายเต็มประเทศ เช่น เครือข่ายสาธารณสุขเพื่อประชาธิปไตย เครือข่ายครูเพื่อประชาธิปไตย เครือข่ายนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย ฯลฯ อย่าลืมว่า "ระบอบทักษิณ" นั้นเปรียบประดุจไวรัสเอ็ชไอวี ที่มีฤทธิ์ทำลายภูมิคุ้มกันสูง สามารถมิวเตตหรือกลายพันธุ์ได้รวดเร็วเพื่อหลบหลีกการถูกทำลายจากระบบภูมิคุ้มกัน จึงยากที่จะผลิตวัคซีนขึ้นมาป้องกันมันได้
เช่นเดียวกับการรักษาโรคเอ็ชไอวี/เอดส์ การรักษาโรคเอดส์ทางสังคมก็ต้อง (1) ใช้ยาฆ่าเชื้อ (2) ใช้วัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
การเมืองภาคประชาชนคือยาและ "วัคซีนทางสังคม" (Social vaccine)
สังคมต้องมีภูมิคุ้มกันเข้มแข็ง จึงจะป้องกันโรคร้ายทั้งปวงได้
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)