Skip to main content
sharethis



วันที่ 28เม.ย. หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ สถาบันสันติประชาธรรม จัดการอภิปรายทางวิชาการ เรื่อง "สถาบันพระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ"

 


นายเดวิด สเตร็คฟัส ผู้ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิล กล่าวว่า คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นสิ่งที่คุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์มากที่สุดในปัจจุบัน ดังนั้นสังคมไทยควรทบทวนบทบาทกฎหมายนี้ เพราะกฎหมายบางข้อยังล้าสมัย และทวนกระแสประชาธิปไตยที่มีวิวัฒนาการมาค่อนข้างมากในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา


 


พ.ศ. 2502 กฎหมายหมิ่นประมาทได้ถูกเพิ่มโทษให้สูงขึ้น จากจำคุก 3 ปี เป็น 7 ปี ช่วงนั้นตรงกับช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่งเข้าสู่สมัยที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจ ความเปลี่ยนแปลงทางการใช้อำนาจกฎหมายค่อนข้างสูง มีการใช้คำสั่งคณะปฏิวัติมากกว่าประมวลกฎหมายอาญา รวมทั้งรื้อฟื้นและสร้างบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ใหม่ จนเข้าสู่ช่วงหลัง 6 ต.ค. 19 มีการเพิ่มโทษเป็นจำคุก3-15 ปี แต่มีความแปลกหากพิจารณาจากจำนวนคดี จะเห็นว่าไม่มีคดีถึงศาลฏีกา ตัวกฏหมายไม่เคยเปลี่ยนด้วย


 


"สมัยหลังจอมพลสฤษดิ์ คือเผด็จการสมบูรณ์แบบมากขึ้น กฎหมายคดีหมิ่นประมาทวิวัฒนาการทำให้พูดถึงกฎหมายนี้ไม่ได้"


 


อย่างไรก็ตาม นายเดวิดพูดถึงความแปลกของคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทยอีกว่า 30 ปีผ่านมาคนที่กล่าวหาบุคคลว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมักจะไม่ใช่ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่เป็นบุคคลที่สามไปแจ้งให้เจ้าหน้าตำรวจดำเนินการ ส่วนผู้ถูกกล่าวหาก็จะรีบสารภาพคือทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษทันที ทั้งๆทีบางครั้งอาจไม่รู้สึกว่าผิดก็ได้


 


กฎหมายดังกล่าวทำให้สังคมไทยรู้สึกผิดปกติในการจะแสดงความเห็นเรื่องนี้ และยังถูกนำไปเป็นเครื่องมือของผู้ที่เข้าสู่อำนาจ ดังนั้นจึงถึงเวลาทบทวนกฎหมายนี้และเปิดให้สังคมผู้ตัดสิน


        


นายเดวิด ยกตัวอย่างสังคมประชาธิปไตยในประเทศอังกฤษว่าการแสดงความคิดเห็นต่อสถาบันเป็นเรื่องปกติ ทั้งๆที่อังกฤษก็มีกฎหมายนี้แต่ไม่ได้นำมาใช้ตลอด 10 ปี หากมีความรู้สึกเกินเลยจะใช้กฎหมายหมิ่นประมาทธรรมดา นอกจากนี้ในประเทศอังกฤษจะมีการสำรวจความชอบหรือไม่ชอบของคนอังกฤษต่อสภถาบันพระมหากษัตริย์บ่อยๆ ซึ่งคนอังกฤษยังพอใจที่มีสถาบันนี้เช่นเดียวกับคนไทย แต่หากบางคนอยากยกเลิกก็เป็นเรื่องธรรมดา


 


นายเดวิดระบุชัดเจนว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นเศษอุดมการณ์ที่เกิดจากสมัยจอมพลสฤษดิ์ ซึ่งมีคนที่เข้าสู่อำนาจพร้อมที่จะนำมาใช้เป็นเครื่องมือมาตลอด และทุกคนก็รู้ว่าเป็นแบบนี้มาเป็นสิบๆปี


 


ด้าน นายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมของประเทศไม่มีหลักเกณฑ์จึงทำให้คนกลัว กรณีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเลยถูกหลายคนใช้ไปแจ้งความจนเลอะเทอะไปหมด ตัวกฎหมายไม่ได้แย่ แต่เวลาปฏิบัติกลับยุ่งเหยิงเพราะมีการไปแจ้งความทั่วประเทศ ที่เกิดขึ้นแบบนี้ได้ในสังคมไทยเพราะกระบวนการยุติธรรมของเราไทยไม่มีประสิทธิภาพใดๆ ทั้งสิ้น


 


"ตอนนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ที่ตัวกฎหมาย แต่คนที่ใช้กฎหมายไม่มีความระวัง คือกระบวนการยุติธรรมที่ยังไม่นิ่ง รวมทั้งมีการแยกอาณาจักรออกจากกันและกัน อาณาจักรศาล อาณาจักรอัยการ อาณาจักรตำรวจไม่เกี่ยวข้องกัน ฉะนั้นเมื่ออาณาจักรแยกออกจากกันแล้ว จะเกิดกระบวนการยุติธรรมได้อย่างไร นอกจากการบังคับใช้กฎหมายยังไม่ได้ผลแล้ว กลับละเมิดสิทธิมนุษยชนอีกด้วย ตอนนี้กระบวนการยุติธรรมยังได้รับการน่าเชื่อถือคือศาลยุติธรรมและศาลปกครอง ดังนั้นจึงถึงเวลาต้องยกเครื่องระบบกฎหมายทั้งหมด"


 


ศ.ดร.คณิต กล่าวด้วยว่า วิกฤตของประเทศไทยตอนนี้คือวิกฤตของกฎหมาย กับวิกฤตนักกฎหมาย ทำให้มั่วหมด ดังเช่นที่ในหลวงทรงมีพระราชดำรัส และต้องเริ่มแก้ไขที่การเรียนการสอนด้านกระบวนยุติธรรมในมหาวิทยาลัย ซึ่งขอโทษคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นที่ที่ ศ.ดร.คณิตได้เรียนจบมาด้วย


 


"นิติศาสตร์คิดไม่เป็น จำลูกเดียว ต้องทำให้นักกฎหมายคิดเป็น รวมทั้งคนที่จบออกไปด้วย อดีตอัยการสูงสุดกล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net