มีเรื่องที่จำเป็นต้องชี้แจงอยู่บ้าง อันเนื่องมาจากคอลัมน์ร้อน "หอกข้างแคร่" โดยผู้เขียนที่ใช้นามปากกาว่า "นายหอกหัก" เป็นความจำเป็นอยู่เองที่คอลัมน์เพื่อตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์กันเองประเภทนี้จะต้องเผชิญกับแรงกดดัน ทั้งในฐานะที่เป็นเพื่อนมิตร และทั้งในฐานะที่จะต้องถูกกล่าวหาว่าทำลายขบวนการต่อสู้
ด้วยเหตุนี้ เพื่อดำรงความอิสระของการวิพากษ์วิจารณ์ คอลัมน์หอกข้างแคร่นี้ จึงเลือกที่จะใช้นามปากกามากกว่าจะเผยตัวตนจริง และให้ความรับผิดชอบต่องานเขียนของตน ตกอยู่กับบรรณาธิการผู้รับผิดชอบ ซึ่งกรณีนี้ก็คือ ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข โดยตรวจสอบว่า ข้อเขียนที่ปรากฏนั้นเป็นการกล่าวร้ายป้ายสีหรือเป็นไปด้วยเจตนาวิพากษ์วิจารณ์เพื่อการสร้างสรรค์ และปรารถนาให้ผู้อ่านและผู้ที่เป็นเป้าถูกวิจารณ์ได้มองข้ามตัวบุคคลผู้เขียน ไปสู่เนื้อหาและประเด็น
ผมในฐานะบรรณาธิการยืนยันได้ว่า ข้อเขียนที่ปรากฏแม้จะแรงและอาจมีผลต่อการทำลายภาพพจน์ความน่าเชื่อถือของผู้ที่ถูกวิจารณ์อยู่บ้าง แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราด่ากันได้ คุยกันได้ และอาจจะทะเลาะกันได้ในทุกครั้งที่เราเจอหน้า ร่วมวงสุรา และกอดคอกันในรุ่งขึ้น ต่างก็ตรงที่เรื่องนี้แทนที่มันจะปรากฏอยู่ในวงเหล้า มันกลับมาปรากฏอยู่ในสื่อสาธารณะ และเพราะสุริยะใสวันนี้เป็นคนของสาธารณะ
ว่ากันตามจริง แม้ผมจะเห็นสุริยะใส กตะศิลา (ผู้เป็นเป้าถูกวิจารณ์) มาตั้งแต่เป็นเพื่อนร่วมกิจกรรม เห็นถึงการทุ่มเทและเจตนาดีเพื่อสังคม ยกย่องนับถืออย่างไรก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลสักข้อที่จะหยุดหรือเมินเฉยต่อการวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ไม่ว่าจะในรูปแบบเปิดเผยตัวตนหรือในรูปแบบที่เปิดมาเฉพาะประเด็นโดยปราศจากชื่อจริงของผู้เขียน
ว่ากันตามจริง ผมและนายหอกหัก วิตกและห่วงใยเหมือนที่เพื่อนจะห่วงเพื่อน เมื่อได้รับข่าวว่าสุริยะใสถูกคุกคามในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จังหวัดอุดรธานี และไม่รีรอที่จะประณามการกระทำดังกล่าว รวมถึงการคุกคามครอบครัวสุริยะใสที่จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งไม่เคยเป็นข่าว
ในความเห็นของผมแล้ว ผมขอยืนยันว่า หอกข้างแคร่ ของ นายหอกหัก เป็นยาขมของกัลยาณมิตร และปรารถนาดีที่จะได้เห็นผู้ตกเป็นเป้าได้ทำงานต่อสู้ กระทั่งยืนยันได้ด้วยว่า คนเหล่านี้คือแนวหน้าที่เดินเคียงข้างในการต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมในสังคมร่วมกับสุริยะใสทุกครั้ง คนเหล่านี้นี่เองที่กังวลห่วงใยต่อสภาพที่สุริยะใส หรือแม้แต่สุภิญญา กลางณรงค์ ถูกสื่อบางฉบับพยายามปั้นให้เป็น "ดารา" และคงไม่ต้องบอกว่านี่คืออันตรายอย่างไร
จริงอยู่ แม้ท่าทีเหล่านี้จะเฉิ่มและเชย ไม่เหมาะสมกับยุคสมัยแห่งการตลาดและสร้างภาพอยู่บ้าง แต่จะให้เพื่อนทำอะไรได้มากกว่านี้เล่า หากเห็นเพื่อนในขบวนการต่อสู้ถูกเชิดให้ขึ้นที่สูงและอาจจะตายเอาได้ง่ายๆ มันง่ายที่จะเดินไปคุยกับสุริยะใส แต่เราจะสื่อสารกับสาธารณชนอย่างไรเพื่อให้เข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ว่า การต่อสู้เพื่อสังคมที่เป็นธรรม เป็นเรื่องของคนตัวเล็กๆ ไม่ใช่เรื่องของคนดังหรือดารา นี่ต่างหากที่ยาก
ที่จริงผมเองมั่นใจด้วยซ้ำว่า สุริยะใส จะเข้าใจเรื่อง ประเด็น และนัยสำคัญเหล่านี้ เพราะสุริยะใสเองก็ไม่เคยเดินไปหาคนในรัฐบาลและเตือนกันเป็นการส่วนตัวไม่ใช่หรือ
และนี่ไม่ใช่หรือคือ "เรา" ส่วนหนึ่งของ "ภาคประชาชน" อันไพศาล