Skip to main content
sharethis


ภาพจาก www.manager.co.th


 


ประชาไท—6 พ.ค. 2549 จากกรณีที่เทปบันทึกบทสนทนาทางโทรศัพท์ซึ่งมีผู้ระบุว่าเป็นเสียงของนายนิติภูมิ นวรัตน์ ว่าที่สมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร และหญิงสูงวัยคู่กรณีซึ่งกล่าวหาว่านายนิติภูมิโกงทรัพย์สิน ถูกนำมาเผยแพร่ทางเวบไซต์แห่งหนึ่งจนกลายเป็นข่าวอื้อฉาว ทำให้นายนิติภูมิต้องทำจดหมายเปิดผนึกเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง โดยระบุว่าเทปลับดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลในชั้นศาล


 


ทั้งนี้ เนื้อความในจดหมายอธิบายว่านายนิติภูมิได้ก่อตั้งกลุ่ม "บาลานซ์" ในปี 2525 เพื่อทำสถาบันกวดวิชาย่านมหาวิทยาลัยรามคำแหง จากนั้นจึงได้ขยายกิจการไปทำงานด้านอื่น เช่น เขียนบทความ ผลิตภาพยนตร์สารคดี ตั้งบริษัทจำหน่ายเสื้อผ้าและเครื่องเดินป่า ในห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ ทั้ง 6 สาขา


 


กิจการดังกล่าวดำเนินมาด้วยดีเป็นเวลา 21 ปี จนกระทั่งเดือนมิถุนายน 2546 มีคนรู้จักของนายนิติภูมิมาขอพบและแจ้งแก่นายนิติภูมิว่ามีบุคคลผู้หนึ่งอยากลงทุนร่วมกันด้วยการเปิดบริษัท 2 แห่ง คือ บริษัทผลิตภาพยนตร์เรื่อง "มหาราชดำ" และเป็นบริษัทผลิตสารคดีต่างประเทศเพื่อส่งผลงานให้กับเคเบิลทีวี ซึ่งบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าของเคเบิลทีวีอยู่แล้วถึง 2 แห่ง


 


ด้วยความเชื่อถือผู้ที่มาแนะนำ นายนิติภูมิจึงตัดสินใจร่วมลงทุนกับบุคคลดังกล่าวทั้งสองบริษัทด้วยเงินทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท และบริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่ทั้งสองแห่งมีบุคคลดังกล่าวและนายนิติภูมิเป็นกรรมการบริษัท และเป็นผู้มีอำนาจลงรายชื่อร่วมกัน โดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน


 


แต่หลังจากเข้ามาบริหารงานได้เพียง 3 เดือน หุ้นส่วนผู้นี้ก็ได้เดินทางไปประเทศมาเลเซีย พร้อมกับคณะของนายนิติภูมิ และหลังจากที่กลับจากประเทศมาเลเซีย หุ้นส่วนผู้นี้ได้หายไปไม่กลับมาทำงานอีกเลย ทั้งยังไม่สามารถติดต่อได้อีกด้วย


 


เมื่อหุ้นส่วนผู้นี้ไม่มาทำงาน นายนิติภูมิจึงต้องรับผิดชอบในการจัดการเพื่อพนักงานที่ยังเหลืออยู่ และหนี้สินของบริษัทจำนวนมากที่ร่วมกันทำธุรกิจกับหุ้นส่วนผู้นี้ และมีการตรวจบัญชีพบว่าหุ้นส่วนคนดังกล่าวได้จัดซื้อจัดหาวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในกิจการของบริษัทเป็นชื่อของตัวเอง และไม่ได้ซื้อในนามของบริษัทฟิล์มตามข้อตกลง ภายหลังหุ้นส่วนผู้นี้ได้ฟ้องร้องเพื่อเรียกอุปกรณ์เหล่านี้คืน จึงกลายเป็นคดีความอยู่ในศาลขณะนี้


 


เมื่อมีการนำเทปบันทึกการสนทนาระหว่างนายนิติภูมิกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกล่าวหาว่านายนิติภูมิโกงเงินหุ้นส่วน ออกมาเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตจึงถือเป็นการละเมิดทางกฎหมาย และนายนิติภูมิได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ที่กองบังคับการตำรวจปราบปราม เพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับผู้ที่เผยแพร่เทปดังกล่าว และแจ้งความร้องทุกข์ให้สืบสวนดำเนินคดีกับผู้ที่ส่งข้อความในอินเทอร์เน็ตด้วยอีกทางหนึ่ง


 


นายนิติภูมิได้ชี้แจงในจดหมายเปิดผนึกว่าการนำเทปบันทึกบทสนทนาที่กล่าวหาว่าตนเองโกงเงินของผู้อื่นมาเผยแพร่เป็นฝีมือบุคคลที่สามซึ่งหวังจะทำลายความน่าเชื่อถือของตนและเป็นกลั่นแกล้งทางการเมือง


 


ก่อนหน้าที่จะมีการเผยแพร่เทปลับดังกล่าว ศูนย์ประชามติ มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้สำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯ จำนวน 1,457 ราย เกี่ยวกับเกณฑ์การเลือกประธานวุฒิสภาที่ประชาชนต้องการ จากการสำรวจปรากฏว่า ประชาชนร้อยละ 31.8 เห็นว่า ร.ต.อ.นิติภูมิ นวรัตน์ คือผู้ที่เหมาะสมจะเป็นประธานวุฒิสภามากที่สุด


ในขณะที่ประชาชนร้อยละ 13.7 คิดว่าน่าจะเป็นนายกล้านรงค์ จันทิก ส่วนประชาชนร้อยละ 10.9 คิดว่าน่าจะเป็นนายอุทัย พิมพ์ใจชน และประชาชนร้อยละ 10.8 คิดว่าน่าจะเป็นนายพิจิตต รัตตกุล ซึ่งคะแนนของนิติภูมินำมาเป็นอันดับหนึ่งในการสำรวจครั้งนี้


 


อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นของประชาชนร้อยละ 97.6 ในการสำรวจความคิดเห็นดังกล่าวระบุว่าประธานวุฒิสภาควรจะคนมีไหวพริบ ฉลาดในการแก้ปัญหา มองการณ์ไกล มีความเป็นกลาง ไม่อยู่ใต้อำนาจของพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดโดยเฉพาะ มีความสุขุม รอบคอบ เป็นที่น่าเคารพ ในขณะที่ร้อยละ 95.8 ลงความเห็นว่าประธานวุฒิสภาควรมีประวัติซื่อสัตย์ ไม่พัวพันกับการคอรัปชั่น มีความแม่นยำด้านกฎหมาย อยู่ภายใต้ระเบียบข้อบังคับ และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ว่าทำเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net