"อุทัยวรรณ" รายงานชุดพิเศษ : นักเขียนคนโปรดของบิน ลาเดน (กรุณาอ่านตอนจบ)

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

The Greatest Intellectuals (Most Hated by Empire)

 

 

 

 

บทความชื่อเดิม

นักเขียนคนโปรดของบิน ลาเดน, อเมริกันเอ็มไพร์

และสิ่งที่มีความหมายกว่า "ชื่อเสียง 15 นาที"

(ตอนจบ)

 

โดย อุทัยวรรณ เจริญวัย

 

 

 

 

 

อุบัติเหตุชื่อบิน ลาเดน

28 มกราคม 2006 รายการ "Washington Journal" เคเบิลทีวี C-SPAN ช่วงตอบคำถามผู้ชมทางบ้าน    

 

ต่อไปนี้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของบทสนทนาน่ารักๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน      

 

มินนีอาโพลิส : สวัสดีครับ ขอบคุณครับที่รับสาย ผมอยากจะถามแขกรับเชิญท่านนี้หน่อยนะครับว่า เขามองตัวเองว่าจุดยืนทางการเมืองของเขาเป็นแบบเดโมแครตหรือรีพับลิกัน? และจากการที่เขาเคยเขียนหนังสือในปี 2000 ประณามการทิ้งระเบิดที่ (อดีต) ยูโกสลาเวียเนี่ย ผมอยากจะทราบว่า เขาคิดยังไงกับความจริงที่ว่า..ถ้า ซัดดัม ฮุสเซน ถูกปล่อยเอาไว้ แซงก์ชันอิรักถูกยกเลิก แล้วในที่สุด ซัดดัมก็จะสามารถพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์จนสำเร็จได้? เพราะฉะนั้นการที่เราเอาซัดดัมออกไปจึงน่าจะเป็นเรื่องดีนะครับ และอีกอย่าง...ผมอยากทราบว่า ที่บ้านของเขาน่ะ มีปัญหาเรื่องหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐ...มาแอบสอดแนมหรือดักฟังอะไรบ้างรึเปล่า? ขอบคุณครับ

 

บลัม : เรื่องที่คุณเชื่อว่า ซัดดัม ฮุสเซนจะมีอาวุธนิวเคลียร์ครอบครองถ้าเราปล่อยเขาเอาไว้เนี่ยนะ ผมมองว่ามันเป็นเรื่องของการคาดเดาล้วนๆ ยังไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ไม่มีเหตุผลให้คุณต้องตกใจกลัวกับเรื่องแบบนี้มากไปกว่า...การที่ปากีสถานเองก็มีอาวุธนิวเคลียร์ รวมทั้งอินเดีย อังกฤษ ฝรั่งเศส อิสราเอล อเมริกา หรือแม้แต่จีน หลายๆ ประเทศต่างก็มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในมือทั้งสิ้น ก็แล้วทำไมเราถึงต้องไปเจาะจงแต่ว่าซัดดัมกับอิรักเท่านั้น...ที่เป็นภัยคุกคามนิวเคลียร์? โลกนี้มันเต็มไปด้วยภัยคุกคามที่เป็นไปได้สารพัด ผมไม่เห็นด้วยว่าทำไมซัดดัมถึงต้องเป็นปัญหาอยู่รายเดียว

 

อ้อ...และสำหรับคำถามแรกของคุณเรื่องความเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองนั้น ผมบอกได้เลยว่า ผมไม่ใช่ทั้งเดโมแครตและรีพับลิกัน ผมเป็นอิสระครับ เมื่อเราพูดถึงนโยบายต่างประเทศ ผมจำเป็นต้องเน้นว่า ในทัศนะส่วนตัวของผมแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ตามในส่วนของนโยบายต่างประเทศ...ไม่มีความแตกต่างที่แท้จริงระหว่างพรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรค

 

ลาสเวกัส : ผมมีคำถามเกี่ยวกับ อิหร่าน ครับ........

 

คือ ไม่ค่อยจะเป็นที่รู้กันมากนักว่า ในช่วงที่ผ่านมา...สภาของเราได้โหวตให้โครงการ  "มินินุกส์"  (mini-nukes นิวเคลียร์ขนาดเล็ก 5 กิโลตันลงมา หรือ 1 ใน 3 ของบอมบ์ฮิโรชิมา) ที่เคยถูกยกเลิกไปกลับมาเดินหน้าใหม่ มีหลายคนเชื่อว่าอเมริกาวางแผนจะใช้ระเบิดนิวเคลียร์หล่านี้บอมบ์อิหร่าน โดยร่วมมือกันกับอิสราเอลและตุรกี ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะพอให้ความเห็นเรื่องนี้หน่อยได้มั้ย?

 

บลัม : สำหรับอเมริกา การบุกยึดอิหร่านต้องถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศพอๆ กับการบุกยึดอิรัก ผมยังสงสัยอยู่ว่า การบุกโจมตีที่จะเกิดขึ้นไม่น่าจะป็นเรื่องของปฎิบัติการภาคพื้นดินซักเท่าไหร่ เพราะเราไม่มีกำลังมากพอที่จะทำอย่างนั้นได้ แต่ผมคิดว่า...เราจะบอมบ์อิหร่านทางอากาศ ไม่ว่าจะร่วมกับอิสราเอลหรือไม่ และนั่นคือสิ่งที่ผมต่อต้าน เพราะอิหร่านมีสิทธิที่จะมีอาวุธนิวเคลียร์เหมือนชาติอื่นๆ  ถึงแม้ผมจะไม่ต้องการเห็นชาติใดในโลกมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในมือก็ตาม แต่ตราบใดที่หลายๆ ประเทศมีมันไว้ และที่รายล้อมอิหร่านก็มีแต่นิวเคลียร์กันทั้งนั้น คุณจะไปตำหนิอิหร่านได้ยังไง...ถ้าพวกเขาอยากจะมีมันบ้าง

 

0 0 0

 

อันที่จริง คงไม่ใช่แค่คำว่า "อิหร่านมีสิทธิที่จะมีอาวุธนิวเคลียร์เหมือนชาติอื่นๆ" เท่านั้น แต่เกือบทั้งรายการก็ว่าได้...ที่ทำให้คนอเมริกันจำนวนหนึ่งต้องตื่นขึ้นมาเริ่มต้นเช้าวันใหม่...ด้วยหัวใจที่เต้นแรงกว่าปกติทุกวัน

 

ทั้งนี้ ด้วยความเอื้อเฟื้อที่ไม่ได้ตั้งใจของใครบางคน

 

ก่อนวันที่ 19 มกราคม 2006 ชีวิตของวิลเลียม บลัม อยู่ในโหมดสบายๆ ค่อนข้างเรียบง่าย เขาใช้ชีวิตตัวคนเดียวอยู่ในวอชิงตันดีซี (แต่งแล้ว-หย่าแล้ว) แวะเวียนไปค้นคว้าเอกสารในห้องสมุดคองเกรสอยู่เป็นประจำ เขียนงานลงเว็บไซต์ตัวเองบ้าง ส่งไปตีพิมพ์ตามสิ่งพิมพ์ที่พอจะคุยกันรู้เรื่องบ้าง และรับเชิญไปพูดตามมหาวิทยาลัยที่โพรเฟสเซอร์ซ้ายๆ พอจะมีเสียงดังอยู่บ้าง

 

แต่ไม่ว่าจะเขียนหนังสือดีๆ ออกมากี่เล่ม พูดความจริงออกมากี่ล้านประโยค สื่อเมนสตรีมแทบทั้งหมดก็พากันเมินเฉยไม่ให้ความสนใจ (ประสบการณ์ร่วมของบิ๊กๆ ในกลุ่มซ้าย) งานของบลัมถูกตัดขาดจากชาวบ้านทั่วๆ ไป  เพราะไม่เคยมีสื่อยักษ์ค่ายไหนคิดจะหยิบหนังสือของเขาไปรีวิว

 

จนกระทั่ง 19 มกราคม 2006 ด้วยคำแนะนำและเชิญชวนของคนเพียงแค่หนึ่งคน ชีวิตในโหมดเดิมๆ ของบลัมก็เปลี่ยนไปทันที

 

โอซามา บิน ลาเดน ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับสงครามในอิรักและอัฟกานิสถาน ผ่านเทปบันทึกเสียงที่เผยแพร่ทางอัล-จาซีรา โดยมีใจความสรุปได้ว่า สถานการณ์ของอเมริกากำลังตกเป็นรองเหล่ามูจาฮีดีน และย่ำแย่ขึ้นทุกวัน พร้อมกันนั้น โพลของอเมริกาเองก็แสดงว่าคนอเมริกันอยากให้รัฐบาลถอนทหาร บิน ลาเดนจึงถือโอกาสนี้ ขอแสดงน้ำใจไมตรีต่อชาวอเมริกัน...ด้วยการยื่นข้อเสนอ "ยุติสงคราม" ให้รัฐบาลบุชรับไปก่ายหน้าผากคิดดู

 

และต่อไปนี้เป็นรายการ "โอซามา บุค คลับ" ที่บังเอิญ...มาแรงกว่า "โอปราห์ (วินฟรีย์) บุค คลับ" ไปอย่างช่วยไม่ได้

 

"เราไม่รังเกียจที่จะหยิบยื่นข้อเสนอยุติสงครามระยะยาวให้แก่ท่าน บนหลักแห่งความยุติธรรมที่เรายึดถือมาตลอด อย่างที่รู้กันว่าเราเป็นชาติที่พระเจ้าห้ามมิให้พูดปดและหลอกลวง ด้วยเหตุนี้ ภายใต้ช่วงเวลาสงบศึก ทั้งสองฝ่ายก็จะได้ยินดีกับความมั่นคงปลอดภัย ความมีเสถียรภาพ พร้อมกันถ้วนหน้า และเราก็จะได้ฟื้นฟูบูรณะอิรักและอัฟกานิสถานซึ่งถูกสงครามทำลายไปมากแล้ว ทางออกเช่นนี้ไม่มีอะไรให้พวกท่านต้องละอายแม้แต่น้อย เพราะมันจะช่วยยุติการสูญเสียงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ที่ไหลไปเข้ากระเป๋านักค้าสงครามในบ้านท่านได้ ซึ่งอันที่จริง คนเหล่านั้นก็เป็นพวกเดียวกันกับที่ทุ่มทุนสนับสนุนนายบุชในแคมเปญเลือกตั้งนั่นเอง - - และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่า ทำไมนายบุชและแก๊งของเขาจึงยืนยันที่จะเดินหน้าทำสงครามมาตลอด

 

ถ้าท่าน (ชาวอเมริกัน) มีความปรารถนาในสันติภาพและความมั่นคงอย่างจริงใจ เราก็มีคำตอบให้พวกท่านแล้ว แต่ถ้านายบุชยังเลือกที่จะโกหกและใช้กำลังเข้าทำลายล้างต่อไป มันก็คงจะเป็นการดีสำหรับท่านที่จะไปหาหนังสือ Rogue State มาอ่าน โดยในคำนำของหนังสือได้กล่าวไว้ว่า :

 

ถ้าผมเป็นประธานาธิบดี ผมสามารถหยุดการโจมตีอเมริกาได้ อันดับแรก ผมจะขอโทษต่อเด็กกำพร้า ผู้ที่เป็นหม้าย ผู้ที่ถูกทรมานทั้งหลาย และจากนั้น ผมก็จะประกาศว่า การแทรกแซงของอเมริกาที่มีต่อชาติต่างๆ ทั่วโลก...จบสิ้นลงแล้วตลอดกาล"

 

แซม สมิธ (Sam Smith) บรรณาธิการสื่อซ้าย Progressive Review หนึ่งในแฟนคลับของบลัมเช่นกัน เรียกคำพูดข้างบนนี้ว่า เป็น "รีวิวหนังสือแห่งทศวรรษ"

 

และไม่ว่าบิน ลาเดนจะรู้มาก่อนหรือไม่ก็ตาม แต่คำพูดของบลัมที่เขาโคว้ทมา คือวาทะยอดนิยมที่แทบจะกลายเป็น "บัตรประจำตัวประชาชน" ของบลัมไปแล้ว

 

วาทะล้อบุช "ถ้าผมเป็นประธานาธิบดี" นี้ บลัมได้เคยเขียนและพูดไว้ตามที่ต่างๆ หลายเวอร์ชันด้วยกัน ข้อความเต็มๆ อาจจะผิดเพี้ยนสั้นยาวต่างกันไปบ้าง แต่เนื้อหาหลักๆ ไม่ต่าง ในอเมริกา เราจะเห็นย่อหน้าคุ้นตานี้ได้ในปกหลังของ Freeing the World to Death แต่ในอังกฤษ (คนละสำนักพิมพ์) มันอยู่ในคำนำของ Rogue State ฉบับปรับปรุงปี 2002 และฉบับนี้เองที่มีการแปลไปเป็นภาษาอาหรับให้บิน ลาเดนได้อ่านและนำมาอ้างอิง

 

ไม่กี่ชั่วโมงหลังเทปบิน ลาเดนแพร่ไป สื่อต่างๆ ก็วิ่งเข้าหาบลัมจนแทบจะจัดคิวให้ไม่ถูก ทั้งรายการทีวี รายการวิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์ตระกูลเมนสตรีมทั้งหลาย แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็คือ วอชิงตันโพสต์ (คนบ้านเดียวกับบลัม) ที่ก่อนหน้านี้หันหลังให้เขามาตลอด บลัมแอบนินทาหนังสือพิมพ์ขวัญใจลิเบอรัล (และ pro-war) ฉบับนี้ว่า

 

"ตลอดสิบปีที่ผ่านมา ผมเคยเขียนจดหมายไปหาโพสต์...ส่วนใหญ่เพื่อชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดในส่วนของรายงานข่าวต่างประเทศ เชื่อมั้ยครับ...โพสต์ไม่เคยตีพิมพ์จดหมายผมเลยสักฉบับ  แต่ตอนนี้ ดูสิ โพสต์เอารูปผมขึ้นหน้าหนึ่ง"

 

(พฤติกรรมแบบนี้ไม่ใช่อาการเบี่ยงเบนชั่ววูบของโพสต์ค่ะ แต่มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่อาจจะฝังลึกอยู่ในดีเอ็นเอบรรณาธิการเกือบทุกคน วันหลังเราจะหยิบเอาเรื่องเด็ดๆ ของสื่อลิเบอรัลมาเมาธ์กันให้หายคัน)

 

วันที่ 21 มกราคม วอชิงตันโพสต์รายงานว่า ยอดสั่งซื้อ Rogue State ของร้านหนังสือออนไลน์-อเมซอน ขึ้นจากอันดับ 205,763 ไปเป็น 26 จากนั้น Socialist Worker ฉบับ 27 มกราคม ก็มีรายงานเช่นกันว่า "ชั่วข้ามคืนเท่านั้น Rogue State มียอดขายพุ่งขึ้นจากอันดับ 209,000 ไปเป็น 18  แซงหน้าหนังสือขายดี - The Da Vinci Code"

 

และทั้งหมดนี้ก็คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชื่อของบิน ลาเดนถูกจับมา "เคียงคู่" โดดเด่นกับชื่อของบลัม

 

สิ่งที่มีความหมายมากกว่า "ชื่อเสียง 15 นาที"

แม้จะไม่มีพิธีมอบรางวัลปูพรมแดงอะไร แต่บลัมก็ได้คาดสายสะพาย-กลายเป็น "นักเขียนคนโปรดของบิน ลาเดน" ไปแล้ว ช่วงแรกๆ สื่อส่วนใหญ่ที่วิ่งเข้าหาบลัมต่างก็อยากรู้ว่าบลัมจะรู้สึกอย่างไร มีปฏิกิริยาอย่างไร กับสถานภาพใหม่ที่ว่านี้ แทบทุกรายอยากเห็นบลัมแสดงอาการ  "รังเกียจ" หรือ "หยะแหยง" ต่อการที่ "หมายเลขหนึ่งของอัล-ไคดา" ออกมาชื่นชมหนังสือของเขา

 

แต่บลัมไม่ยอมรับมุขค่ะ เขาบอกว่า เขาอาจจะช็อค นึกไม่ถึง แต่ก็รู้สึกดีจริงๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

ไม่ใช่เพราะบลัมแอบมีใจให้ผู้ก่อการร้าย บลัมก็เหมือนแอคทิวิสต์ซ้ายทั่วไป ที่ไม่เอาทั้งเอ็มไพร์และไม่เอาทั้งบิน ลาเดน ไม่ว่าใครที่เคยติดตามผลงานของบลัมมา ต่างก็รู้ดีว่า ในช่วงเวลาที่บิน ลาเดนและชาวคณะมูจาฮิดีนของเขา (ร่วมกับซีไอเอ) เคลื่อนไหวโค่นล้ม "รัฐบาลสังคมนิยม" ในอัฟกานิสถานยุค 80 นั้น วิลเลียม บลัมเลือกที่จะยืนอยู่ข้างรัฐบาลสังคมนิยมที่แบ็คอัพโดยสหภาพโซเวียตต่างหาก

 

บลัมไม่เคยเห็นด้วยกับพวกฟันดะเมนทัสลิสต์ทางศาสนา โดยเฉพาะตาลีบันในอัฟกานิสถาน ที่ต่างก็มีประวัติป่าเถื่อนโหดร้ายในการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิสตรีถ้วนหน้า

 

และกับเหตุการณ์ 9/11 บลัมก็ยืนยันชัดเจนว่าเขา "ประณาม" ความรุนแรงนั้น แม้ว่าเขาจะชี้ให้เห็นพร้อมกันว่า...มันเป็นการแก้แค้นต่อนโยบายต่างประเทศของอเมริกาที่ "สามารถเข้าใจได้"

 

อย่างไรก็ตาม บลัม "ไม่มีปัญหา" ถ้าบิน ลาเดน จะนึกชอบสิ่งที่เขาเขียนขึ้นมา บลัมอธิบายตรงนี้ให้วอชิงตัน โพสต์ฟังคร่าวๆ ว่า

 

"แนวคิดหรือทฤษฎีหลักอันหนึ่งในงานเขียนของผมก็คือ ลัทธิการก่อการร้ายที่มุ่งต่อต้านอเมริกา มันกลายเป็นกระแสที่พุ่งขึ้นมา...ก็จากนโยบายต่างประเทศของอเมริกาเอง สิ่งที่รัฐบาลของเราทำลงไปและไปสร้างความโกรธแค้นให้กับคนทั่วโลก"

 

"ผมต่อต้านในสิ่งที่พวกเขา (ผู้ก่อการร้าย) ทำ แต่เราไม่ควรจะมองว่าทั้งหมดนี่เป็นแค่การกระทำของคนบ้ากลุ่มหนึ่ง เพราะถ้าเรามองอย่างนั้น เราก็จะทำผิดต่อไปซ้ำซาก และสงครามอย่างที่เรียกกันว่า-สงครามต่อต้านการก่อการร้าย ก็จะจบลงที่ความล้มเหลวเหมือนกับสงครามต่อต้านยาเสพติด"

 

(แน่ะ ย่อหน้าหลังนี่ฟังคุ้นๆ นะคะ ไม่ทราบว่า...บลัมแอบประชดใครข้ามโลกบ้างอ๊ะป่าว?)

 

สิ่งที่อเมริกาทำผิดต่อโลกมุสลิม สร้างความโกรธแค้นให้กับชาวมุสลิม มีอะไรบ้าง? บลัมได้อธิบายไว้อย่างครบถ้วนชัดเจนในหนังสือของเขาแล้ว บลัมสรุปถึงประเด็นนี้ทิ้งท้ายว่า

 

"ผมคิดว่าบิน ลาเดนแชร์ความคิดในส่วนนี้กับผมนะ  และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงไม่นึกรังเกียจการตอบรับจากเขา เพราะแนวคิดที่ว่านี้ถือเป็นหนึ่งในธีมหลักในหนังสือของผมครับ"

 

และนี่ก็เป็นแค่คำอธิบายสั้นๆ ที่มีไว้ใช้กับ "คนข้างนอก" เท่านั้น เพราะสำหรับ "คอเดียวกัน" ที่เว็บของบลัมมีบันทึกช่วงนี้ (บลัมเรียกมันว่า "ชื่อเสียง 15 นาที") ที่พร้อมจะทำให้คุณเข้าใจเขามากขึ้น

 

เหตุผลที่ทำให้บลัมรู้สึกดีกับอุบัติเหตุชื่อบิน ลาเดน :

 

"ในด้านหนึ่ง ผมอาจจะเกลียดชังพวกฟันดะเมนทัลลิสต์ทางศาสนา อย่างเช่นพวกตาลีบันในอัฟกานิสถาน แต่ในอีกด้าน ผมก็เป็นหนึ่งในขบวนการภาคประชาชนที่มีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานแรงกล้า ในอันที่จะ...ถ้าไม่สามารถหยุดยั้งอเมริกันเอ็มไพร์ได้...ก็คอยถ่วงให้มันช้าลงกว่านี้ก็ยังดี ให้สิ่งต่างๆ ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนานต้องถูกขัดขวางบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการบอมบ์ การบุกโจมตี การล้มล้างรัฐบาล และการทรมาน ซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลก เพื่อที่จะไปถึงเป้าหมายอันนี้ เราจำเป็นต้องทำให้ข่าวสารของเราไปถึงชาวอเมริกันจำนวนมาก และเพื่อที่จะเข้าถึงชาวอเมริกันจำนวนมากเราคงจะปฏิเสธสื่อสารมวลชนไม่ได้ สิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ได้เปิดโอกาสให้ผมเข้าถึงคนอเมริกันจำนวนมากมายหลายล้าน ซึ่งถ้าเป็นกรณีปกติผมคงไม่มีโอกาส ก็แล้วทำไมผมจะต้องไม่ยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น? ก็แล้วทำไมผมจะต้องปล่อยให้โอกาสที่ว่าสูญเปล่า?

 

"การเป็นคนดัง (Celebrity) - ความสำเร็จทางวัฒนธรรมขั้นสูงสุดในยุคอารยธรรมสมัยใหม่ - ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาด มันไม่มีค่าพอที่จะเอาอะไรไปแลกด้วยทั้งสิ้น ยกเว้นว่าคุณจะต้องการใช้มันเพื่อเป็นเครื่องมือไปสู่อะไรบางอย่าง"

 

ด้วยเหตุนี้ บลัมจึงพยายามใช้เครื่องมือชิ้นนี้ให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากที่สุด เพื่อที่จะลบล้างมายาคติของเอ็มไพร์ และให้ชาวอเมริกันทั้งหลายได้เปิดรับความจริงมากที่สุด

 

และ "สุดยอดมายาคติ" ที่บลัมต้องต่อสู้ด้วยอย่างน่าเหน็ดเหนื่อยตลอดช่วงที่ผ่านมา..ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า:

 

อเมริกาได้ทำสิ่งที่ดีงาม ยอดเยี่ยม วิเศษมากมายให้แก่โลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็น แผนการมาร์แชล ล้มลัทธิคอมมิวนิสต์ ล้มตาลีบัน ให้ความช่วยเหลือฟื้นฟู "ประเทศที่ถูกทำลาย" ทั้งหลาย ตลอดจนปลดปล่อยอิรักให้เป็นอิสรภาพ

 

บลัมได้บันทึกเกี่ยวกับ "การต่อสู้" อันน่าสนุกของเขาเอาไว้ว่า

 

"ผมเคยรับมือกับมายาคติประเภทนี้มามากมายเต็มที มันก็เหมือนกับเรื่องของอนุภาคในระดับที่ย่อยกว่าอะตอมน่ะแหละ...เมื่อคุณลองสังเกตดูใกล้ๆ ก็จะพบพฤติกรรมที่แตกต่างออกไป ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนก่อนหน้า ผมเพิ่งจะเขียนแจกแจงรายละเอียดเรื่อง "ประเทศที่ถูกทำลาย" ไปหมาดๆ ตามปกติ "ประเทศที่ถูกทำลาย" เหล่านี้ ก็ไม่ได้ถูกทำลายเพราะใครที่ไหนหรอก นอกจากจะถูกทำลายด้วยฝีมือ "อเมริกันบอมบ์" ทั้งนั้น ยิ่งกว่านั้น อเมริกายังไม่ใช่ผู้ฟื้นฟูหรือผู้ช่วยสร้างประเทศใหม่ให้ใครเลย อย่างเช่นในกรณีของอัฟกานิสถาน อเมริกานั่นแหละคือผู้ล้มล้างรัฐบาลฆราวาส รัฐบาลที่ส่งเสริมสิทธิสตรี และทำให้ตาลีบันขึ้นมามีอำนาจในที่สุด ด้วยเหตุนี้ อเมริกาจึงไม่สมควรจะได้รับเครดิตหรือการยกย่องอะไรทั้งสิ้น เมื่ออีกหนึ่งทศวรรษต่อมา อเมริกากลับมาขับไล่รัฐบาลตาลีบันออกไป แล้วแทนที่มันด้วยการยึดครองของอเมริกาเอง ประธานาธิบดีหุ่นเชิดของตัวเอง แถมหัวหน้าแก๊งโจรอีกร้อยพ่อพันแม่ ตลอดจนการล่ามโซ่เพศแม่ที่ไม่มีอะไรดีขึ้น

 

"การพยายามที่จะอธิบายเรื่องพวกนี้ ทางวิทยุ ทีวี ภายใน 1 นาทีหรือประมาณนั้น...ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถึงอย่างไร ผมก็ได้จัดการ "บีบอัด" ข้อมูลใหม่ๆ จำนวนมากเท่าที่จะทำได้เข้าไปในจิตใจของคนอเมริกันแล้ว

 

"เห็นได้ชัดว่า ผู้ดำเนินรายการหรือผู้ชมทางบ้านที่โทรเข้ามาบางราย ต่างก็รู้สึกทำใจไม่ได้ไปตามๆ กัน เวลาที่ได้ยินผมพูดว่า...ผู้ก่อการร้ายที่มุ่งโจมตีอเมริกา ก็คือผู้ที่กำลังแก้แค้นต่อความเลวร้ายที่นโยบายต่างประเทศของเราไปทำไว้กับประเทศของพวกเขาต่างหาก และผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ก็ไม่ใช่แค่...สิ่งมีชีวิตชั่วร้าย ไร้ความรู้สึก ไร้จิตใจ หรือคนบ้าที่บังเอิญหลุดมาจากดาวดวงอื่นแม้แต่น้อย ทันทีที่คนส่วนใหญ่ได้ฟังผมพูด ก็มักจะด่วนสรุปอย่างมั่นใจแต่ไร้ซึ่งเหตุผลรองรับว่า ผมต้องเป็นพวกที่ฝักใฝ่พรรคเดโมแครตแน่ๆ แล้วคนพวกนั้นก็จะหันไปเล่นงานบิล คลินตันแทน  แต่พอผมชี้ให้เห็นว่าผมไม่ใช่แฟนเดโมแครตหรือคลินตันเท่านั้น พวกเขาก็จะทำท่างงๆ อึ้งๆ กันไปสักพัก ก่อนที่จะกระโดดไปหาประเด็นไร้สาระอื่นๆ ต่อไป และนี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง คนเหล่านั้นไม่เคยรู้เลยว่า พ้นไปจากรีพับลิกันและเดโมแครตแล้ว...ยังมีโลกอีกใบที่จับต้องได้และเป็นทางเลือกใหม่ล้วนๆ"

 

และใครก็ตามที่ชอบกล่าวหาว่าชาวมุสลิมที่ประท้วงการ์ตูนหมิ่นศาสดา...เป็นพวกหัวรุนแรงล้าหลังแล้วล่ะก็ เชื่อเถอะว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับบลัมในอเมริกาก็ไม่ได้ดู "ก้าวหน้า" ไปกว่ากันสักเท่าไหร่ นอกจากจะต้องเจอกับสายที่โทรเข้ามาขู่ "ระวังตัวให้ดีนะ" ในรายการวิทยุแล้ว บลัมยังต้องเจอกับเฮทเมล์หรือเมล์บ้าๆ โรคจิตอีกหลายร้อย หนึ่งในนั้นเริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า

 

"Death to you and your family"

 

และทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของรสชาติประหลาดๆ 15 นาทีที่ผ่านมา แต่ถ้าจะถามบลัมว่า มีโมเมนต์ไหนที่เขาประทับใจเป็นพิเศษบ้างรึเปล่า? คำตอบอยู่ที่นี่ :

 

รายการวิทยุเอเอ็มในเพนซิลเวเนีย ระหว่างการพูดคุยเรื่องความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์

 

พิธีกรหญิง (เสียงโกรธจัด) : อิสราเอลเคยไปทำอะไรไม่ดีให้กับชาวปาเลสไตน์? (ฮึ)

 

บลัม :  คุณไปโคม่าอยู่ที่ไหน...ในรอบ 20 ปีมาเนี้ย?

 

บลัมบอกว่าจริงๆ แล้วประโยคท้ายของเขา สามารถใช้ย้อนถามกับพิธีกรส่วนใหญ่ในอเมริกาได้เกือบทั้งประเทศ เพียงแต่ต้องเปลี่ยนท้ายนิดหน่อย เป็น 60 ปี...น่าจะดูดีกว่า

 

และนี่ก็คือวิธีการตอบคำถามของบลัม ที่ไม่เคยทำให้ใครต้องสับสนแม้แต่น้อย...ระหว่างเขากับนอม ชอมสกี

 

ทุกวันนี้ 15 นาทีของบลัมอาจจะเฝดไปแล้ว จบไปแล้ว ใช้คุ้มไปแล้ว แต่ร่องรอยบางอย่างยังคงหลงเหลือตกค้างอยู่เหมือนกัน อย่างเช่น ที่ร้านอเมซอน หลังจากที่อันดับความนิยมของ Rogue State ซึ่งเคยอยู่ในหลักแสน พุ่งพรวดเดียวไปที่หลักสิบ จากนั้นก็ได้ตกลงมาเรื่อยๆ ล่าสุดช่วงต้นเดือนพฤษภาคม หนังสือของบลัมยืนรักษาอันดับอยู่ในหลักพัน (บางวันห้าพันกว่า บางวันสามพันกว่า)

 

อย่างไรก็ตาม ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซ้ายกลุ่มหนึ่งได้เกิดนึกสนุก-ลองหยิบมาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับบลัม (และปัญญาชนซ้ายอีกคนที่ดังโดยไม่เจตนา - Ward Churchill) มานั่งถอดรหัสดูว่า เมื่อมองในภาพใหญ่ มันพอจะมีความหมายอะไรบ้างมั้ย? มันจะนำมาซึ่งความแตกต่างหรือความเปลี่ยนแปลงที่เป็นบวกสักแค่ไหน? บางคนเชื่อว่า ท่ามกลางการถูกล้างสมองติดๆ กันหลายปีในโรงเรียน การออกมาเปิดโปงเอ็มไพร์ชั่วแว้บเดียวของบลัม...ไม่น่าจะมีผลอะไรกับคนอเมริกันทั่วๆ ไป

 

เสียงส่วนใหญ่ดูเหมือนจะสรุปคล้ายๆ กันว่า...อย่าโรแมนติกให้มากดีกว่า (ทำนองนั้น)

 

ในขณะที่ฮาเวิร์ด ซินน์ ถามกลับว่า "จะบอกได้ยังไงล่ะ?" เหตุการณ์หรือการกระทำส่วนใหญ่...ถึงมันจะสร้างความแตกต่างในสังคม มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถรับรู้หรือมองเห็นได้ง่ายๆ อยู่แล้ว

 

"มันเป็นเรื่องของความแตกต่างจากโน่นนิดนี่หน่อยที่สะสมกันเข้าเรื่อยๆ จนถึงจุดๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นจุดวิกฤติ เราถึงจะเห็นว่ามันมีผลกระทบตามมาหรือสร้างความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้เกิดขึ้น"

 

เรื่องของเรื่องจึงอาจจะอยู่ที่การสร้างความแตกต่างชิ้นเล็กๆ อันไม่สลักสำคัญ จับต้องไม่ได้ มองเห็นไม่ชัด มากกว่าการจะไปหมกมุ่นว่าการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ จะเดินทางมาถึงเมื่อไหร่? (หรือชาตินี้...มันจะมีวันมาถึงมั้ย?)

 

พรุ่งนี้บลัมอาจจะถูกลืม หนังสืออาจจะขายไม่ค่อยออก รายได้เลี้ยงตัวอาจจะลดลงนิดหน่อย แต่คุณก็รู้สึกได้ใช่มั้ยว่า - - ส่วนที่ดีที่สุดของเรื่อง...มันไม่ได้อยู่ตรงนั้น

 

ที่ไหนสักแห่งในวอชิงตันดีซี จะมีสปอตไลต์หรือไม่มี บลัมยังคงนั่งทำงานอยู่ที่นั่นเสมอ ผู้ชายวัย 70 คนหนึ่งยังคงมุ่งมั่นทำในสิ่งที่เขาเชื่อ เขียนในสิ่งที่เขารัก ต่อสู้เพื่อคนที่เขาไม่เคยรู้จัก และนั่นก็เป็นความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่พอแล้ว...สำหรับมนุษย์คนหนึ่งที่ได้ทุ่มเทอุทิศทั้งชีวิต (อันยาวนาน-นับไม่ถ้วนนาที) เพื่อความดีงามในโลกใบนี้ o

 

..............................................

 

ผลงานหนังสือ

1986: The CIA: A Forgotten History (Zed Books)

1995: Killing Hope: U.S. Military and CIA Interventions Since World War II (Common Courage Press)

2000: Rogue State: A Guide to the World's Only Superpower (Common Courage Press)

2002: West-Bloc Dissident: A Cold War Memoir (Soft Skull Press)

2004: Freeing the World to Death: Essays on the American Empire (Common Courage Press)

 

เว็บไซต์ของบลัม

www.killinghope.org  

(คำเตือน : เป็นเว็บที่ปลอดดีไซน์ ปราศจากผงชูรส ง่าย ดิบ โหด ไม่รักกันจริงอย่าได้คลิกเข้าไปอ่าน)

โอเคค่ะ แต่ถ้าคุณไม่แคร์อะไรเปลือกๆ ที่นี่คือศูนย์รวมงานเขียนที่ตัดมาจากหนังสือ บทความ และการบรรยายตามเวทีต่างๆ ให้คุณเลือกอ่านโดยไม่ต้องเสียตังค์ และที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ รายงานอัพเดทเกี่ยวกับเอ็มไพร์หรือ  Anti-Empire Report  ที่บลัมเขียนให้คุณอ่านกันมันส์ๆ ได้ทุกเดือน ขอย้ำว่ามันส์จริง-ไม่ล้อเล่น แต่ถ้าทนไม่ไหวกับดีไซน์ที่ไม่ยอมดีไซน์ เชิญไปหาอ่านงานบลัมได้ที่เว็บซ้ายขาใหญ่คับซอยแบบ CounterPunch หรือ Znet

 

ข้อมูลประกอบ

(เนื่องจากผู้เขียนเป็นนักเขียนที่นิยมใช้แหล่งข้อมูลเปลืองมาก กระจัดกระจายมาก เกินความจำเป็นมาโดยตลอด งานนี้หรืองานไหน...จึงไม่สามารถอ้างอิงข้อมูลได้ครบอยู่แล้ว ขอยกมาแค่สั้นๆ เฉพาะที่คิดว่าผู้อ่านจะสนใจละกัน)

Interview with an Under-Appreciated Radical, Mickey Z., Left Hook, November 22, 2004

America's Most Feared Man, Darren Guy, Nerve Vol.2, CatalystMedia, 2005

Full text of bin Laden tape, Seattle Post-Intelligencer, January 19, 2006

The Author Who Got A Big Boost From bin Laden, David Montgomery, Washington Post, January 21, 2006

Antiwar author William Blum on the Osama bin Laden tape, Dave Zirin, Socialist Worker, January 27, 2006

William Blum in the Media Whirlwind, C-SPAN, January 28, 2006

How I spent my 15 minutes of fame, William Blum, KillingHope, February 14, 2006

15 Minutes of Radical Fame, Mickey Z., CounterPunch, April 24, 2006

 

 

0 0 0

 

หมายเหตุถึงผู้อ่าน - เนื่องจากสถานการณ์โลกไม่ค่อยเป็นใจ ซีรีส์ปัญญาชนซ้าย จำเป็นต้องหลีกทางให้ปัญหานิวเคลียร์อิหร่านและนิวเคลียร์อื่นๆ ชั่วคราว ระหว่างนี้ผู้อ่านจะได้อ่านเรื่องอิรัก อิหร่าน ปัญหาเกี่ยวกับสนธิสัญญา NPT และอาจเลยไปโน่น ฮามาส/ปาเลสไตน์ สลับกันไปมาเป็นระยะๆ และเราจะกลับมาที่ซีรีส์นี้กันต่อ...เมื่อถึงเวลาอันควร และเมื่อเราทุกคนต่างก็เหม็นเบื่อกับ "ปาหี่นิวเคลียร์อิหร่าน" กันทั่วหน้าแล้ว-ทำนองนั้น จึงขอแจ้งให้ทราบทั่วกันนะคะ เพื่อผู้อ่านประชาไทจะได้ไม่สับสนกับพฤติกรรมที่น่าสับสนของนักเขียนบางคน - ขอบคุณค่ะที่เข้าใจ ]

 

[แอบเมาธ์ - คุณผู้อ่านเคยคิดเหมือนดิฉันมั้ยคะว่า (สักวูบนึง-ไม่ซีเรียส)...ถ้าคณะรัฐศาสตร์บังคับให้เด็กต้องเรียน "ควอนตัมฟิสิกส์" ไปด้วย เราจะได้บัณฑิตที่มีคุณภาพมากกว่านี้? สำหรับดิฉัน คนที่เอาแต่รู้เรื่องการเมืองอย่างเดียว...หรือคนที่เอาแต่บ้าเรื่องควอนตัมอย่างเดียว...น่าเบื่อพอๆ กัน (ไม่เซ็กซี่พอๆ กัน) - - อ้อ อีกนิดนึงค่ะ วันก่อน ดิฉันได้คุยกับอาจารย์สอนศิลปะคนหนึ่ง เพิ่งจะรู้ว่าหลักสูตรมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเค้าเจ๋งกว่าพี่ไทยเยอะเลย นักศึกษาศิลปะของเค้า (สถาบันที่ได้ข้อมูลมาเนี่ย) ไม่ได้เรียนกันแต่วิชาศิลปะอย่างเดียวนะคะ ขอบอก ]

 

 

 

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท