โดย ประเสริฐ แรงกล้า
เหตุการณ์ชาวบ้านกูจิงลือปะจับกุม กักขังและทำร้ายครูสองคนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จนหนึ่งในสองครูตัวประกันได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นข่าวที่สร้างความตื่นกลัวแก่คนทั่วประเทศ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครูจูหลิง ผู้มาจากแดนไกลถึงจังหวัดเชียงราย
สื่อมวลชนทุกแขนงนำเสนอข่าวนี้อย่างครึกโครมและก่อให้เกิดกระแสสังคมรุมประณามคนร้ายที่ทำร้ายครูทั้งสองคน คนทั้งประเทศต่างพากันสงสารครูจูหลิง ผู้โชคร้ายจากปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เชื่อว่าทุกคนคงรู้สึกน้ำตาคลอเบ้าไม่ต่างจากผม เมื่อเห็นหัวอกคนเป็นพ่อและแม่ และความตั้งอกตั้งใจในการสอนหนังสือของครูจูหลิงที่สื่อเสนอเป็นข่าวมา
มีคำถามเกิดขึ้นหลังเหตุการณ์นี้มากมาย โดยส่วนใหญ่พุ่งไปที่การทำงานของเจ้าหน้าตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครองว่ามีความประสิทธิภาพในการรับมือกับเหตุการณ์เช่นนี้มากเพียงใด ในยามที่ขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสดูจะยังคงเข้มแข็ง
ประเด็นหนึ่งที่มีพื้นที่ข่าวน้อยมากคือ รายละเอียดเกี่ยวกับการจับกุมผู้ต้องหาคดีก่อความไม่สงบ 2 รายในช่วงเช้า และรากลึกของความรู้สึกว่าผู้ต้องหาที่ตำรวจจับเป็นผู้บริสุทธิ์หรือเป็น"แพะ" (เหมือนเหตุการณ์หนุ่มสติไม่ดีทุบองค์พระพรหมจนเสียหาย ทุกคนก็หันไปสร้างพระพรหมองค์ใหม่ และไม่มีข่าวต่อว่าทำไมหนุ่มคนบ้าคนนี้เป็นใคร และทำไมเขาจึงมาที่นั่นในเวลาดึกเช่นนั้น)
ข่าวของศูนย์ข่าวอิศรารายงานเรื่องนี้ว่า การจับกุม 2 ผู้ต้องหาดังกล่าว สืบเนื่องจากเป็นผู้ต้องสงสัยจากคดีซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ รปภ.ทหารเสียชีวิต 2 นายที่สถานีรถไฟลาโล๊ะ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส เมื่อปี 2548 และผลการตรวจค้นก็พบของกลางเป็นอาวุธปืนพร้อมกระสุน 4 นัดและหลักฐานอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง
ภรรยาของผู้ต้องหาปักใจเชื่อว่าเป็นการใส่ร้าย (ไม่มีใครรู้ว่าเป็นผู้ถูกจับกุมเป็นผู้ร้ายจริงหรือไม่ แต่เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ตามอำนาจใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) เธอจึงลุกขึ้นมาทำปลุกระดมให้ผู้หญิงมุสลิมและเด็กให้มาจับกุมครูจนเกิดเหตุการณ์น่าเศร้านี้
ผมอยากรู้ว่า ความคิดความรู้สึกในใจของผู้หญิงมุสลิมที่ลุกขึ้นมาจับครูเป็นตัวประกันนี้เป็นอย่างไรกันแน่ เธอลงมือเพียงเพราะมีคนคอยยุแหย่ หรือนี่เป็นทางออกของเธอเพื่อช่วยสามี ความอึดอัดของเธอจึงแตกโพล่งเป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้าต่อครู 2 คน
แต่..... ดูเหมือนจะไม่มีใครตอบคำถามนี้
ผมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกน่าอึดอัดในใจของคนที่ไม่มีทางออกนี้ได้อีกครั้ง เมื่อได้ดูหนังรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม รางวัลลูกโลกทองคำอย่าง
หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของหนุ่มชาวปาเลสไตน์สองคน ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ มือระเบิดพลีชีพ โจมตีกรุงเทลอาวีฟ ของอิสราเอล ในเวอร์ชั่นที่ต่างจากหนังตะวันตกทั่วไป
ซาอิดและคาเล็ด สองมือระเบิดพลีชีพถูกนำเสนอในฐานะมนุษย์ที่มีหัวจิตหัวใจ มีครอบครัวและพี่น้อง มีความลังเล ความกลัว และที่สำคัญรักคนอื่นเป็น หนังเรื่องนี้ได้รับการยกย่องในแง่มุมมองของการเล่าเรื่อง หนังให้ความยุติธรรมกับคู่กรณีทั้งฝ่ายปาเลสไตน์และอิสราเอล
ในด้านหนึ่ง หนังชี้ให้เห็นที่มาของความคับแค้นต่างๆที่ชาวปาเลสไตน์ประสบจากการยึดครองของอิสราเอลในเมืองนาบลัส เมืองเวสต์แบงค์ ตัวเอกทั้งสองคือตัวแทนของชาวปาเลสไตน์แบบคนจนตรอก เมื่อไม่มีกองทัพอย่างอิสราเอล ก็ต้องสู้ด้วยการสละชีวิต
เขาพลีชีพเผื่อว่าอาจจะนำชีวิตที่ดีกว่ามาสู่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป แล้วพระเจ้าก็รอรับเขาอยู่ข้างบน เป็นวิถีทางไปสู่สวรรค์ที่เกิดขึ้นได้ในเวลาเพียงอึดใจเดียว
ในอีกด้านหนึ่ง หนังก็แสดงให้เห็นภาพชาวอิสราเอลที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ในกรุงเทลอาวีฟ ที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อของการใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหาด้วยเช่นกัน หนังเรื่องนี้จึงไม่ได้ทำขึ้นเพื่อเชิดชูปาเลสไตน์และประณามฝ่ายอิสราเอลอย่างสุดโต่ง
ใบแนะนำหนังเขียนโปรยหนังเรื่องนี้ว่า "สันติภาพตายแล้ว? ด้านที่ไม่เคยเห็น ของคนที่คุณไม่เคยเห็น" คุณค่าของหนังเรื่องนี้จึงอยู่ที่การเปิดให้เห็นก้นบึ้งในจิตใจของมือระเบิดพลีชีพ คนไกลที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย นอกจากในหนังฮอลลีวูดที่มีเพียงมิติการเป็นผู้ร้ายเพียงด้านเดียว
ผมชอบใบปิดหนังใบหนึ่ง ที่มีภาษาฝรั่งเศสเขียนเอาไว้ว่า "24 H. DANS
ภารกิจภายใน 24 ชั่วโมงของมือระเบิดพลีชีพชวนให้น่าติดตาม เมื่อปฏิบัติการไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ จนนำมาสู่การสนทนาโต้เถียงทั้งในเป้าหมายและสัมฤทธิ์ผลที่จะเกิดขึ้นตามมา ระหว่างคน 3 คน ซาอิด คาเล็ด และซูฮา คนรักของซาอิด (ขอเตือนสำหรับคนไม่ชอบหนังมีบทสนทนาเยอะ)
หนังเรื่องนี้ทำให้เรารู้จักมือระเบิดพลีชีพในอีกด้าน เรารับรู้ถึงความคิดความรู้สึกที่วนเวียนอยู่ในหัวของซาอิดและคาเล็ดในช่วงเวลาปฏิบัติการ 24 ชั่วโมง จากหนังความยาว 90 นาที
ดู
แต่มองไปมองมา ผมก็ยังไม่เห็นชาวบ้านกูจิงลือปะในด้านที่อยากเห็น โดยเฉพาะหญิงผู้เป็นภรรยาผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมไป เพราะความระแวงคงกระจายไปทั่วกูจิงลือปะและสังคมไทยเสียแล้ว
ชาวบ้านกูจิงลือปะและคนในอีกหลายหมู่บ้านที่เคยเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้กลายเป็นคนที่อยู่ไกลในด้านระยะทาง และไกลในความเข้าใจในฐานะเป็นมนุษย์ธรรมดาผู้มีหัวจิตหัวใจ และอาจเป็นคนที่เราจะไม่ได้เห็นตลอดไป ........ถ้าเราไม่เปิดใจรับฟัง