คนสามจังหวัดชายแดนใต้ขานรับพ.ร.บ.สมานฉันท์ นักกม.ระบุรัฐบาลประกาศรวมในยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ได้ทันทีโดยไม่ต้องตรากม. วอน กอยส.รับช่วงต่อป้องกันการแก้ไข ปัญหาชาวบ้านสะดุด
หลังจากนายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.)ได้นำเสนอรายงานฉบับสมบูรณ์ของกอส.ที่เสนอต่อรัฐบาล โดยเสนอให้มีการตราพระราชบัญญัติสมานฉันท์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พรบ.ดับไฟใต้)เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ยังเสนอให้มีการตั้งองค์กรเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงดังกล่าว 3 องค์กร คือ 1.ศูนย์อำนวยการยุทธศาสตร์สันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศยส.) 2.สภาพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 3.กองทุนสนับสนุนการเยียวยาและสมานฉันท์ โดย 3 องค์กรดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้อำนาจพระราชบัญญัติดับไฟใต้
นายอับดุลอายิ อาแวสือแม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า พ.ร.บ.ดับไฟใต้ ที่กอส.เสนอต่อรัฐบาลถือว่าเป็นเรื่องดี ที่จะมีหลักและมาตรการที่ชัดในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีองค์กรที่ตั้งขึ้นมาเพื่อกำกับดูแลตามหน้าที่ต่างๆอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำแก้ปัญหาในเรื่องความไม่เข้าใจกัน
"แต่ที่ผ่านมากอส.ก็ทำงานเต็มที่ แต่ตอบรับจากภาครัฐ สะท้อนกลับมาน้อยมาก และ พรบ.ดับไฟใต้ ที่ได้นำเสนอต่อรัฐบาลไปแล้วนั้น หากมองการตอบรับจากภาครัฐในการนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในอดีตที่ผ่านมา ไม่ทราบว่าจะได้รับการตอบรับจากรัฐ สักกี่เปอร์เซ็นต์ ผมไม่ได้คาดหวังกับผลการตอบรับ"นายอับดุลอายิ กล่าว
อย่างไรก็ตาม หาก พ.ร.บ.ได้รับการพิจารณาและนำมาบังคับใช้ อยากให้มีการตั้งองค์กรเข้ามากำกับดูแล เพราะ กอส. ผู้เสนอ ร่าง พ.ร.บ.ก็จะหมดวาระ ในเร็วๆ นี้ ดังนั้นจึงอยากให้ทาง กอยส.เข้ามารับช่วงดูแลต่อไป เพราะหากไม่มีผู้กำกับดูแลและรับผิดชอบ และกระจายงานไปสู่องค์กรย่อยทั้งหมด ไม่เช่นนั้นการแก้ปัญหาก็เป็นไปอย่างล่าช้า
นายมาหะหมัดอามีน ซาริคาน เลขาชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน จ.นราธิวาส กล่าวว่า พ.ร.บ.ดับไฟใต้ ของ กอส. ที่เสนอต่อรัฐบาลถือเป็นแนวทางดีมาก เพื่อรัฐบาลจะได้มีแนวทางที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ แต่การแก้ปัญหาต้องเพิ่มความจริงใจและตั้งใจ โดยเฉพาะในระดับผู้ปฏิบัติด้วย
"องค์กร 3 องค์กรภายใต้ พ.ร.บ.ดับไฟใต้ ต้องให้พื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เพื่อกระจายการทำงานไปสู่รากหญ้าในการแก้ไขปัญหา และสร้างความเข้าใจต่อประชาชนใน"เขา กล่าว
ด้านนายนิมุ มะกาเจ ผู้ทรงคุณวุฒิ อดีตรองประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลา กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าข้อมูลที่ทางกอส.นำเสนอนี้จะเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ และแนวทางที่ กอส.เสนอมา คือ มติส่วนใหญ่ในที่ประชุม และเมื่อเป็นข้อเสนอ ทุกฝ่ายโดยเฉพาะภาครัฐ ภาคประชาชนควรจะนำมาร่วมกันปฏิบัติในทุกฝ่าย
"ผมพูดได้อย่างเต็มปากว่านี่คือการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ไม่ใช่แนวทางซื้อปัญหา หรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเหมือนในอดีต"นิมุ กล่าว
ส่วนการจัดตั้งศูนย์อำนวยการยุทธศาสตร์สันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศยส.) เพื่อมาเป็นตัวหลักในการแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นายนิมุ กล่าวว่า ต้องพิจารณาเต็มรูปแบบจากข้อเสนอของ กอส. เช่น ปัญหาขั้นพื้นฐาน 4 อย่างคือ ปัญหาความยากจน การพัฒนาด้านการศึกษา การยอมรับในความแตกต่าง และการพัฒนากระบวนการยุติธรรม ซึ่งรูปแบบทั้งหมดนี้จะต้องไปหลอมรวมกันเพื่อจะนำไปให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รองรับข้อมูลทั้งหมดซึ่งเป็นหลักการใหญ่
ส่วนข้อเสนอแนะให้ปรับระบบกฎหมายอิสลามเพื่อนำมาใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น นายนิมุ กล่าวว่า ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ผ่านมา ก็มีดาโต๊ะยุติธรรม (ผู้ตัดสินคดีตามหลักการศาสนาอิสลาม) ประจำศาลจังหวัด แต่เพียงตัดสินในเรื่องมรดกเท่านั้นเอง ส่วนการจะนำกฎหมายอิสลามมาบูรณาการในการบริหารปกครอง เช่นจะนำกฎหมายชารีอะห์ ไปใช้ก็ต้องมีการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งอย่างรอบคอบก่อนที่จะนำมาใช้จริง
นายนิรามาน สุไลมาน ทนายความและกรรมการหอการค้า จ.ปัตตานี กล่าวว่า ข้อเสนอทั้ง 12 ข้อของกอส.เป็นความต้องการของประชาชนในพื้นที่จึงขอให้รัฐบาลเปิดใจ ตอบรับอย่างไม่มีเงื่อนไข และนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และเชื่อมั่นว่ามาตรการดังกล่าวจะสามารถแก้ปัญหาความรุนแรงได้
นายอิสมาแอ สาและ รองเลขาธิการสมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย( ยมท.) กล่าวว่า เห็นด้วยกับแนวทางของกอส.ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎหมายชารีอะห์ การเยียวยา แต่ไม่มั่นว่าข้อเสนอที่กอส.เสนอทั้งหมดนี้รัฐบาลจะสามารถปฏิบัติได้มากน้อยเพียงใด และมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาหรือไม่
"คำว่าสมานฉันท์จะต้องอยู่ที่จิตสำนึก ส่วนตัวแล้วคำว่ากฎหมายสมานฉันท์ไม่น่าจะเกิดขึ้น กฎหมายบ้านเมืองมีอยู่แล้ว แต่คนบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ปฏิบัติจริงจัง แม้จะมีกฎหมายอีกกี่ฉบับขึ้นมาก็ไม่มีความหมาย"นายอิมาแอ กล่าว
พระมหาชรัส อุชุจาโร รองเจ้าคณะจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า ข้อเสนอของกอส.ที่เสนอให้ตรา พ.ร.บ.ดับไฟ และมีการจัดตั้ง 3 องค์กรเพื่อเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาความรุนแรงนั้นเป็นเรื่องที่ดีและมีความเป็นไปได้สูง หากมองจากปัจจัยของพื้นที่ เนื่องจากภาคประชาชนเองมีความเข้มแข็งอยู่แล้ว และมีอำนาจในการต่อรองกับรัฐบาลสูง
"หัวใจหลักที่จะนำมาเป็นแนวทางต้องเป็นแนวทางที่ทำให้เกิดความสมานฉันท์และสันติสุข"พระมหาชรัส กล่าว
รองเจ้าคณะจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า สำหรับการจัดตั้งองค์กรแต่ละองค์กรนั้น ควรรวมคนทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ ไม่ใช่เปิดโอกาสให้แต่คนกลุ่มใหญ่ เพราะผู้บริสุทธิ์มีอยู่ทุกกลุ่ม ทุกคนก็โดนปัญหารุมเร้าเหมือนกัน แล้วคนแต่ละกลุ่มก็สามารถให้ความรู้และคำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะได้ทุกคน ให้ทุกคนมีส่วนรับรู้เท่าๆกัน อย่าคิดไปเองว่าคนกลุ่มเล็กๆจะไม่มีความรู้ที่สามารถเข้ามาร่วมแก้ปัญหาได้
นายทองใบ ทองเปาว์ รักษาสว.กทม.กล่าวว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอให้มีการจัดตั้งองค์กรเข้ามาแก้ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดตังหน่วยสันติเสนา หรือการเสนอตั้ง 3 องค์กรให้อยู่ภายใต้พรบ.ดับไฟใต้ ซึ่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าว กอส.ไม่จำเป็นต้องเสนอให้มีการตรากฎหมายขึ้นใหม่ เพราะกว่าพระราชบัญญัติจะมีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมายจะต้องผ่านหลายขั้นตอน
"การเมืองวุ่นวายอย่างนี้ ผมไม่มั่นใจ ถ้าจะเสนอเป็นกฎหมาย ไม่รู้ว่ากี่ปีจะเสร็จ"นายทองใบ กล่าว
รักษาการสว.กทม.กล่าวว่า โดยส่วนตัวเห็นว่า หากรัฐต้องการแก้ไขปัญหาให้ได้จริง ควรจะนำร่างกฎหมายของกอส.นำไปใช้ได้ทันที ด้วยการประกาศให้เป็นนโยบายแก้ไขปัญหาภาคใต้ทันที หรือให้กอยส.รับช่วงต่อจากกอส.เลย ถ้ากอยส.ไม่รับ รัฐก็นำไปรวมกับยุทธศาสตร์และนโยบายแก้ไขปัญหาที่มีอยู่แล้วได้เช่นกัน
"แม้จะเป็นรัฐบาลรักษาการ แต่อำนาจก็มีอยู่เต็ม เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน ปัญหามันรุนแรงขึ้นทุกวันรอไม่ได้แล้ว ที่สำคัญรัฐบาลมีความจริงใจและกล้าพอหรือไม่ ถ้าไม่ทำ ก็ต้องถามว่าที่ผ่านมา ทำอะไร ให้รัฐมนตรีลงใต้ 25 คน แล้วทำอะไรได้บ้าง"นายทองใบ กล่าว
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)