Skip to main content
sharethis

เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา หลายคนคงเฝ้ารอการแสดงเรือพระราชพิธี อันเป็นความงดงามอันวิจิตรบนสายน้ำ "เจ้าพระยา" อย่างปลาบปลื้มปีตี


 


เมื่อพูดถึงพิธีกรรมการล่องเรือศักดิ์สิทธิ์ จินตภาพที่ฝังหัวจากการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ไทยอันคับแคบทางมุมมองคงพาเราไปได้ไม่ไกลเกินกว่า 700 ปี เท่านั้น หรือพูดง่ายๆคือมักหยุดทุกอย่างแค่สมัย "สุโขทัย" เท่านั้น


 


แต่ รศ.สุรพล นาถะพินธุ คณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร จะพาคุณย้อนกลับไปสู่อดีตที่ไกลกว่านั้น ไกลจนถึงยุคที่มองไม่เห็นเส้นแดนของรัฐหรืออาณาจักรใดๆทั้งสิ้น ไกลจนถึงยุคสมัยที่ยังไม่มีอักษรให้เขียน ไกลจนถึงยุคที่ยังไม่มีคำว่า "สยาม"หรือ "ไทย" ไกลไปถึงยุคที่มนุษย์ยังมีมิติทางวิญญาณที่ผูกพันกับสายน้ำอย่างแท้จริง แต่ยุคนั้นมี "เรือพิธีอันศักดิ์สิทธิ์รุ่นแรก"


 


000000


รศ.สุรพล นาถะพินธุ คณบดี


 คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร


นับแสนปีมาแล้วที่มนุษย์เลือกอยู่อาศัยใกล้กับน้ำ และเรียนรู้การใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำทรัพยากรนานาชนิดรวมทั้งสัตว์ต่างๆ จนกระทั่งวันหนึ่งซึ่งไม่มีใครรู้ว่าวันไหน มนุษย์ก็สามารถสร้างพาหนะที่สามารถเดินทางในน้ำได้


 


หลักฐานที่ทำให้รู้ว่าบรรพบุรุษมนุษย์สามารถสร้างพาหนะเพื่อเดินทางทางน้ำสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 30,000 ปีมาแล้ว พบที่ทวีปออสเตรเลียและพื้นที่แถบภูเขาเกาะนิวกินี เนื่องจากทั้งสองดินแดนนี้ไม่พบหลักฐานการมีมนุษย์เก่ากว่านั้นอยู่ก่อน ซึ่งต่างจากในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือแผ่นดินใหญ่ที่มีการพบฟอสซิลหรือซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์วานรอายุนับแสนๆปี


 


แต่กลับปรากฏว่ามีการค้นพบหลักฐานการมีอยู่ของมนุษย์ที่พัฒนาแล้วในดินแดนออสเตรเลียและนิวกีนี ซึ่งนั่นแสดงว่ามนุษย์เหล่านั้นต้องเดินทางไปจากพื้นที่ที่มีบรรพบุรุษของมนุษย์


 


จากการศึกษาพบว่า ในบางครั้งโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศทำให้มีอุณหภูมิลดลง เกิดเป็นยุคน้ำแข็งขึ้น ระดับน้ำทะเลจึงลดลง พื้นที่บางส่วนกลายเป็นผืนแผ่นดิน


 


เมื่อประมาณ 18,000 ล้านปีมาแล้ว ระดับน้ำทะเลลดลงต่ำกว่าปัจจุบันประมาณ 120 เมตร ตอนนั้นกรุงเทพฯคือที่สูง แต่แม้จะมีปรากฏการณ์แบบนั้น ออสเตรเลียและนิวกีนีก็ไม่เคยเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่พอที่จะให้เดินเท้าข้ามไปได้ คงจะต้องมีการเดินทางข้ามน้ำประมาณ 20 - 30 กิโลเมตรเป็นอย่างน้อย มนุษย์ที่มีอายุ 20,000 -30,000 ปีก่อนจึงต้องมีการเดินทางไปโดยพาหนะบางอย่างอย่างแน่นอน


 


การเดินทางจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปออสเตรเลียนั้น มีการศึกษาอย่างมากมาย แต่ที่ได้รับการยอมรับที่สุดคือที่นักโบราณคดีชาวออสเตรเลียได้ทำการทดลองพิสูจน์จากพาหนะหลายแบบ สุดท้ายพบว่าการใช้ไม้ไผ่มัดเป็นแพสามารถเดินทางไปได้ไกลที่สุด จึงได้เสนอว่าคนกลุ่มเหล่านี้อาจใช้แพไม้ไผ่ในการเดินทาง นี่เป็นข้อมูลของพาหนะเดินทางทางน้ำที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีในขณะนี้


 


ส่วนที่พบเป็นเรือที่เก่าแก่ที่สุดนั้นพบที่เมืองเสี่ยวซาน มณฑลเจ๋อเจียง ประเทศจีน จากการขุดค้นทางโบราณคดีพบเรือขุดมีความยาว 2 เมตร กว้าง 75 เซนติเมตร อายุประมาณ 7,500 ปีมาแล้ว ส่วนที่มีอายุใกล้เคียงกัน คือ ประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว พบที่ประเทศจีนเช่นกันในบริเวณที่ไม่ไกลกันนัก


 


ส่วนเรือต่อจากแผ่นไม้กระดานพบครั้งแรกในอารยธรรมอิยิปต์ ที่แหล่งโบราณคดีอบิโดส เป็นเมืองสำคัญในสมัยราชวงศ์อิยิปต์ในช่วงต้นๆ เป็นเรือขนาดใหญ่มากยาวประมาณ 22.5 เมตร จำนวน 14 ลำ ฝังเรียงกัน


 


จากข้อมูลทั้งหมดทำให้พอจะสรุปได้ว่า อารยธรรมในรุ่นแรกๆของโลกหลายแห่งมีการใช้เรือ ยิ่งในกรณีของอิยิปต์ก็มีการใช้เรือหลายชนิดมากทั้งเรือเล็กๆในการประมง เรือขนส่ง และเรือที่ใช้พิธีกรรม ซึ่งเรือประเภทหลังนี้ปรากฏหลักฐานชัดเจนเป็นภาพเขียนและภาพแกะสลักในสุสานของกษัตริย์อิยิปต์และในหนังสือเกี่ยวกับความตายบรรยายว่า การนำศพหรือสิ่งของลงเรือเป็นความหมายของการนำวิญญาณไปสู่โลกหน้า


 


ในกรณีของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีข้อมูลทางอ้อมที่ชี้ว่าน่าจะมีการใช้เรือหรือแพในการเดินทางไกลไม่ต่ำกว่า 5,000 - 6,000 ปีมาแล้ว ได้ข้อมูลมาจากการแปลความโบราณวัตถุบางอย่างที่ทำมาจากเปลือกหอยทะเลชนิดที่มาจากทะเลลึก ซึ่งต้องเอาเรือออกไปดำดำน้ำไปนำมาทำเครื่องประดับ นอกจากนั้นก็มีกระดองเต่าทะเลบางชนิดที่ต้องไปจับมาจากกลางทะเลเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลที่น่าจะมีการใช้เรือในสุวรรณภูมิ


 


ส่วนหลักฐานที่ปรากฏค่อนข้างชัดเจนขึ้นคือ รูปลักษณ์ที่ปรากฏเป็นรูปเรือบนกลองมโหระทึกและภาชนะสำริดใส่กระดูกของวัฒนธรรมใหญ่ 3 วัฒนธรรมในอุษาคเนย์หรือสุวรรณภูมิ ได้แก่ วัฒนธรรมดองซอนบริเวณเวียดนาม วัฒนธรรมกวางตุ้ง กวางสี และวัฒนธรรมเดียนหรือเตียนที่มณฑลยูนนาน


 


ทั้ง 3 วัฒนธรรมนี้เป็นวัฒนธรรมใหญ่ที่ผลิตและใช้ภาชนะสำริดบรรจุกระดูกรวมทั้งกลองมโหระทึกจำนวนมากและแพร่กระจายไปในหลายดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งไทยพบทั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนใต้ หรือแม้แต่ที่บาหลีประเทศอินโดนีเซียก็พบเช่นกัน เป็นสิ่งที่สะท้อนความเชี่ยวชาญในการเดินเรือของเจ้าของวัฒนธรรมผู้ผลิตกลองมโหระทึกและภาชนะสำริดบรรจุกระดูกเหล่านี้


 


รูปลักษณ์บนภาชนะบรรจุกระดูกสำริดและกลองมโหระทึกบางใบเป็นลวดลายรูปเรือหัวงอนท้ายงอน บางลำเห็นชัดว่าตกแต่งเป็นลายอย่างประณีตบรรจง บางลำก็ดูไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร บางลำก็เป็นรูปหัวสัตว์ บางลำเป็นเรือยาวมีคนนั่งในลักษณะของฝีพาย บางคนก็ยืนในมือถือวัตถุยาวในแนวตั้ง ที่น่าสนใจคือบางลำกลางเรือเห็นสิ่งสร้างเล็กๆ ลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมมีขาสูงขึ้นมา คล้ายบัลลังก์เล็กๆ บางครั้งจะมีคนนั่งโดยในมือถืออะไรบางอย่าง ภาพที่กลองบางใบเห็นชัดขึ้นว่าเป็นคันธนูน้าวศร ที่น่าสนใจกว่านั้นคือบางครั้งใต้บัลลังก์จะมีวัตถุคล้ายกลองมโหระทึกหรือรูปทรงสามเหลี่ยมคล้ายภาชนะบรรจุกระดูกตั้งอยู่


 


ค่อนข้างชัดว่าเรือเหล่านี้ใช้ในพิธีกรรมที่น่าจะเกี่ยวข้องกับความตายหรือสะท้อนความคิดเรื่องเรือส่งวิญญาณเหมือนกับในวัฒนธรรมอิยิปต์ รูปของคนบนเรือเห็นชัดว่าบนศีรษะคล้ายมีเครื่องประดับคล้ายขนนกสวยงาม จากบันทึกของจีนในราชวงศ์โจวบอกว่า ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสินค้าที่ต้องการมากคือขนนกสี เพื่อนำไปเป็นที่ประดับของขุนนาง จึงเชื่อว่าขนนกนี้น่าจะเป็นเครื่องประดับศีรษะของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์


 


วัฒนธรรมดองซอน กวางสี และเตียน จะมีอายุใกล้เคียงกันคือ 2300 - 2500 ปีมาแล้วอาจสรุปได้ว่า หลักฐานที่แสดงการใช้เรือขนาดใหญ่และเรือที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายในสมัยโบราณนั้นคือพิธีศักดิ์สิทธิ์และสำคัญ เพราะในสมัยนั้นศาสนาที่เป็นรูปแบบยังไม่มี สิ่งสำคัญของเขาก็คือวิญญาณของบรรพบุรุษ เรือพวกนี้จึงน่าจะถูกมองว่าใช้ในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์


 


แนวคิดเรือศักดิ์สิทธิ์ที่มีหัวเรือพิเศษจะถูกใช้เป็นหน้าที่เฉพาะเจาะจง ขอขยายแนวคิดนี้จากการศึกษาประเพณีและความเชื่อว่า ในหลายอารยธรรมของโลกนับพันปี สามารถแยกเรือได้เป็น 3 ประเภท


 


1.                   เรือเล็ก ทำมาจากหญ้าปาปิรัส หรือไม้ หัวงอนท้ายงอน ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือการประมง


2.                   เรือใหญ่ต่อด้วยไม้ ใช้ในการขนส่งสินค้าหรือหิน เช่น หินที่ใช้ในการสร้างพิระมิด และใช้เดินสมุทรด้วย


3.                   เรือต่อจากไม้รักษารูปทรงแบบเรือดั้งเดิม หัวงอนท้ายงอน ในบันทึกของอิยิปต์ระบุชัดว่าใช้สำหรับราชวงศ์เท่านั้น เช่น ท่องเที่ยว พิธีกรรมทำศพ หรือพิธีศักดิ์สิทธิ์คือในการเคลื่อนย้ายเทวรูปเท่านั้น


 


ดังนั้นในหลายวัฒนธรรมเรือที่มีลักษณะเฉพาะจะมีหน้าที่เฉพาะเจาะจง ในกรณีของบ้านเราตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันเราพบว่ามีเรือหลากหลายชนิด แต่เรือที่มีหัวเรือเป็นรูปสัตว์ในวรรณคดีหรือในคัมภีร์ศาสนาจะเป็นเรือที่มีหน้าที่พิเศษตามเรื่องเกี่ยวกับศาสนาความเชื่อทั้งสิ้น น่าจะเรียกเรือพวกนี้รวมๆกันได้ว่า "เรือศักดิ์สิทธิ์"


 


 


 



ภาพที่ 1 เรือศักดิ์สิทธิ์สุวรรณภูมิ อายุประมาณ 3000 ปีมาแล้วเป็นลวดลายสลักด้านข้างกลองมโหระทึก พบที่วัดมัชฌิมวาส (วัดกลาง) ตำบลดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร (ภาพจาก กลองมโหระทึกในประเทศไทย.เมธินี จิระวัฒนา.สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร ,2546)

 



 



 


ภาพที่ 2 เรือศักดิ์สิทธิ์บนภาชนะสำริดใส่กระดูกคนตาย อายุประมาณ 3000 ปีมาแล้ว พบที่เวียดนาม(ภาพจาก จ้วง:เครือญาติตระกูลไทยผู้ยิ่งใหญ่ คนไทยอยู่ที่นี่อุษาคเนย์.สุจิตต์ วงษ์เทศ.ศิลปวัฒนธรรม,2537)


 



ภาพที่ 3 รูปทั้ง 5 เป็นภาพบนกลองมโหระทึกในวัฒนธรรมดองซอน พบที่เวียดนาม (ภาพจากการศึกษาเรื่องสภาพแวดล้อมของวัฒนธรรมดองซอนจากลวดลายบนมโหระทึก.คงศักดิ์ งังเหงี่ยมบุญ.สารนิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตรปริญญาศศิลปศาสตร์บัณฑิต(โบราณคดี) ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี ปีการศึกษา 2540)


 


หมายเหตุ


รศ.สุรพล นาถะพินธุ บรรยาย เนื่องในมหามงคลสมัย "ฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี" จัดโดยสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยศิลปากร ณ ท้องพระโรง วังท่าพระ มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2549

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net