Skip to main content
sharethis

โดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง


 


ครึ่งปีแรกของพุทธศักราช 2549 เป็นช่วงเวลาที่เกิดปรากฏการณ์ที่เป็นที่สุดหลายอย่างในสังคมไทย


บางเหตุการณ์ควรค่าที่จะจดจำไว้ในส่วนของความทรงจำที่งดงาม แต่บางเหตุการณ์ก็ควรค่าที่เรียนรู้ในฐานะบทเรียนทางสังคมของเรา


 


บันทึกไว้ว่า


 


1) ปี พ.ศ. 2549 ช่วงวันที่ 9 - 13 มิ.ย. เป็นช่วงเวลาที่คนไทยมีความปีติสุขเป็นล้นพ้น ด้วยมีโอกาสได้ชื่นชมพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสมหามงคล ที่ทรงครองสิริราชสมบัติ 60 ปี


 


ภาพที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม ทรงโบกพระหัตถ์ให้แก่ราษฎรที่เฝ้าน้อมรับเสด็จเนืองแน่นทั่วบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ล้นหลามออกไปทั่วท้องถนนราชดำเนิน พร้อมใจกันเปล่งเสียง "ขอจงทรงพระเจริญ" ซ้ำแล้วซ้ำอีก น้ำตาแห่งความปีติไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เป็นภาพที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจคนไทยทุกคน


           


2) ในอีกด้านหนึ่ง ปี พ.ศ. 2549 กลับเป็นช่วงเวลาที่มีการแจ้งความดำเนินคดีและฟ้องร้องต่อศาล ในคดีที่เกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างคึกโครมที่สุด โดยผู้ที่ถูกแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษว่ากระทำผิด มีทั้งตัวนายกรัฐมนตรี แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หนังสือพิมพ์รายวัน ประธาน กกต. ฯลฯ


 


นอกจากนี้ ยังเป็นปีที่ปรากฏแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้นเป็นลำดับถึงความพยายามของประชาชนที่ออกมาปกป้องการละเมิดพระราชอำนาจ หรือปกป้องจากความพยายามที่จะทำให้อำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นเพียงภาพสัญลักษณ์ อาทิ การพูดจายกตนตีเสมอเบื้องสูง การซื้อเครื่องบินประจำตำแหน่ง การประกอบพิธีทำบุญประเทศ การแต่งตั้งพระสังฆราช ฯลฯ


           


3) ปี 2549 เป็นปีแห่งความทุกข์ใจและวุ่นวายใจของนักเรียนมัธยมไทยทั่วประเทศมากที่สุด เพราะต้องเผชิญกับปัญหาข้อบกพร่องผิดพลาดของระบบการสอบโอเน็ต-เอเน็ต นักเรียนและผู้ปกครองตกอยู่ในความเครียดยืดเยื้อยาวนาน ทำให้ระบบการสอบดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่แพ้เมื่อคราวที่มีข้อสอบเอนทรานซ์รั่ว ในปีที่นางสาวพิณทองทา ชินวัตร สอบเข้าเรียนได้ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


 


4) ปี 2549 เป็นปีที่ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นซึ่งถูกปล่อยให้หมักหมม ถูกประจานออกมามากที่สุด รัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มักอ้างว่า ยังไม่มี ป.ป.ช. ชุดใหม่ จึงไม่สามารถดำเนินการได้ ไม่ว่าจะเป็น กรณีการทุจริตในโครงการสนามบินสุวรรณภูมิ อาทิ การจัดซื้อระบบสายพานลำเลียงและเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ เป็นต้น การทุจริตโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน การทุจริตลำไยอบแห้ง การทุจริตกล้ายาง ฯลฯ


 


ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นปีที่ปัญหาการทุจริตเชิงนโยบายของรัฐบาลทักษิณปรากฏชัดเจนที่สุด ไม่ว่าจะเป็น สายการบินต้นทุนต่ำ การยกเว้นภาษีให้กิจการดาวเทียมชินแซท 16,000 ล้าน การช่วยให้บริษัทโทรคมนาคมเจ้าเก่าไม่ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมโดยนำค่าสัมปทานที่ต้องจ่ายอยู่แล้วมาหักเป็นค่าภาษีสรรพสามิตได้ การปล่อยให้ไอทีวีลดค่าสัมปทานนับหมื่นล้านจนกระทั่งศาลปกครองต้องมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของรัฐตามสัญญาเดิม ฯลฯ


 


5) ปี 2549 เป็นปีที่มีการหลบเลี่ยงภาษีก้อนโตที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะกรณีการขายหุ้นชินฯ ที่เกี่ยวข้องกับการหลบเลี่ยงภาษีของคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท


 


6) ปี 2549 ยังเป็นปีที่การเมืองไทยร้อนระอุที่สุด เมื่อประชาชนที่ "รู้ทันทักษิณ" ออกมาขับไล่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และระบอบทักษิณ ที่มีทั้งปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น ปัญหาอำนาจรวมศูนย์ การใช้อำนาจและการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีการชุมนุมประท้วงขับไล่อย่างยืดเยื้อยาวนานที่สุด และแผ่ขยายวงออกไปในต่างจังหวัดและต่างประเทศอย่างกว้างขวางที่สุด


                       


7) การเมืองไทยในปี 2549 เป็นการเมืองที่บิดเบี้ยวอย่างมากที่สุด เพราะเมื่อประชาชนออกมาขับไล่นายกฯ ทักษิณ แทนที่นายกฯ ทักษิณ จะลาออก หรือเปิดให้รัฐสภาตรวจสอบ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไพล่ไปใช้อำนาจยุบสภา หลบหนีการตรวจสอบโดยรัฐสภา ส่อเจตนาว่าจะใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือในการกลับเข้าสู่อำนาจและฟอกความผิดของตัวเอง มีการกำหนดวันเลือกตั้งอย่างกระชั้นชิด เพียง 37 วันหลังยุบสภา อันเป็นการเอารัดเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นๆ


 


8) การเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน 2549 นับเป็นการเลือกตั้งที่แปลกประหลาดและอัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะมีพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นพรรคการเมืองใหญ่พรรคเดียวลงสมัครรับเลือกตั้ง ในขณะที่พรรคการเมืองใหญ่อื่นๆ ประกาศบอยคอตการเลือกตั้ง ไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อประท้วงการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง


ยิ่งกว่านั้น ในการเลือกตั้งดังกล่าว ยังถูกประชาชนประท้วงอย่างกว้างขวางและรุนแรง มีการแสดงออกโดยการฉีกบัตรเลือกตั้ง การเจาะเลือดใช้แทนปากกา การเขียนข้อความด่าทอรัฐบาลในบัตรเลือกตั้ง อีกทั้งยังมีการลงคะแนนในช่อง ไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้ใคร มากกว่าคะแนนของผู้ชนะเลือกตั้ง และเมื่อรวมยอดทั้งประเทศก็มีจำนวนของการ ไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้ใคร มากที่สุดเป็นประวัติการณ์


 


9) หลังการเลือกตั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสกับประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุด เกี่ยวกับการแก้ปัญหาการเลือกตั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย นำไปสู่การรับสนองพระราชดำรัสของประธานศาล 3 ศาล เพื่อแก้ปัญหา "วิกฤติที่สุดในโลก" ของประเทศไทย


 


นักวิชาการและราษฎรอาวุโสจำนวนมาก มองว่า ถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ของการเมืองการปกครองไทย ที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจทางตุลาการโดยตรง


 


10) สืบเนื่องจากการเข้ามาแก้ปัญหาวิกฤติบ้านเมืองของตุลาการ มีคำพิพากษาชี้ให้เห็นว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ได้ดำเนินการจัดการเลือกตั้งโดยมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ไม่เที่ยงธรรม ไม่เป็นกลาง แต่ กกต. ที่ยังเหลืออยู่ 3 คน ก็ไม่ยอมแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกเพื่อเปิดทางให้มีการสรรหา กกต.ชุดใหม่เข้ามาแก้ปัญหาบ้านเมือง


 


สังคมได้เรียนรู้ว่า กกต. ชุดนี้ มีความละอายน้อย เหมือนๆ กับนายกฯ ของประเทศ นับว่าเป็นความดื้อด้านมากที่สุด เป็นประวัติการณ์ของประเทศไทย


 


11) ในปี พ.ศ. 2549 มีการตัดสินใจทางการเมืองที่พิสดารที่สุด เมื่อนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้อำพรางการลาออกหรือการพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของตนเอง โดยประกาศ "ลาพัก" จากหน้าที่นายกรัฐมนตรีที่อยู่ระหว่างรักษาการ โดยการขอลาพักตลอดไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่มาบริหารประเทศ ซึ่งมีนัยยะเดียวกับการลาออก แต่ไม่ยอมง "ลาออก" จากตำแหน่ง


 


ทั้งนี้ ก็เพื่อกีดกันมิให้รัฐบาลทักษิณต้องพ้นสภาพทั้งคณะ ซึ่งจะต้องนำไปสู่การบังคับใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ซึ่งอาจจะได้คนกลางเข้ามาทำหน้าที่รัฐบาลรักษาการแทนกลุ่มอำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การตรวจสอบการทุจริตและชำระล้างสิ่งโสโครก


 


วันนี้... เพิ่งจะถึงครึ่งทางของปี พ.ศ. 2549 อีก 6 เดือนที่กำลังเคลื่อนเข้ามา จะมีปรากฏการณ์อีกหลายอย่างเกิดขึ้น


 


เกิด-ดับ หรือ ยุบ-พอง เป็นไปตามวิถีแห่งกรรม


แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าปรากฏการณ์ที่จะผ่านเข้ามา จะหนักหนาหนักหน่วงเพียงใด เชื่อว่าคนไทยจะร่วมแรงร่วมใจกันยึดถือ "คุณธรรม" เป็นที่ตั้ง มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นศูนย์รวมจิตใจและเป็นพลังใจในการกอบกู้บ้านเมืองให้ผ่านพ้น "วิกฤติที่สุดในโลก"


 


ขอให้บุญรักษาประเทศไทยของเราครับ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net