Skip to main content
sharethis


ประชาไท - 14 ก.ค.49      นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แถลงถึงผลการประชุมของศาลรัฐธรรมนูญว่า ที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ในการรับพิจารณาคำร้องให้ยุบ 5 พรรคการเมืองของสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ประกอบด้วย พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า พรรคพัฒนาชาติไทย พรรคแผ่นดินไทย พรรคไทยรักไทย และพรรคประชาธิปัตย์


 


โดยที่ประชุมมีมติให้ส่งสำเนาคำร้องพร้อมเอกสารประกอบให้พรรคการเมืองทั้ง 5 พรรค ยื่นคำชี้แจงข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้รับสำเนาคำร้อง และเมื่อส่งเอกสารมารายละเอียดมาให้แล้วก็จะนำมาอภิปรายร่วมกัน


 


นายอุระ หวังอ้อมกลาง ว่าที่ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่ยืนยันว่าการพิจารณาจะเสร็จก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 15 ต.ค.นี้หรือไม่ โดยขอดูสำนวนก่อนว่าจะมีรายละเอียดเนื้อหาแค่ไหน หากมีรายละเอียดมากก็จะมีการเสนอเป็นประเด็นไป ส่วนจะมีการอภิปรายอย่างต่อเนื่องหรือสลับกันไปก็ต้องนำเข้าอภิปรายก่อน และการกำหนดเวลาก็จะตามมา


 


อย่างไรก็ตาม นายอุระยืนยันว่า ไม่หนักใจอะไรต่อคำร้องนี้ เพราะศาลมีหลักในการพิจารณา ซึ่งปกติจะพิจารณาไปตามเนื้อหาคำร้องด้วยความรอบครอบพอสมควร อีกทั้งคดีดังกล่าวมีข้อกฎหมายไม่มาก ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง โดยศาลจะเปิดโอกาสให้คู่กรณีชี้แจงมายังศาลก่อน จึงจะรู้ว่าจะต้องมีการพิจารณาอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ส่วนจะให้มีการเปิดไต่สวนด้วยการออกนั่งบัลลังก์หรือไม่นั้น จะต้องรอดูคำชี้แจงที่ผู้ถูกร้องส่งกลับเข้ามา


 


ในประเด็นที่กระแสสังคมมีความเป็นห่วงในความเป็นกลางของศาลรัฐธรรมนูญนั้น นายอุระกล่าวว่า ขอให้เข้าใจว่าตุลาการทุกคนมีความเป็นกลางอยู่แล้ว เพราะไม่มีใครที่จะสามารถมาชี้นำตุลาการได้ ทุกคนจะพิจารณาโดยดูจากข้อกฎหมาย สำนวน โดยไม่มีอคติ ไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง และจะไม่มีการดึงเรื่องที่จะพิจารณาให้ช้าตามที่หลายฝ่ายเป็นห่วง


 


นอกจากนี้ก่อนการพิจารณาคำร้องดังกล่าว ที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องคัดค้านของรักษาการ ส.ว.14 คน ที่ขอให้นายจุมพล ณ สงขลา และพล.ต.อ.สุวรรณ สุวรรณเวโช ให้ถอนตัวออกจากองค์คณะ เนื่องจากเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดี โดยตุลาการทั้ง 2 คนได้ชี้แจงข้อกล่าวหาต่อที่ประชุมก่อนที่จะออกจากห้องประชุม เพื่อให้ที่ประชุมคณะตุลาการได้มีการพิจารณา ซึ่งที่ประชุมมีมติว่า คำร้องของรักษาการส.ว.14 คน ไม่มีเหตุให้ตุลาการฯ ทั้ง 2 คนถอนตัวจากการเป็นองค์คณะจึงให้ยกคำร้อง แต่หากในอนาคตจะมีการยื่นคำร้องคัดค้านการนั่งเป็นองค์คณะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีกก็สามารถทำได้ แต่ก็ขอให้เป็นการดำเนินการด้วยความบริสุทธิ์ใจ


 


ทั้งนี้ คำร้องของ อสส. ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบ 5 พรรคการเมืองนั้น ระบุว่าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย กระทำการอันเป็นปฎิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ และกระทำการอันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ หรือขัดต่อกฎหมาย หรือความสงบเรียบร้อย หรือ ศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามพรบ.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 66 (2) และ(3)


 


ส่วนกรณีของพรรคไทยรักไทย คำร้องระบุว่า วันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมานายสุเทพ เทือกสุวรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ได้ร้องเรียนต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ว่ามีการสมคบระหว่างผู้บริหารพรรคไทยรักไทย เจ้าหน้าที่พรรคการเมืองอื่น และเจ้าหน้าที่กกต.เปลี่ยนแปลงข้อมูลสมาชิกพรรค และว่าจ้างพรรคเล็กให้ลงสมัครส.ส.ในการเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ตามมาตรา 74 ของพ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และ ได้ตั้งส.ว. ซึ่งนายทะเบียนพรรคการเมืองได้พิจารณาและเห็นพ้องตามที่คณะอนุกรรมการฯเสนอความเห็นมา โดยน่าเชื่อว่า การกระทำของกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของพรรค ซึ่งมีลักษณะเป็นการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครอง ในวิถีทางที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ หรือขัดต่อกฎหมาย หรือความสงบเรียบร้อย หรือศรีธรรมอันดี ตามพ.ร.บ.พรรคการเมืองมาตรา 66 (1)และ (3)


 


สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ คำร้องระบุว่า นายวิชิต ปลั่งศรีสกลุ และพวก 6 คน ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ร้องต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองว่า พรรคประชาธิปัตย์กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายการเลือกตั้งโดยร่วมกับกลุ่มพันธมิตรล้มล้างรัฐบาล เสนอขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งส.ส. ชักจูงให้ประชาชนไปลงคะแนนในช่องที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนน จ้างพรรคชีวิตที่ดีกว่า พรรคพัฒนาชาติไทย พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ให้ใส่ร้ายพรรคการเมืองอื่น และขัดขวางการลงสมัครรับเลือกตั้ง จ.สงขลา ซึ่งอสส.ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคตามมาตรา 67 ของพ.ร.บ.พรรคการเมือง เนื่องจากหัวหน้า รองหน้าหน้า เลขาธิการพรรค กรรมการบริหารพรรค สมาชิกพรรค กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือกระทำการอันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ หรือขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อย หรือศรีธรรมอันดีของสังคม ตามพ.ร.บ.พรรคการเมืองมาตรา 66 ( 2)และ( 3)

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net