Skip to main content
sharethis


ประชาไท—20 ก.ค. 2549 เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2549 เวลา 09.30 น. ศาลจังหวัดสงขลาได้นัดฟังคำพิพากษาคดีที่หมายเลขดำที่ดำ 2243/2546 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดสงขลา โจทก์ยื่นฟ้องนายอ่าหลี หรือหมัด สันสุวรรณ และนายเผาซี สะอุ จำเลย ในข้อหาความผิดต่อร่างกาย และความผิดต่อเสรีภาพ


 


นายวนนท์ บุญรักษ์ ผู้พิพากษา และนายวันชัย แก้วพรหม ผู้พิพากษาองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์ห้อง 303 ศาลจังหวัดสงขลา พิพากษายกฟ้องคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดสงขลา โจทก์ยื่นฟ้องนายอ่าหลี หรือหมัด สันสุวรรณ และนายเผาซี สะอุ จำเลย ในข้อหาความผิดต่อร่างกาย และความผิดต่อเสรีภาพ สรุปคำพิพากษาโดยสังเขปว่า


 


พนักงานอัยการสงขลา ฝ่ายโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองว่าเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2546 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้องประมาณ 15-16 คน โดยมีมีด ไม้ ปืนเป็นอาวุธ ได้ร่วมกันข่มขืนใจนายสกล ชัยนนท์ ผู้เสียหายที่ 1 และนายสายลม โทวะดี ผู้เสียหายที่ 2 กับพวกอีกหลายคน ขณะทำการสำรวจปริมาณจำนวนที่ดินที่จะใช้ถมที่บริเวณก่อสร้างของโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลย์ ไม่ให้ทำการสำรวจและไล่ออกไปจากบริเวณที่ดินดังกล่าว ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากที่จำเลยทั้งสองกับพวกดังกล่าวได้ร่วมกันใช้ไม้และมีดทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสอง จนได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่ร่างกาย เสรีภาพ จึงไม่ทำการสำรวจต่อไปได้ และจำยอมต่อการข่มขืนใจของจำเลยกับพวก ต้องวิ่งหลบหนีออกไปจากบริเวณที่ทำการสำรวจ เหตุเกิดที่ตำบลตลิ่งชัน อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามกฎหมายอาญามาตรา 83, 295 , 309 วรรคสอง


 


ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ขณะนายสุไหลมาน โหดเด็น และนายประเสริฐ สาหีม นายสมเจตน์ เกตุวัตถา พร้อมคนงานนายสกล ชัยนนท์ ผู้เสียหายที่ 1 นายสายลม โทวะดี ผู้เสียหายที่ 2 เข้าพื้นที่โครงการก่อสร้างท่อก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย หมู่ที่ 8 ต.ตลิ่งชัน อ.จะนะ จ.สงขลา เพื่อทำการสำรวจปริมาณจำนวนดินที่จะใช้ถมที่บริเวณสำหรับก่อสร้างโครงการฯ ได้มีกลุ่มคนประมาณ 15- 20 คนเข้าขัดขวางจนไม่สามารถทำการสำรวจต่อไปได้ ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นและความผิดต่อเสรีภาพ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่


 


โจทย์มีนายสุไลหมาน โหดเด็น นายเด็น หมัดหลี นายประเสริฐ สาหมี นายสมหมาย จันทร์เกษม นายสมพงษ์ วรรณสุทธิ นายสมเจตน์ เกตุวัตถา เบิกความทำนองเดียวกันไม่ยืนยันว่าผู้ทำร้ายร่างกายเป็นจำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่าพยานฝ่ายโจทก์มีเพียงนายโส๊ะ หัดเหาะ เพียงคนเดียวที่เบิกความต่อศาลว่า หลังรับโทรศัพท์นายประเสริฐ เมื่อเดินทางไปถึงบริเวณดังกล่าวขณะนั้นกลุ่มของนายประเสริฐ และพวกอออกไปจากพื้นที่แล้ว ระหว่างทางเห็นกลุ่มคนขับรถจักรยานยนต์สวนทางออกมาประมาณ 6-7 คัน มุ่งหน้าไปทางลานหอยเสียบ พยานจำหน้าได้ว่าจำเลยทั้งสองอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นด้วย เนื่องจากทั้งสองเป็นลูกบ้านพยานเท่านั้น และพยานยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านว่า ไม่ได้เห็นหน้าจำเลยทั้งสองแต่อย่างใดเห็นเพียงด้านข้าง ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 30 เมตร พยานโจทก์ปากนี้มาถึงบรืเวณที่เกิดเหตุหลังเหตุการณ์ยุติลงแล้ว พยานไม่ได้อยู่ในเหตการณ์ขณะผู้เสียหายทั้งสองถูกทำร้างร่างกายดังนั้น ลำพังคำเบิกความพยานปากดังกล่าวยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่า จำเลยทั้งสองร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายและข่มขืนใจผู้เสียหายทั้งสอง นอกจากนั้นพยานโจทก์ทั้งหมดที่ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ ขณะกลุ่มคนประมาณ 15-20 คน เข้าสอบถามนายสุไหลมาน และห้ามมิให้ทำการสำรวจต่อไป ไม่มีพยานโจทก์ปากใดที่เบิกความยืนยันว่าเห็นจำเลยทั้งสองอยู่ร่วมในกลุ่มคนดังกล่าวด้วย ก่อนที่จะมีการทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองเกิดขึ้น พยานทุกปากเบิกความตรงกันว่า กลุ่มคนดังกล่าวสวมหมวกไหมพรม หรือไม่ก็มีผ้าปิดบังใบหน้า สำหรับผู้เสียหายทั้งสองเบิกความ แต่เพียงว่า ขณะทำงานอยู่นั้นมีคนร้ายสวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้าเข้ามาทำร้านผู้เสียหายทั้งสองเท่านั้น ไม่ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ลงมือทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองไม่ ทั้งภายหลังเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองแล้ว วันที่ 17 ธันวาคม 2546 เมื่อจัดให้ผู้เสียหายทั้งสองชี้ตัว กลับปรากฏว่าผู้เสียทั้งสองไม่ขอชี้ตัวตามคำให้การสอบสวนเพิ่มเติมเอกสารหมายจ.24 และจ.25 เมื่อจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธมาโดยตลอด พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาทั้งหมดยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องโจทก์ ไม่จำต้องวินิจฉัยพยานจำเลยทั้งสอง พิพากษายกฟ้อง


 


บรรยากาศที่ศาลสงขลาในวันนี้คึกคักเนื่องจากมีชาวบ้านกลุ่มคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซียเดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาเป็นจำนวนมาก ทั้งหมดสวมใส่เสื้อสีแดงอันเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม


 


ในวันเดียวกันนี้ที่ศาลแขวงจังหวัดสงขลา คดีที่กลุ่มคัดค้านฯท่อก๊าซไทย-มาเลเซียยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2545 จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทยและจังหวัดสงขลา พล.ต.ต.สัณฐาน ชยานนท์ได้เดินทางมาเป็นพยานในศาล ซึ่งชาวบ้านได้ร่วมเข้าฟังการสืบพยานจนแน่นห้องพิจารณาบางส่วนต้องนั่งอยู่บริเวณหน้าห้องพิจารณาเนื่องจากไม่สามารถเข้าไปร่วมฟังได้ทั้งหมด


 


นางสุไรดะ โต๊ะหลี ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้รู้สึกดีใจที่ศาลสงขลาพิพากษายกฟ้องกลุ่มคัดค้านฯจะนะ เพราะเป็นการตอกย้ำว่าสิ่งที่กลุ่มคัดค้านฯทำเพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และปกป้องวิถีชีวิตตลอดจนหลักการศาสนาอิสลามเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะหลายคดีที่ทางกลุ่มถูกพนักงานอัยการจังหวัดสงขลาฟ้องร้องดำเนินคดีได้รับคำพิพากษายกฟ้องมาโดยตลอดหลายคดี อีกทั้งที่ผ่านมายังรับคดีที่เราฟ้องกลับต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบในการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2549 และล่าสุดที่ศาลปกครองสงขลาพิพากษาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ค่าเสียหายให้กลุ่มคัดค้านฯและเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทางมามหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้ลงมามอบเหรียญเจริญ วัดอักษรให้กับกลุ่มคัดค้านฯส่งผลให้มีบุคคลบางกลุ่มไม่พอใจกลุ่มคัดค้านฯ เพราะล่าสุดเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ที่ผ่านมามีคนร้ายทุบรถยนต์ส่วนตัวของนางสาวศุภวรรณ ชนะสงคราม ซึ่งจอดอยู่บริเวณหน้าศาลจังหวัดสงขลา เชื่อว่าเป็นการข่มขู่คุกคาม ท้าทายจากบุคลคนที่ไม่พอใจกลุ่มคัดค้านฯเนื่องจากที่ผ่านมาศาลได้พิพากษายกฟ้องหลายคดี ซึ่งถือว่าบุคคลที่กระทำกล้าและไม่เกรงกลัวต่อศาล เนื่องก่อเหตุการณ์ทุบรถยนต์ดังกล่าวบริเวณหน้าศาลสงขลา


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net