Skip to main content
sharethis

เบญจา ศิลารักษ์, สำนักข่าวประชาธรรม


 


 


ในมุมมองของนักธุรกิจ คงเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่สามารถทำธุรกิจให้มีผลกำไรเป็นพันๆ ล้านบาทต่อปี และยังสามารถขยายสาขาของบริษัทไปทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าเมืองเล็ก เมืองใหญ่ก็สามารถแทรกซึมไปได้ทั่ว สามารถดูดเงินจากผู้คนไปยังบริษัทแม่ได้อย่างไม่ขาดสาย


 


กลับกันในมุมของคนท้องถิ่นที่อยู่ตามที่ต่างๆ การขยายตัวของบรรษัทข้ามชาติที่ข้ามพรมแดนของประเทศมาล้วงกินตับไตไส้พุงถึงในบ้านนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง


 


ในช่วงไม่ถึง 10 ปีมานี้ หนึ่งในบรรษัทข้ามชาติที่นับได้ว่าประสบความสำเร็จทางธุรกิจในบ้านเราอย่างสูง แต่คนท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยเริ่มหวาดกลัว และมีกระแสการต่อต้านกันอย่างมากคงหนีไม่พ้น "เทสโก้ โลตัส" ธุรกิจค้าปลีกระดับโลกสัญชาติอังกฤษ


 


ภายหลังที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกที่ร่วมลงนามความร่วมมือว่าจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของ องค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อปี 2538 ทำให้ประเทศไทยต้องเปิดเสรีทางการค้ากับนานาประเทศ กลุ่มทุนข้ามชาติรุกคืบเข้ามาลงทุนการค้าในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ปี 2541 เป็นต้นมาห้างค้าปลีกข้ามชาตินานาประเทศเข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย และขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่แมคโคร เทสโก้ บิ๊กซี คาร์ฟูร์ เป็นต้น


 


เทสโก้ ประเทศไทย เกิดจากการร่วมทุนระหว่างกลุ่มเทสโก้จากอังกฤษและกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ ปัจจจุบันมีสาขาซุปเปอร์มาร์เก็ตทั้งสิ้น 55 สาขา แบ่งเป็น 24 สาขาในกรุงเทพฯ และ 31 สาขาในต่างจังหวัด ตลาดโลตัส 13 สาขา คุ้มค่า 15 สาขา และเอ็กเพรส 151 สาขา (ข้อมูลจากเว็บไซต์ของเทสโก้)


 


เทสโก้ ติดอันดับหนึ่งในสี่ของห้างค้าปลีกข้ามชาติ (อันดับหนึ่งคือ วอลมาร์ทของสหรัฐ ฯ คาร์ฟูร์ของฝรั่งเศส และเดอะโฮม ดีพอทของสหรัฐฯ ตามลำดับ) ขยายสาขาไปทั่วโลก และซื้อหุ้นในกิจการค้าปลีกต่างๆ ในต่างประเทศ เช่น จีน สาธารณรัฐเชก ฝรั่งเศส ฮังการี ไอร์แลนด์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย โปแลนด์ สโลวาเกีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย และตุรกี นับเป็นบริษัทที่ทำกำไรสูงสุดของอังกฤษด้วยยอดขายต่อปี 65,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 2.5 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่างบประมาณรายจ่ายประจำปีของไทยถึง 2 เท่าตัว ผลประกอบการของบริษัทเทสโก้เพิ่มขึ้นทุกปี จากปี 2541 มีผลกำไรต่อปี 37,155 ล้านบาท ปี 2549 มีผลกำไรต่อปีสูงถึง 129,789 ล้านบาทต่อปี (ข้อมูลจากwww.wikipedia.com)


 


อย่างไรก็ตาม ขณะที่เทสโก้มุ่งกอบโกยกำไรเพื่อขนกลับไปบ้านตัวเอง ก็พบว่ามีการก่อตัวของประชาชนจากมุมเล็กๆ ที่คัดค้านการขยายตัวของเทสโก้อยู่ด้วยเช่นกัน


 


เครือข่ายต้านค้าปลีกข้ามชาติ


หากใครได้ติดตามข่าวสารในช่วง 4-5 ปีมานี้จะพบว่ามีกระแสการคัดค้านการก่อสร้างเทสโก้ (อาจจะรวมถึงห้างค้าปลีกข้ามชาติอื่นๆ เช่น บิ๊กซี คาร์ฟูร์ด้วย ) ตามจังหวัดต่างๆ ยกเว้นกรุงเทพฯ มีอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่นที่ จ.จันทบุรี ระยอง อ่างทอง เชียงใหม่ เชียงราย แพร่ ซึ่งก็ไม่ต่างจากประเทศอังกฤษ ประเทศแม่แท้ๆ แต่ก็พบว่ามีการคัดค้านการขยายตัวของเทสโก้ตามเมืองต่างๆ หลายเมือง เช่น เมืองนอร์ริช เมืองบริสตอล เหตุผลในการคัดค้านการขยายตัวของเทสโก้มีตั้งแต่ ห้างใหญ่ทำให้การจราจรติดขัด ก่อมลภาวะ จนถึงการลดคุณภาพชีวิตของชาวเมือง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของท้องถิ่น เป็นต้น


 


แม้ว่าเทสโก้จะมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่กินขาดชนิดที่ว่าไม่ให้ผู้บริโภคกระเด็นออกไปซื้อของที่ห้างอื่นได้เลย เช่นว่า "มีให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ" แถมยังผลิตสินค้ายี่ห้อเทสโก้ ซึ่งจะเห็นบ้างแล้วในบ้านเรา เวลาเราเข้าไปซื้อของ บนชั้นวางสินค้าจากที่เคยเห็นหลากหลายยี่ห้อสินค้า ก็จะพบว่าตอนนี้สินค้าอุปโภค บริโภคหลายอย่างตั้งแต่น้ำยาล้างจาน ไปจนถึงน้ำยาล้างห้องน้ำเริ่มจะมีแต่ยี่ห้อเทสโก้มาวางเคียงข้าง และนับวันสินค้ายี่ห้ออื่นๆ ก็จะลดลงเรื่อยๆ


 


เพราะกลยุทธ์สำคัญของเทสโก้คือการขยายธุรกิจให้หลากหลายมากขึ้น ปลายปี 2547 เทสโก้ยังได้ขยายธุรกิจไปนอกธุรกิจหลักของตัวเองเพิ่มขึ้นด้วย เช่น เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน สินค้าเครื่องสำอางและสุขภาพ สินค้าที่เกี่ยวกับการสื่อสาร เป็นต้น


 


กลยุทธ์การตลาดที่กินขาดสร้างความเจ็บปวดให้กลุ่มทุนท้องถิ่นไทยไม่น้อย จึงไม่แปลกที่กระแสการต่อต้านเทสโก้ และห้างค้าปลีกข้ามชาติในไทยจะเริ่มต้นจากบรรดาร้านค้าโชวห่วย หอการค้าหลายๆ แห่ง เพราะกลุ่มคนเหล่านี้คือกลุ่มที่เสียประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด


 


อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะได้รับผลกระทบต่อมาคือผู้ผลิตรายย่อยที่ผลิตสินค้าส่งขาย และ เกษตรกรรายย่อยที่ทั้งผลิตและบางส่วนก็เอาพืชผลทางการเกษตรมาขายด้วยตัวเอง ก็จะถูกแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดเล็กๆ น้อยไปจนหมด เพราะเมื่อเทสโก้ หรือห้างค้าปลีกข้ามชาติอื่นๆ มาตั้งก็ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ผลิตของมาแล้วก็ไม่รู้จะขายให้ใคร เพราะของที่ขายในห้างค้าปลีกรายใหญ่ก็ถูกจัดสรรประโยชน์ให้แก่ผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีศักยภาพในการผลิตแบบอุตสาหกรรมอยู่แล้ว เช่นซีพีที่เป็นบริษัทร่วมทุน มีธุรกิจการเกษตรขนาดใหญ่ ผลิตทุกอย่างทั้งข้าว ไข่ไก่ พืชผัก จนถึงสินค้าอุปโภค-บริโภคทั้งหลาย เป็นต้น ดังนั้นเครือข่ายที่ค้านห้างค้าปลีกข้ามชาติจึงขยายตัวมายังคนกลุ่มนี้ด้วย


 


ส่วนผู้บริโภคในไทย ดูเหมือนจะเป็นกลุ่มที่ตื่นตัวช้าที่สุด เพราะผู้บริโภคโดยส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจว่าสินค้าที่วางขายอยู่ในห้างค้าปลีกจะมาจากที่ไหน ขอให้มีราคาถูกเข้าไว้เป็นพอ เหตุผลอีกอย่างที่ดึงดูดให้ผู้บริโภคพากันหลั่งไหลเข้าไปเดินในห้างใหญ่คือความสะดวกสบายในการเลือกซื้อสินค้า และการบริการที่เอาใจลูกค้า


 


เป็นที่น่าสังเกตว่าเครือข่ายต้านค้าปลีกข้ามชาติที่กำลังก่อตัวอยู่นี้ หลายๆ แห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่แม่สาย จ.เชียงราย แม่แตง จ.เชียงใหม่ อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง มักจะเริ่มจากพ่อค้าแม่ค้าในตลาดท้องถิ่นดั้งเดิมที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับตลาดมานานทั้งการทำมาหากิน และการมีสังคมเล็กๆ ของตนเอง เรยกได้ว่าตลาดท้องถิ่นมีความหมาย คุณค่าทางจิตวิญญาณ มากกว่าแง่เศรษฐกิจเพียงด้านเดียว                       


 


ตลาดท้องถิ่น พื้นที่ทางวัฒนธรรม


ห้างค้าปลีกข้ามชาติมักจะเลือกทำเลในย่านชุมชนเดิม อันเป็นแหล่งที่คนในท้องถิ่นมักจะเข้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันอยู่แล้ว ซึ่งหลีกไม่พ้นย่าน "ตลาดท้องถิ่น" เดิม อันเป็นแหล่งที่มีความสัมพันธ์ของผู้คนมายาวนาน บางตลาดมีอายุยืนยาวนับร้อยปี เช่นตลาดศาลเจ้าโรงทอง อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง หรือบางแห่งก็มีประวัติศาสตร์ของคนท้องถิ่น เช่นที่ ตลาดแม่มาลัย อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ที่มีอายุประมาณ 50-60 ปี ชาวบ้านเล่าว่าเดิมตลาดเคยเป็นวัดร้าง อันเนื่องมาจากสมัยสงครามโลก ญี่ปุ่นบุกจนพระเณรต้องละทิ้งให้เป็นวัดร้าง ภายหลังสงคราม ชาวบ้านก็นำของมาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน ตลาดเป็นทางผ่านไปสู่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน อ.เชียงดาว อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ จึงเป็นจุดพบปะของชาวบ้านในแถบนั้นซึ่งมีหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น คนลีซู คนเย้า และคนเมืองในเขตพื้นราบ


 


ชาวบ้านแม่แตงที่ค้านก่อสร้างห้างเทสโก้ ถึงกับพูดว่า "ถ้าไม่มีตลาด พวกเขาก็คงไม่พื้นที่ที่จะมาพบปะเจอกัน พ่ออุ๊ย-แม่อุ๊ย (คนแก่) ก็คงจะเหงามาก เพราะเคยมานั่งขายของตลาดอยู่ทุกวัน" สะท้อนให้เห็นว่าตลาดไม่ใช่แค่เป็นแหล่งหมุนเวียนทางด้านเศรษฐกิจท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังมีความหมายในแง่จิตวิญญาณของคนในท้องถิ่นนั้นด้วย


 


นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่หลายคนอาจนึกไม่ถึง หรือแทบจะไม่ได้ใส่ใจเลย คือเรื่อง "อาหาร" ถ้าเป็นตลาดในเมืองจะไม่เห็นความแตกต่างของอาหารที่ขายในตลาดสดกับห้างค้าปลีกข้ามชาติมากนัก แต่ถ้าใครได้มีโอกาสไปเที่ยวตามตลาดท้องถิ่นในชนบท จะพบว่าตลาดท้องถิ่นเดิมจะมีความหลากหลายของอาหารอย่างมากที่ไม่อาจหาได้ในห้างค้าปลีกข้ามชาติที่รับอาหารจากบริษัทใหญ่ๆ เพียงไม่กี่แห่ง อาหารสดที่นำมาขายเป็นผลผลิตของชาวบ้านในแถบนั้น และบางส่วนก็เป็นอาหารที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล เก็บเอาตามรั้วบ้าน หรือที่ขึ้นเองตามธรรมชาติในพื้นที่สาธารณะ เช่นที่ตลาดแม่มาลัยก็จะมีแผงผักพื้นบ้านที่ชาวบ้านปลูก และบ้างเก็บเอาตามรั้วบ้านและนำมาขายด้วยตัวเองอยู่หลายราย ผักพื้นบ้าน เช่นผักปั๋ง ผักแคบ (ตำลึง) ผัก.... เป็นพืชผักที่ชาวบ้านกินอยู่เป็นกิจวัตร เมื่อถึงหน้าฝนก็จะมีอาหารจากป่ามาขาย เช่นเห็ด หน่อไม้


 


สุรพงษ์ นิ่มตระกูล เจ้าของร้านค้าในตลาดแม่มาลัย อ.แม่แตงถึงกับบอกว่าสื่อมวลชนจำนวนมากที่ติดตามข่าวเกี่ยวกับการค้านห้างค้าปลีกข้ามชาติ ส่วนใหญ่มักจะคิดว่ามีแต่พ่อค้า แม่ค้าในร้านโชวห่วยเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ และก็มักจะนำเสนอแต่มุมมองเรื่องเศรษฐกิจ และยังไม่เคยมีใครเสนอในมุมมองของสังคม วัฒนธรรม และอาหารของคนไทยเลย เพราะถ้ามองให้ลึกซึ้งและรอบด้าน สุรพงษ์เห็นว่าผลกระทบของห้างค้าปลีกข้ามชาตินั้นสะเทือนหนักแน่ถึงสังคม วัฒนธรรมของคนไทยโดยเฉพาะในเขตชนบท


 


ใครจะอยู่ ใครจะไป ?


แม้ว่าการก่อตัวของเครือข่ายการค้านทุนค้าปลีกข้ามชาติกระจายอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ แต่ก็พบว่าเครือข่ายเล็กๆ ที่ก่อตัวอยู่นี้ก็ยังไม่อาจต้านทานกระแสการเข้ามาของกลุ่มทุนเหล่านี้ได้ ด้วยเหตุที่ยังมีปัญหาอยู่ที่ระดับนโยบาย กฎหมายของรัฐไทยที่เปิดกว้าง และเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุนเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ประกอบกิจการของคนต่างด้าว กฎหมายผังเมือง จนถึงในระดับท้องถิ่นเอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ควรจะปกป้องและพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น แต่ก็ยังหวังประโยชน์จากภาษีเล็กๆ น้อยๆ ที่ห้างค้าปลีกข้ามชาติเหล่านี้โยนเศษเนื้อมาให้


 


ในส่วนของ พ.ร.บ.ประกอบกิจการคนต่างด้าวนั้นแม้จะห้ามต่างชาติประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งก็จริงอยู่ แต่กลับมีข้อยกเว้นในกรณีที่มีเงินทุนจดทะเบียนมากกว่า 100 ล้านบาทนั้นสามารถที่เข้ามาประกอบกิจการได้ ซึ่งที่ผ่านมาหอการค้าทั่วประเทศได้พยายามเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขกฎหมายดังกล่าว และให้มีการควบคุมค้าปลีกต่างชาติ แต่รัฐบาลไทยรักไทยโดยดร.สุวรรณ วลัยเสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์กลับแสดงวิสัยทัศน์ว่า ธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยนั้นจะส่งผลดีต่อประเทศไทยในระยะยาว


 


นอกจากนี้ ดร.สุวรรณ ยังบอกอีกว่าแนวคิดเดิมที่เคยจะควบคุมค้าปลีกข้ามชาติ โดยนำแนวกฎหมายค้าปลีกจากประเทศอื่นมาประยุกต์ใช้ เช่น การกำหนดเวลาเปิด-ปิด การโซนนิ่งพื้นที่ คิดว่ายังไม่เหมาะกับประเทศไทยในเวลานี้เพราะไทยยังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการเปิดเสรีการค้าในฐานะสมาชิก WTO ประเทศไทยยังต้องพึ่งพิงเงินลงทุนจากต่างชาติ


 


ส่วนกฎหมายผังเมืองนั้น เครือข่ายค้านการค้าปลีกข้ามชาติพยายามผลักดันให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสกัดกั้นการขยายตัวของห้างค้าปลีกข้ามชาติ แต่ปรากฏว่าเมื่อปี 2548 กรมโยธาธิการกลับเสนอให้มีการแก้ไขระเบียบก่อสร้างอาคารพาณิชยกรรมค้าปลีก ค้าส่งขนาดใหญ่ จากเดิมที่กำหนดให้ตั้งห่างจากเมืองรวม 15 กิโลเมตร ปรับลดลงมาเหลือเพียง 2 กิโลเมตร พร้อมขยายพื้นที่จากเดิม 3,000 ตารางเมตรเป็น 5,000 ตารางเมตร ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีความชัดเจนว่ากฎหมายผังเมืองที่ควรจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมการขยายตัวของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่จะมีหน้าตาเช่นไร


 


ล่าสุดปี 2549 นายเจฟฟ์ อดัมส์ ประธานกรรมการบริหารของเทสโก้ ยังเปิดเผยถึงแผนการลงทุนของเทสโก้ในไทยต่อ นสพ.โพสต์ทูเดย์ว่าขึ้นอยู่กับกฎหมายผังเมืองฉบับใหม่ของไทยที่จะประกาศใช้ว่าเอื้อต่อการลงทุนหรือไม่ หากไม่มีความชัดเจน บริษัทก็จะย้ายการลงทุนไปยังประเทศอื่น ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลดูเหมือนจะกลัวนักกลัวหนาว่าจะไม่มีเม็ดเงินต่างชาติมาลงทุน โดยที่ไม่เคยคิดกลับกันว่าเขาขนเงินมาลงทุนเพียงนิดเดียว แต่เวลาขนกลับนั้นมากมายมหาศาลแค่ไหน


 


ที่ผ่านมา กลุ่มค้านห้างค้าปลีกข้ามชาติจึงพยายามผลักดันให้มีการยกร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่ง แต่ก็ปรากฏว่ารัฐบาลไม่รับลูกในเรื่องนี้เสียเท่าไหร่ โดยให้เหตุผลว่าหากยกร่างขึ้นมาจะขัดต่อนโยบายการค้าเสรีที่ไทยจะต้องปฏิบัติตามในฐานะสมาชิก WTO


 


นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอจากกลุ่มคัดค้านอีกว่า ประเทศไทยควรมีกฎหมายควบคุมธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติที่เข้มแข็ง โดยไม่ต้องใช้ข้ออ้างเรื่องการเปิดเสรีการค้า โดยอาจจะนำประสบการณ์จากประเทศญี่ปุ่นมาเป็นตัวอย่าง เช่น การให้อำนาจผู้บริหารท้องถิ่นเป็นคนพิจารณากำหนดพื้นที่ ตั้งแต่พื้นที่ทำเลที่จะเปิดต้องอยู่ไกลออกไปจากชุมชน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ค้าปลีกรายย่อยได้ทำมาหากินบ้าง ห้ามเปิดดำเนินกิจการทุกวันโดยไม่มีวันหยุด


 


อย่างไรก็ตาม นักวิชาการ เช่น ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีความเห็นต่างมุมว่าการมุ่งให้รัฐส่วนกลางออกกฎระเบียบ หรือกฎหมายเพื่อควบคุมห้างข้ามชาติโดยนำหยิบยืมกฎระเบียบของประเทศอื่นมาใช้นั้นจะต้องมีการศึกษาให้เหมาะกับสังคมไทย หากมีการออกกฎระเบียบ หรือนโยบายที่ขัดต่อวิธีคิดพื้นฐานก็จะนำไปสู่การบังคับใช้ที่ล้มเหลวในที่สุด โดยมีข้อเสนอว่าสังคมไทยควรเรียกร้องรัฐไทยให้บังคับใช้กฎระเบียบอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามเงื่อนไขภายใน


 


อีกทั้งยังมีข้อเสนอแนะที่น่าคิดต่อพลังของผู้ผลิตและผู้บริโภคในท้องถิ่น โดยมีความเห็นว่าในระดับท้องถิ่นจะมีความยั่งยืนได้จะต้องมีการสร้าง "เครือข่ายการผลิตและบริโภคในระดับท้องถิ่น" ให้เข้มแข็งที่สามารถทดแทนการนำเข้าจากส่วนกลางได้ เช่น เกาหลีใต้ รัฐบาลเลือกเปิดเสรีอย่างค่อยเป็นค่อยไป เครือข่ายผู้ผลิต และผู้บริโภคภายในประเทศมีความเข้มแข็งมีสำนึกต่อผลประโยชน์ของผู้ประกอบการท้องถิ่น จึงทำให้สามารถครองตลาดเหนือห้างต่างชาติได้ เป็นต้น (กรุงเทพธุรกิจ 20 มิ.ย.2549)


 


ใครจะอยู่ ใครจะไป ห้างข้ามชาติ หรือ ทุนท้องถิ่นจึงมิใช่อยู่ที่ตัวบทกฎหมาย และนโยบายเพียงด้านเดียว หากแต่ผู้ผลิต - ผู้บริโภคเองก็ต้องออกแรงด้วย.   

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net