"หมอประเวศ" วางเกณฑ์ 10 ข้อที่นายกฯใหม่ต้องทำ

กราบเรียน ฯพณฯ ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี ท่านอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคการเมืองประชาธิปัตย์ มหาชน ท่านอธิการบดี นักวิชาการ สื่อมวลชน เพื่อนคนไทยที่อยากเห็นบ้านเมืองของเราเจริญรุ่งเรือง และมีสันติสุข

 

เมื่อปลายปี 2543 กระผมได้แสดงปาฐกถาที่โต๊ะนี้ ที่ห้องนี้ และคุณทักษิณ ได้พาสมาชิกพรรคไทยรักไทยมานั่งฟังเยอะทีเดียวในวันนั้น ผมได้พูดว่า ใครก็ตามที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป น่าจะทำเรื่องต่างๆ เหล่านี้ 8 ประการด้วยกัน ผมพูดเสร็จ คุณทักษิณท่านบอกผมจะทำหมดทั้ง 8 ข้อที่อาจารย์พูด ผมจะไม่พูดว่าท่านทำหรือเปล่า หรือว่าทำถูกต้องหรือเปล่า อยากจะมองไปข้างหน้าว่า นายกรัฐมนตรีคนต่อไปน่าจะทำอะไรบ้าง สัก 10 ประการด้วยกัน

 

ประการที่ 1 ผมคิดว่า นายกรัฐมนตรี ต้องมีจริยธรรมสูง ถ้านายกรัฐมนตรีจริยธรรมต่ำ บ้านเมืองไปไม่ได้ บ้านเมืองจะวุ่นวายปั่นป่วน วิกฤตการณ์ ต่อให้เก่งอย่างไรก็ไปไม่ได้ ประการแรก นายกรัฐมนตรีต้องมีจริยธรรมสูง มีมารยามเคารพคนอื่น สามารถประสานคนไทยเข้ามาด้วยกัน ได้ช่วยกันทำงาน เพราะงานที่เราเผชิญอยู่เป็นเรื่องยากทั้งสิ้น ไม่มีใครทำได้ ต่อให้เก่งอย่างไรก็ทำไม่ได้ เทวดายังทำไม่ได้เลย ต้องเป็นคนที่สามารถรวมผู้คนเข้ามากันทำงาน เพื่อบ้านเมือง ต้องเปิดพื้นที่ทางสังคม พื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง จึงจะแก้ปัญหาได้

 

ประเด็นที่ 2 เรื่องการปฏิรูปการเมือง การปรับระบบราชการ การส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น เรื่องประชาสังคม เรื่ององค์กรสื่อสาธารณะที่เป็นอิสระ เรื่องปฏิรูปการเมืองนี่ก็ทุกฝ่ายเห็นด้วยกันว่า น่าจะต้องทำ ว่าจะเป็นกระบวนการที่ถูกต้องไหม และรายละเอียดเรื่องราวต่างๆ ที่ต้องศึกษาโดยละเอียด ที่จะทำ ประเด็นใหญ่ คือทำอย่างไรจะป้องกันเงินขนาดใหญ่ ที่เข้ามาครอบงำทางการเมือง เป็นประเด็นใหญ่ ทำอย่างไรจะทำให้เงิน หรือธนาธิปไตย เข้าแทรกแซงองค์กรต่างๆ

 

ทีนี้ผมอยากเรียนว่า ถ้าจะปฏิรูปการเมือง อย่ามองแต่ว่า ประชาธิปไตย คือการเลือกตั้งอย่างเดียว ต้องมองระบอบประชาธิปไตยให้ครบหมด ต้องมองให้ได้ คราวที่แล้วก็พลาดไป รัฐธรรมนูญ 2540 นั้นเรื่องต่างๆ ที่น่าจะต้องทำร่วมกันไปด้วย ผมพูดไว้ 4-5 เรื่องด้วยกัน คือเรื่องการปรับระบอบราชการ

 

ขณะนี้ระบอบราชการถูกการเมืองครอบ จนหมดศักดิ์ศรี หมดศักยภาพไป ในประเทศญี่ปุ่น ในช่วงที่การเมืองทีคอร์รัปชันเยอะ แต่ว่าระบอบราชการเขาแข็ง สามารถช่วยประเทศชาติได้ ฉะนั้นเราต้องการระบบราชการ ที่แข็งแรง ซื่อสัตย์สุจริต แล้วเป็นอิสระ ต้องช่วยกันออกแบบที่ตรงนี้ ตัวระบอบราชการต้องปรับตัว ให้ชุมชนท้องถิ่น เป็นผู้ทำงานเป็นส่วนใหญ่ แต่ตัวกระทรวงต่างๆ ทำหน้าที่สนับสนุน ทั้งทางวิชาการและทางนโยบาย คือ กระทรวงต้องปรับตัวไปทำเรื่องนโยบาย และยุทธศาสตร์ แต่กระจายอำนาจไปให้ชุมชนท้องถิ่นทำเอง มากที่สุด และต้องจัดความสัมพันธ์ระหว่างราชการกับการเมืองใหม่

 

ขณะนี้ทุกวันข้าราชการจะกลัว ไม่รู้รัฐมนตรีจะสั่งย้ายสั่งปลดวันไหน ไม่เป็นอันทำงาน น่าจะมีกระบวนการคัดเลือกข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งระดับสูง เช่น อธิบดี ปลัดกระทรวง มีการสรรหา และมีวาระ เช่น 4 หรือ 5 ปี แบบอธิการบดีดำรงตำแหน่ง จะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกปลดวันไหน จะได้ตั้งใจทำงานไป ก็มีเรื่องต่างๆ เพราะคิดว่า จำเป็นต้องทำระบอบราชการให้เข้มแข็ง และปฏิรูปความสัมพันธ์

 

บางประเทศคณะรัฐมนตรีเขาทำแต่นโยบาย เขาไม่มายุ่งล้วงลูกด้านการบริหาร การบริหารเป็นเรื่องกระทรวง คณะรัฐมนตรีทำนโยบาย สำนักงานของรัฐมนตรี ของออสเตรเลียอยู่ที่สภาเลย ผมเคยไปเยี่ยมสภาที่แคนเบอร์รา เห็นสำนักรัฐมนตรีทำนโยบาย ส่วนการบริหารเป็นเรื่องของปลัดกระทรวงที่จะทำไป

 

ดังนั้น ตรงนี้ผมจึงอยากฝากไว้สั้นๆ ว่าน่าจะต้องมองเรื่องระบบราชการด้วย ว่าทำอย่างไรจะมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เป็นตัวของตัวเอง แน่นอนทางการเมืองเข้ามาสั่ง มาทำอะไรได้ตามนโยบาย แต่ควรทำไปโดยมีการประเมิน ไม่ใช่ไม่พอใจอะไร ไม่สนองอะไรก็จะปลด จะย้ายกันทุกวัน เรื่องชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง ไม่มีประชาธิปไตยที่ไหนเป็นไปได้โดยปราศจากความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น

 

สหรัฐอเมริกาเมื่อตั้งประเทศ เข้มแข็งขึ้นโดยรวดเร็วเพราะเขาสนใจเรื่องท้องถิ่นมาก ตั้งชื่อประเทศของเขาเลยว่า United States แล้วตัว State คือท้องถิ่น ท้องถิ่น ชุมชนท้องถิ่นต้องเข้มแข็ง ชุมชนเข้มแข็งนี่แก้ปัญหาหมดทุกชนิดแล้ว ทั้งเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ พร้อมกันไปหมด เพราะฉะนั้น จุดนั้นเป็นจุดสำคัญ ขณะนี้ระบบราชการยังไปครอบงำชุมชน ท้องถิ่นอยู่ เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องคิดเรื่อง ชุมชน ท้องถิ่นเข้มแข็งโดยรวดเร็ว

 

ท่านผู้มีเกียรติ ประเด็นที่ผมจะกราบเรียน สำคัญและได้รับความสนใจน้อย ประเทศเราเสื่อมเสียศีลธรรม เต็มไปหมดทั้งบ้านทั้งเมือง ทั้งๆ ที่เรามีพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงคุณอันประเสริฐ ครองราชย์มา 60 ปี เรามีพุทธศาสนา ซึ่งบอกว่าเป็นของดี ต้องตั้งคำถามว่าทำไมจึงมีความเสื่อมเสียศีลธรรมเต็มไปหมด

 

ถ้าเราตีประเด็นตรงนี้ไม่แตกเราแก้ปัญหาศีลธรรมไม่ได้ ให้พระสอนศีลธรรมไปเท่าไหร่ๆ ศีลธรรมไม่เกิด ศีลธรรมไม่ได้เกิดขึ้นจากการสั่งสอน เราสอนมาเยอะ ทุกวันพระให้ศีล 5 ข้อ ทั่วประเทศหลายหมื่นเที่ยว ศีลธรรมก็ไม่เกิด ผมคิดว่าต้องตีประเด็นตรงนี้ให้ได้ ประเทศใดหรือสังคมใดมีความสัมพันธ์ทางดิ่ง คือ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีอำนาจซึ่งอยู่ข้างบนกับผู้ไม่มีอำนาจอยู่ข้างล่าง เรียกว่า เป็น Vertical Relationship

 

อย่างประเทศไทย เศรษฐกิจจะไม่ดี การเมืองจะไม่ดี และศีลธรรมจะไม่ดี ทำอย่างไรก็ไม่ดี ที่อิตาลีมีนักวิชาการชื่อ โรเบิร์ต พุตนัม จากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ไปวิจัย เป็นวิจัยขนาดใหญ่ เพราะอิตาลีประเทศเดียวใช้รัฐธรรมนูญเดียวกัน ใช้กฎหมายฉบับเดียวกัน แต่เหมือน 2 ประเทศ ตอนเหนือของอิตาลีเศรษฐกิจดี การเมืองดี และศีลธรรมดี แต่ตอนใต้ เช่น ซิซีลี ซาร์ดีเนีย เศรษฐกิจไม่ดี การเมืองไม่ดี มีการฆ่าหัวคะแนนยกหีบบัตรทุกชนิด และศีลธรรมไม่ดี เขาไปวิจัยว่าทำไมถึงต่างกัน

 

ก็เจอชัดเจน เขาออกแบบการวิจัยไป จะให้เก็บตัวเลขทำอะไรต่ออะไรต่างๆ ตอนเหนือของอิตาลี โครงสร้างสังคมเป็นโครงสร้างทางราบ ที่เรียกว่า Horizontal Structure ผู้คนมีความเสมอภาคกัน และเข้ามารวมตัว ร่วมคิดร่วมทำในรูปเป็นกลุ่ม เป็นชมรม เป็นสหกรณ์ เป็นมูลนิธิ เป็นสมาคม แต่ว่าภาคใต้ของอิตาลีเป็น Tradition มานานเป็นร้อยปี เมื่อสังคมเป็นทางดิ่ง บางเมืองเคร่งศาสนา ศาสนาคาทอลิก ในภาคใต้ ศีลธรรมก็ไม่ดี เพราะรักก็อด แต่ไม่รักเพื่อนบ้าน ศีลธรรมก็ไม่ดี มันเป็นทางดิ่ง

 

เพราะฉะนั้นที่เรียกว่า Civic Tradition หรือ Civility หรือประชาสังคม จำเป็นต่อการที่จะมีเศรษฐกิจดี การเมืองดี และศีลธรรมดี ไม่อย่างนั้นทำอย่างไรก็ไม่มีวันดี เพราะฉะนั้นคิดว่า นายกรัฐมนตรีคนต่อไปน่าจะเข้าใจตรงนี้ แล้วร่วมกันสร้างตรงนี้ มีนโยบายให้องค์กรของรัฐทั้งหมดส่งเสริมความเป็นประชาสังคม และทำงานร่วมกับประชาสังคม จริงๆ

 

ผมเรียนคุณทักษิณเมื่อตอนท่านเป็นนายกฯ ใหม่ๆ 2544 นั่งคุยกันส่วนตัว ท่านนายกฯ เขียนรูปให้ดูด้วย เป็นรูปสามเหลี่ยม บอก ท่านนายกฯ อย่าไปตกโครงสร้างมรณะนะ ถ้าใช้แต่อำนาจแก้ปัญหาบ้านเมือง 1.มันแก้ไม่ได้ รับรอง เพราะปัญหามันซับซ้อน 2.อำนาจอื่นมันจะตีกลับ แล้วมันจะสกรัมท่านนายกฯ จนตกอยู่ในโครงสร้างมรณะ

 

ที่จะไม่ตกในโครงสร้างนี้คือ ต้องเปิดพื้นที่ทางสังคม และพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง ตรงนั้นคือความเป็นประชาสังคม เตือนไว้แล้วตั้งแต่ 44 ท่านไปตกตรงนั้นแล้วจริงๆ

 

เพราะฉะนั้น ตรงนี้อยากเห็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปทำความเข้าใจตรงนี้อย่างจริงจัง และร่วมกับสังคม นักวิชาการ สื่อมวลชน ช่วยกันสร้างความเป็นประชาสังคมให้ได้ ถ้าเราสร้างตรงนี้ได้เศรษฐกิจจะดี การเมืองจะดี และศีลธรรมจะดี จริงๆ แล้วเขาเรียกตรงนี้ว่าเป็นประชาธิปไตย หนังสือของโรเบิร์ต พุตนัม ที่วิจัยที่อิตาลี ชื่อว่า Making democracy work ว่าประชาธิปไตยจะได้ผลนั้นต่อเมื่อมีประชาสังคม ถ้าตรงนี้ไม่มี มีแต่กลไกการเลือกตั้งอย่างเดียว เป็นเพียงกลไก ต่อไปเป็นเกม เป็นกลโกงต่อไปได้ง่ายๆ

 

ท่านผู้มีเกียรติ ในการปฏิรูปการเมืองคราวนี้น่าจะมีการสร้างองค์การสื่อสารสาธารณะที่เป็นอิสระ เพราะว่าการสื่อสารสาธารณะที่สามารถให้ความจริง ที่ประชาชนสามารถสื่อกันได้ เป็นเครื่องมือของประชาธิปไตย ขณะนี้พื้นที่ของการสื่อสารนั้นปิดสำหรับสังคม เปิดสำหรับอำนาจรัฐและอำนาจเงิน แต่ปิดสำหรับสังคม ถ้าคนไทยรู้ความจริงโดยทั่วถึงประเทศจะดีขึ้นโดยรวดเร็ว และเราเห็นแล้วมีการแทรกแซงสื่อด้วยประการทั้งปวง ประชาธิปไตยเกิดไม่ได้แบบนี้

 

เพราะฉะนั้น ผมเสนอว่าน่าจะมีการออกกฎหมายตั้งองค์การสื่อสารสาธารณะที่เป็นอิสระ คือไม่ขึ้นกับฝ่ายการเมือง มีคณะกรรมการอิสระคอบควบคุมดูแล มีที่มาของงบประมาณโดยอัตโนมัติ เช่น ไปขึ้นภาษีบางอย่าง ภาษีการสื่อสารก็ได้ จนองค์การนี้มีเงินใช้พอเพียงโดยไม่ต้องไปตั้งงบประมาณประจำปีแบบ สสส.ที่ไปขึ้นภาษีเหล้า ภาษีบุหรี่ และองค์การนี้ทำการส่งเสริมการสื่อสารทุกชนิด ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต สิ่งพิมพ์ และการสื่อสารชุมชน

 

ท่านทั้งหลายลองนึกถ้ามีการสื่อสารคลุมพื้นที่หมดของสังคม และสามารถสื่อความจริงกันได้ มีการสื่อสารระหว่างกันได้ บ้านเมืองจะเจริญโดยรวดเร็ว และไม่ต้องไปทะเลาะกันว่าสื่อของรัฐเข้าข้างคนโน้นคนนี้ อะไรต่ออะไรต่างๆ เพราะสื่ออันนี้เป็นกลาง

 

อันนี้อยากจะฝากสังคมไว้ ฝากให้ทำให้ได้จริงๆ แล้วบ้านเมืองจะเจริญโดยรวดเร็ว ถ้านายกฯ ชวนจำได้ ตอนท่านเป็นนายกฯ ผมคุยกับคุณหญิงสุพัตรา ซึ่งดูแลสำนักนายกฯ ว่า คุณหญิงแอ๋ว ทำเรื่องระบบการศึกษาให้ดี แล้วบ้านเมืองจะดีขึ้น แต่ไม่มีคนช่วยดูว่า ที่เรียกว่าระบบการศึกษานั้นมันอะไร คุณหญิงก็อยากทำ ท่านนายกฯชวนก็ทราบเรื่องนี้อยู่ ผมว่าคราวนี้ต้องช่วยกันทำตรงนี้ให้ได้

 

เรื่องที่ 3 มีความจริงใจ และจริงจังในการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชั่น คอร์รัปชันตอนนี้ระบาดไปทั่ว และบ่อนทำลายสังคมไทยอย่างถึงกระดูก ถึงเลือดถึงเนื้อเลยทีเดียว เหมือนเป็นมะเร็ง สังคมไทยเหมือนเป็นมะเร็งที่คอยกัดกินอยู่ตลอดเวลา จึงจำเป็นที่เราจะต้องป้องกันปราบปรามคอร์รัปชั่นให้ได้ ดังนั้นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ต้องมีความจริงใจ และจริงจังที่จะทำตรงนี้ ซึ่งมันก็ไปผูกพันกับข้อ 1 ถ้านายกฯไม่มีจริยธรรมสูง ก็ไม่สนใจข้อนี้ มันจะผูกกัน

 

ดังนั้น เรื่องคอร์รัปชัน คงต้องหากลไก กลไกที่มีอยู่ไม่น่าจะพอ เพราะเราก็มี ป.ป.ช.ต่างๆ แต่ว่าอาจจะถูกแทรกแซงอะไรต่างๆ วิธีหนึ่ง คือ ตั้งคณะกรรมการอิสระ เพื่อการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชั่น ถึงแม้จะมีอยู่แล้ว แต่ถ้ามีคณะกรรมการอิสระมาเป็นกลไกอีกด้านหนึ่ง ที่จะมองระบบคอร์รัปชั่นหมด

 

ที่อินเดียมีคนเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ Anatomy of Corruption ผมอยากเห็นนักวิชาการผู้มีประสบการณ์ต่างๆ คลี่ระบบคอร์รัปชันออกมาให้เห็นชัดเจน เพราะเป็นระบบที่ซับซ้อน ถ้าคนไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะทำอะไร ต้องคลี่ออกมาว่ามีอะไรบ้าง ทำที่ตรงไหน คนจะได้รู้

ถ้าเราดูการเมืองในสหรัฐฯ เครื่องมือที่ปราบคอร์รัปชันที่ชะงัดที่สุด คือสื่อมวลชน ที่เรียกว่า Investigative Journalism ผมตามการเมืองอเมริกันมา 40 กว่าปี และเห็นตรงนี้ชัด นักการเมืองที่มีจุดด่างพร้อย แม้แต่นิดเดียว ขยับตัวทีไร สื่อมวลชนจะคุ้ยมา และตอบไปไม่ได้ เนลสัน ร็อกกี้เฟลเลอร์ อยากเป็นประธานาธิบดี แต่ขยับตัวทีไร สื่อมวลชนก็จะคอยคุ้ยมา ว่าเนลสัน หย่าภรรยา ซึ่งอยู่ด้วยกันมานานหลาย 10 ปี และไปแต่งงานกับผู้หญิงคนชื่อ แฮปปี้ เป็นอดีตภรรยาของหมอ ที่ทำงานกับ ร็อกกี้เฟลเลอร์ ฟาวเดชั่น แค่นี้เขาก็ว่าเป็นประธานาธิบดีไม่ได้แล้ว

 

ผมยกตัวอย่าง 2-3 ตัวอย่างก่อนที่จะสรุปตรงนี้ เอ็ดเวิร์ด เคนเนดีอยากเป็นประธานาธิบดี ขยับตัวทีไรสื่อมวลชนไปคุ้ยมาแล้ว ว่าเอ็ดเวิร์ด เคนเนดี เคยพาผู้หญิง ชื่อ โจแอน โคเปกนี ไปจมน้ำตายที่ ชัปปาควิดดิก (Chappaquiddick) ที่ตรงนั้น ไปจมน้ำตายแล้วไม่แจ้งความ ทิ้งเวลาไว้เนิ่นนาน แค่นี้เป็นประธานาธิบดีไม่ได้ วุฒิสมาชิกจากรัฐโคโลราโด ชื่อ แกรี ฮาร์ด กำลังมีคะแนนนำที่จะเป็นผู้ท้าชิงประธานาธิบดี วันหนึ่งสื่อมวลชนไปเอารูปมาลงพิมพ์ว่า แกรี ฮาร์ด ไปอุ้มผู้หญิงที่ไม่ใช่ภรรยาของตัวนั่งตัก แค่นี้ก็เป็นประธานาธิบดีไม่ได้แล้ว ถ้าเอาเกณฑ์นี้มาจับ ไม่ทราบจะเหลือรัฐมนตรีกี่คน จึงจำเป็นต้องสนับสนุนสื่อมวลชนให้ทำอินเวสติเกติฟ เจอร์นัลลิสซึ่มได้

 

ผมเคยท้าทายรัฐบาลมานานว่า ถ้าต้องการทำเรื่องนี้จริง ตั้งกองทุนสนับสนุนการวิจัยเพื่อสื่อมวลชน เพราะสื่อมวลชนลำบากมาก ทุนรอนไม่มีทำด้วยความยากลำบาก ทำก็อันตรายต่างๆ ร้อยแปด ผมเคยคุยกับคนที่ทำวิจัยเรื่องนี้มาแล้ว เขาบอก สังคมต้องช่วยสนับสนุนสื่อที่ต้องการทำอินเวสติเกติฟ เจอร์นัลลิสซึ่ม ไม่อย่างนั้นลำบากเต็มทน มันโดนอิทธิพล มันโดนอะไรต่างๆ ที่จะเข้าไปทางนายจ้าง เข้าไปทางต่างๆ เพราะฉะนั้นตรงนี้ต้องทำให้ได้ แล้วมีอื่นๆ อีก

 

ผมคิดว่าองค์กรต่างๆ ที่ทำหน้าที่นี้ต้องเชื่อมโยงกับประชาสังคม ถ้าต่างคนต่างอยู่จะไม่มีพลัง ป.ป.ช.เอง สตง. อัยการ ศาล สื่อมวลชน ประชาสังคมต่างๆ ต้องทำงานเชื่อมโยงกัน แล้วต้องสามารถเอานักการเมืองที่คอร์รัปชั่นเข้าคุกให้ได้ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ อย่างเกาหลี ประธานาธิบดีชุน ดู วาน ติดคุก ถ้าเราเอาขนาดนั้นติดคุกได้ ประชาชน สังคมจะมีกำลังใจขึ้นเยอะว่า มันน่าเชื่อถือ ไม่อย่างนั้นเขาไม่เชื่อ คุณได้แต่ปลาสร้อยปลาซิวแค่นั้น ตัวใหญ่ๆ เอาไม่ได้ ระบบยุติธรรมต้องทำตรงนี้ให้ได้ ต้องเอาตัวใหญ่เข้าคุกให้ได้

 

ประการที่ 4 สร้างเศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมให้มีสัมมาชีพเต็มพื้นที่ อนุรักษ์และใช้ทรัพยากรอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน และใช้ดัชนีวัดความสุขจีดีเอช เป็นเครื่องติดตามการพัฒนาประเทศ ไม่ใช่จีดีพี นายกรัฐมนตรีคนใหม่ควรส่งเสริมความเข้าใจแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงอย่างทั่วถึง มีความจริงใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องยากพอสมควร เพราะฉะนั้นตรงนี้ต้องการสร้างความเข้าใจ ต้องการไปศึกษาดูตัวอย่างในชนบทที่มีคนทำกันอยู่ตรงนี้

 

ทีนี้เรื่องสัมมาชีพเป็นพื้นที่ อันนี้มีความจำเป็น ท่านทั้งหลายไปอ่านพระไตรปิฎก ที่เรียกว่า กูตะคันตะสูตร จะเห็นชัดเจนว่าความร่มเย็นเป็นสุขจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีสัมมาชีพเต็มพื้นที่ ให้สอนธรรมะเท่าไหร่ไม่เกิด ศีลธรรมไม่เกิด แต่ถ้ามีสัมมาชีพเต็มพื้นที่ศีลธรรมจะเกิด

 

ที่ ต.ยกกระบัตร อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร เมื่อ 40 ปีย้อนหลัง ยังไปดูได้ขณะนี้ เมื่อ 40 ปีย้อนหลังตำบลนี้เต็มไปด้วยความชั่วต่างๆ เล่นการพนัน ยาเสพติด ลักขโมย เต็มไปหมดทั้งตำบล ท่านพระครูสาคร สังวรกิจ เจ้าอาวาสหนุ่มไป ไปดูว่าเขายากจนจริงๆ เราอย่าเรี่ยไรเขาเลย ต้องช่วยให้เขาหายยากจน ในที่สุดท่านนำประชาชนใน ต.ยกกระบัตร หมดทุกคน ทุกบ้านไม่เหลือเลยซักคน ทั้งตำบลเลย ปลูกมะพร้าวน้ำหอม แล้วน้ำตาลมะพร้าวขาย ทุกคนมีรายได้ 200-400 บาทต่อวันต่อคน สมัยนั้นย้อนหลังไป 40 ปี ปรากฏว่าความชั่วหายไปหมด เล่นการพนัน ยาเสพติด การลักขโมย หายไปหมด นี่ตรงกับพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เมื่อก่อน

 

ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญ สัมมาชีพ หมายถึง อาชีพที่ไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อม มีรายจ่ายน้อยกว่ารายได้ อันนี้จะรวมหมดอยู่ในนี้ เพราะฉะนั้นตรงนี้สามารถส่งเสริมในพื้นที่ ในแต่ละตำบลว่ามีสัมมาชีพเท่าไหร่แล้ว แล้วมันเกี่ยวกับการจัดสรรที่ดินทำกิน นโยบายตรงนั้นเข้าไปว่าจะใช้ที่ดินอย่างไร ใช้เทคโนโลยีอย่างไร ใช้ทุนอย่างไร จะให้ประชาชนมากที่สุดมีสัมมาชีพ ถ้าไม่อย่างนั้นไม่มีทางสร้างศีลธรรมขึ้น เพราะคนในเมืองที่มีมิจฉาอาชีวะเยอะมากโดยไม่รู้ตัว อาชีพที่เบียดเบียนคนอื่น แล้วเลิกไม่ได้ด้วยเพราะมันเป็นโครงสร้างทางเศรษฐกิจแบบนั้น อันนี้อยากฝากไว้อาจจะยากสักนิดหนึ่ง อยากฝากให้ให้ลงรายละเอียดดูตรงนี้กันจริงๆ

 

เมื่อเดือนมิถุนาฯ สังคมไทย โดยเฉพาะสุภาพสตรีคลั่งจิกมีกันเยอะ ที่ประเทศภูฏาน พระเจ้าภูฏานขณะนี้เป็นรัชกาลที่ 4 ได้ประกาศเมื่อท่านขึ้นครองราชย์ว่า ประเทศภูฏาน จะไม่ใช้ จีเอ็นพี แต่จะใช้ จีเอ็นเอช เอช คือ แฮปปีเนส ดูกันที่ความสุขของประชาชน ไม่ใช่ดูที่เงิน แล้วภูฏานทำอย่างนี้จริงๆ เขาไม่โลภมาก นักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวเขาไม่ต้องการมาก เขากลัวไปทำลายสิ่งแวดล้อม ไปทำลายวัฒนธรรมเขา เขาดูเรื่องเศรษฐกิจอย่างพอเพียง เรื่องความเป็นธรรมทางสังคม

       

เรื่องต่างๆ ผมพยายามพูดตรงนี้มานาน แล้วคุณทักษิณก็รู้ เพราะคราวหนึ่งท่านไปปาฐกถา หลายปีแล้ว ผมนั่งฟังอยู่ด้วย เข้าใจว่าเป็นการประชุมของสภาพัฒน์ฯ วิชาการ ท่านพูดเรื่อง จีดีพี อยู่ แล้วท่านเหลียวมาเห็นผมเข้า เดี๋ยวอาจารย์ประเวศจะโกรธเอา อาจารย์ประเวศพูดเรื่อง จีดีเอช คือถ้าเราวัดเป็นตัวเงิน มันทำให้เกิดการแยกส่วน ถ้าเราเอาเงินเป็นตัวตั้งก็จะทำลายสิ่งแวดล้อม ทำลายวัฒนธรรม เพื่อบีบมาให้เป็นตัวเงิน และตัวมันไม่บอก ว่าเงินมันได้มาสุจริตหรือเปล่า ไปปล้น จี้ เขามา จีดีพีก็ขึ้น มันไม่ได้บอก งั้นน่าจะปรับมาใช้จีดีเอช แล้วก็ดูว่า คนจะมีความสุขอะไร มีเศรษฐกิจพอเพียง มีศีลธรรมดี มีจิตใจดี อะไรต่างๆ

 

เรื่องที่ 5 อาจจะฟังดูยากนิดหนึ่ง แต่ว่าสำคัญมาก แล้วไม่ยากถ้าจับประเด็นได้ คือเรื่องการปลดปล่อยคนทั้งประเทศ ไปสู่เกียรติ ศักดิ์ศรี ศักยภาพ และความสุข คนไทยเหมือนติดคุกที่มองไม่เห็น เป็น Invisible Prison เหมือนถูกจำจอง โดยมองไม่เห็น ในความเชื่อและการปฏิบัติ ที่ทำให้คนเกือบทั้งหมดไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีศักยภาพ

 

ผมว่ามันจะเรียงเป็นเส้นผมบังภูเขาอยู่ ถ้าเราเข้าใจตรงนี้มันไม่ยากหรอก การเคารพศักดิ์ศรี คุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เป็นศีลธรรมทางพื้นฐานของสังคม และเป็นพื้นฐานของประชาธิปไตย ของสิทธิมนุษยชน ของสิ่งดีงามต่างๆ อยู่ที่ศีลธรรมพื้นฐาน คือการเคารพศักดิ์ศรี และคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะของคนยากคนจน และประเทศไทยขาดตัวนี้

 

ระบบการศึกษาของเราทั้งหมด ตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย เป็นตัวทำลายศีลธรรมพื้นฐาน เพราะเมื่อนักเรียนเข้าเรียนโรงเรียนในสถาบันแล้ว จะรู้สึกว่า สถาบันของเรามีเกียรติ ชาวบ้านไม่มีเกียรติ อยู่ตลอดเวลา ถูกทำตรงนั้นโดยไม่รู้ตัว

 

ทีนี้ตรงนี้ถ้าเราจับเส้นผมบังภูเขาได้ จะไม่ยาก โดยทำความเข้าใจเรื่องความรู้ 2 ชนิด ความรู้มีอยู่ 2 ชนิด คือ 1.ความรู้ในตัวคน ที่ได้มาจากประสบการณ์ชีวิต ได้มาจากการทำงาน 2. คือความรู้ในตำรา ที่มาของความรู้ 2 อัน ต่างกัน ความรู้ในตัวคนทุกคนมี เพราะได้มาจากประสบการณ์ชีวิต จากการทำงาน เชื่อมโยงอยู่กับวิถีชีวิต หรือวัฒนธรรม ส่วนความรู้ในตำรานั้น ฐานอยู่ในวิทยาศาสตร์

 

ทั้ง 2 ประเภทสำคัญ แต่ที่ต่างกัน และความหมายต่างกัน ถ้าเราเคารพเฉพาะความรู้ในตำรา มีคนน้อยคนเท่านั้นที่คล่องแคล่ว คนส่วนใหญ่จะไม่มีเกียรติ เหมือนระบบการศึกษาทั้งหมด ทิ้งความรู้ในตัวคนไปเลย เอาแต่ความรู้ในตำรา แม้แต่เด็กนักเรียน ยังไม่อยากคุยกับพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เพราะคุยแล้วไม่ได้คะแนน คะแนนอยู่ที่การท่องวิชา แต่การคุยกับพ่อแม่ปู่ยาตายายสำคัญ พ่อแม่ปู่ยาตายายมีความรู้ในตัว

 

แล้วครูที่สำคัญที่สำคัญที่สุดของเราทุกคนที่นั่งอยู่ รวมทั้งที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย คือ แม่ แม่ของเรา โดยไม่คำนึงว่าแม่จะจบปริญญาตรี โท เอก เคยเรียนนอกหรือเปล่า ไม่เกี่ยว แม่ของอาจารย์ป๋วยไม่เคยเข้าโรงเรียนเลย โยมแม่พระธรรมปิฎก ไม่เคยเข้าโรงเรียนเลย อาจารย์เจิมศักดิ์ทำหนังสืองานศพแม่ เขียนว่า สิ่งที่แม่สอนไว้ บอกว่า แม่เป็นชาวบ้านที่อ่างทองไม่เคยเข้าโรงเรียนเลยแต่แม่สอนเรื่องดีๆ ไว้เยอะ เพราะมีมีความรู้ในตัวที่ได้จากประสบการณ์ชีวิตจากการทำงาน

 

ผมขอประทานโทษ คุณแม่ถ้วน ท่านไม่ได้จบปริญญาเอกที่ไหน แต่สอนอดีตนายกฯ มาดีใช่ไหม ถ้าเราเคารพความรู้ในตัวคน คนทุกคนเป็นคนมีเกียรติหมด เป็นคนมีเกียรติ มีความหมายหมดทุกคน แล้วตรงนี้ไม่ยากเลย ปรับระบบการศึกษา และมีตัวอย่างแล้วที่อยุธยาผมเคยไปดู โรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมภ์ โรงเรียนวัดพนัญเชิง เขาให้นักเรียนเรียนจากชาวบ้าน ช่างเสริมสวย ช่างผสมปูน คนขายก๋วยเตี๋ยว คนเหล่านั้นไม่เคยมีเกียรติเลยในสังคมไทย แต่เขามีความรู้ คนขายก๋วยเตี๋ยวเขามีความรู้ในการทำก๋วยเตี๋ยว ในการขายก๋วยเตี๋ยว ช่างผสมปูนเก่งมาก ครูที่โรงเรียนเสียอีกไม่มีความรู้เหล่านี้ เขาสอนเมื่อไหร่เขาสอนได้เพราะเขามีความรู้อยู่ในตัว มีความมั่นใจมาก ครูไม่มีความมั่นใจ ก่อนสอนไปเตรียมท่อง ท่อง เพราะจำไม่ได้

 

ทีนี้มันเกิดอย่างนี้ ท่านเหล่านี้พอมีนักเรียนไปเรียนกับท่านท่านรู้สึกภูมิใจขึ้นทันที รู้สึกมีเกียรติ เราก็เป็นครูได้ และเป็นได้จริงๆ มีเกียรติขึ้นมาทันที แล้วนักเรียนเวลาเรียนจากใครเขาก็เคารพคนนั้นเป็นครู มีความเคารพกัน ทีนี้เรามีประชาชน มีชาวบ้านหมดทั้งประเทศ คนนี้เก่งเรื่องทำนา คนนี้เก่งเรื่องทำสวน คนนี้เก่งหัตถกรรม คนนี้ทำกับข้าวอร่อย คนนี้ทำขนมอร่อย คนนี้แต่งกวีนิพนธ์เพราะ บางคนไกล่เกลี่ยความขัดแย้งเก่ง ทุกคนกลายเป็นคนมีคุณค่า มีเกียรติไปหมด ถ้าการศึกษาของเราเชื่อมกับพวกเขา

 

จริงๆ แล้วตรงนี้เป็นการพูดแล้วทุกคนเข้าใจน้อยมาก เขาบอกการศึกษาต้องอยู่ในฐานวัฒนธรรม ถ้าคนเราเรียนรู้ในฐานวัฒนธรรม จะเรียนรู้ได้ง่าย เรียนรู้สนุก และเรียนรู้ได้เร็ว ถ้าเข้าใจตรงนี้ทำอะไรได้เยอะมาก การศึกษาปรับมาให้ความสำคัญกับฐานวัฒนธรรม คือ วิถีชีวิตผู้คน และเคารพผู้คนหมด ชาวบ้านหมด ว่าเขามีความรู้ สามารถเรียนรู้จากเขาได้ ใครเก่งเรื่องเลี้ยงปลาเหมือนพ่อสุก ชนะชัย ที่ร้อยเอ็ด ใครจะเก่งเรื่องเกษตรผสมผสานเท่ามหาอยู่ สุนทรชัย ที่สุรินทร์ อย่างนู้นอย่างนี้ มีคนเก่ง แล้วเป็นแหล่งเรียนรู้เต็มไปหมด การเรียนรู้ของเราจะไม่ขาดแคลนครูเหมือนปัจจุบันนี้ เพราะครูเรามีอยู่เต็มประเทศ เราไม่ได้ทิ้งความรู้ในตำรา แต่เราวางความสัมพันธ์ใหม่ เอาความรู้ในตัวคนเป็นฐาน ส่วนความรู้ในตำราเป็นตัวต่อยอด เป็นตัวตกแต่ง ความรู้ทางวัฒนธรรมเป็นฐานตรงนี้

 

เมื่อปี 2544 ผมคุยกับนายกฯ ทักษิณ บอก ท่านนายกฯ ท่านนายกฯ จัดงบประมาณเพิ่มให้ สกว.ซักปีละ 1,000 ล้าน ให้ สกว.ไปสนับสนุนมหาวิทยาลัยต่างๆ ให้ทำ Human mapping คือทำแผนที่ทุกคนในพื้นที่ เริ่มตำบลก่อนก็ได้ ว่าตำบลนี้ใครเก่งอะไรบ้าง ป้า ลุงคนนี้เก่งอะไร ทำ แมปปิ้ง ที่จริงท่านก็หัวไว ท่านบอก ที่อาจารย์พูดมันคล้ายกับจีไอเอส แต่จีไอเอสมันเป็นเรื่องภูมิศาสตร์ แต่นี้เป็นเรื่องคน

 

ถ้าเราทำตรงนี้ประเทศจะเกิดพลังมหาศาล ทดลองแล้ว โรงเรียนรุ่งอรุณ อาจารย์ประภาพัฒน์ พาคนไปทำฮิวแมนแมปปิ้ง ที่เกาะลันตาใหญ่ จ.กระบี่ ไปคุยชาวบ้านทุกคนเลย ถือว่าทุกคนมีความรู้ในตัว ถอดความรู้จากตัวเขามา ปรากฏว่ามันเกิดพลังมหาศาลเกิดขึ้น ชาวบ้านไม่เคยมีใครไปนั่งฟังเขาเลย เขารู้สึกภูมิใจมาก ว่าทำไมคนมีการศึกษามาฟังเขา การฟังเขาเป็นการเคารพเขา แล้วถอดความรู้ออกมา แล้วคนที่ไปทำ ผู้หญิงคนชื่อ มิลา มิลาเดิมแกทำธุรกิจ แกไปทำตรงนี้ที่เกาะลันตาใหญ่ ทำตรงนี้แล้วตัวแกเปลี่ยนแปลงเลยเพราะแกเกิดความเคารพชาวบ้านว่า ลุง ป้า เขามีของดีอยู่ในตัวนะ ตัวแกเปลี่ยนแปลงไปเลย ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นอิสระเกิดขึ้น

 

ที่ผมเสนอนายกฯ ทักษิณตอนนั้น คือหมายถึงว่า ส่งเสริมมหาวิทยาลัยแล้วลงไปในระบบการศึกษา ว่าทุกตำบลเราทำฮิวแมนแมปปิ้งหมด แล้วเราจะมีข้อมูลของคนไทยทั้งประเทศเข้ามาสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ว่าใครทำอะไรเก่งบ้าง อยู่ที่ไหน แล้วคนไทยทุกคนจะภูมิใจว่าสิ่งที่เขารัก สิ่งที่เขาชอบ สิ่งที่เขาถนัด ปรากฏบนระบบข้อมูลของชาติ เขาก็อยากทำดีมากขึ้น มันก็ไปเพิ่มเติมข้อมูลในนั้น และใครอยากเรียนรู้อะไรใครก็ไปกดคอมพิวเตอร์ดูว่าใครทำเรื่องนี้เก่ง อาจจะเจอว่าอยู่ที่สกลนคร อยู่ที่แพร่

 

การเรียนรู้กันจะเกิดขึ้นมหาศาลแล้วจะกระตุ้นเศรษฐกิจ วัฒนธรรมอย่างมหาศาล ถ้าเรารู้ว่าคนใน ต.หัวป่า สมมุติ เขาทำกับข้าวอะไรอร่อย ทำขนมอะไรอร่อยเราก็อยากกิน คนนั้นก็ได้ทำขาย เราก็ได้กินอร่อยเขาก็ได้ตังค์ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าใครทำอะไรเก่งหมดทั้งแผ่นดิน ผู้คนจะได้เสพ ได้ลิ้มรส อาจจะเป็นเรื่องกวีนิพนธ์ เป็นเพลง เป็นอะไรก็ได้ ผมเคยประชุมกับศิลปินพื้นบ้าน เขาบอก พื้นที่ในการสื่อของเขามันปิดหมด เขาแต่งเพลงอะไรได้ แต่งกวีนิพนธ์ได้ เขาอยากให้คนทั้งประเทศลองชิมรสดู แต่พื้นที่มันปิดหมด มันขึ้นกับบริษัทอะไรใหญ่ๆ ที่ไปควบคุมไว้จะให้คนฟังอะไรไม่ให้ฟังอะไร

เพราะฉะนั้นถ้าเรามีองค์การสื่อสารที่เป็นอิสระเราสามารถนำของดีๆ ทั้งแผ่นดินมาสื่อสารกันได้ บ้านเมืองจะพัฒนาไปโดยรวดเร็ว ผมอยากฝากไว้สักนิดหนึ่ง ตรงนี้อาจจะเข้าใจยาก แต่ถ้าเข้าใจมันจะปลดปล่อยคนไทยทั้งหมดไปสู่การมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีศักยภาพ และความสุข ตรงนั้นจะเป็นพื้นฐานของประชาธิปไตย เพราะตรงนี้คือการเคารพศักดิ์ศรีคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

 

6. ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นทั้งประเทศ ขณะนี้เราเน้นพัฒนาแต่ทางวัตถุ เราพูดแต่เรื่องเงิน เงิน เงินอยู่ทุกวัน ทำให้คำถามขณะนี้ ว่าทำอย่างไรจะรวย เป็นคำถามที่ใช้กันทั่วไป เมื่อถามว่าทำอย่างไรจะรวยคนก็ทำได้สารพัด จะขายผู้หญิง ขายเด็ก ทำลายสิ่งแวดล้อม ทำลายวัฒนธรรม กำไรเกินควร คอร์รัปชั่น อะไรทำได้หมดทุกอย่าง เพราะทำอย่างไรจะรวย

 

ถ้าเราเปลี่ยนคำถามใหม่ สังคมไทย ถามว่าความดีคืออะไร ถ้าถามตอบได้ทุกคน เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต ความขยันหมั่นเพียร การประหยัด การเอื้อเฟื้อเผื่อแพร่ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์วัฒนธรรม การพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น ตอบได้ทุกคน

 

แล้วถ้าถามว่า ความดีคืออะไรจะหายจน แต่ถ้าถามว่า ทำอย่างไรจะรวย จะไม่หายจน คนที่ได้เปรียบ คนที่แข็งแรงจะเอาเปรียบมากขึ้น ช่องว่างจะห่างมากขึ้น ไม่มีทางแก้ปัญหาความยากจนได้ ทีนี้พูดได้คนจะมองว่ายาก จริงๆ แล้วถ้านายกรัฐมนตรีสนใจตรงนี้ทำได้เยอะ มีทางทำได้เยอะแยะมากมาย เรื่องยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น เช่น ไปสืบค้นว่าใครทำอะไรดีๆ อยู่บ้านในแผ่นดิน ซึ่งเขามีกันอยู่ จริงๆ แล้ว ชาวบ้านที่ทำดีเยอะกว่าทำชั่วแต่มันไม่ปรากฏเป็นข่าว ถ้าความชั่วเป็นข่าวทุกวัน ใครอยากเป็นข่าว อาจารย์สังศิตอยากเป็นข่าว ไปข่มขืนใครสักคนหนังสือพิมพ์ลงเลย แต่ถ้าทำความดีไม่ลง เขาเรียกว่า ความชั่วลงฟรีความดีต้องเสียเงิน นั่นต้องส่งเสริม ไปแสวงหาความดีมาสื่อกัน

 

ระบบการศึกษาต้องให้เด็กไปหาว่าใครทำความดีอะไรเอามาเรียนรู้ เอามาศึกษาจะได้เข้าตัวเอง เรามีระบบศึกษาใหญ่โต แต่ท่องแต่ในนี้ นักเรียนสามารถไปวิจัยได้ว่าในพื้นที่ที่เขาอยู่ว่ามีใครที่เป็นคนดีมีศีลธรรม เพราะฉะนั้นความดีจะได้เข้าตัว แล้วเราก็ได้ข้อมูลเอามาสื่อสารกัน

 

ที่ไต้หวัน มูลนิธิพุทธ ฉือ จี้ มีสถานีโทรทัศน์ของเขาเองกระจายเสียง 24 ชั่วโมง แล้วเอาคนทำดี ใครทำดีอะไรเอามากระจายเสียงกันทุกวัน ผมคิดว่า แสวงหาว่าใครทำดีอะไรที่ไหนแล้วเอามาสื่อสารกันให้มาก

 

ประการที่ 2 เรามีวัดอยู่ 30,000 กว่าวัด ถ้ารัฐบาลสนใจ ส่งเสริมให้มีการจัดการที่ดี ให้วัดสะอาด ร่มรื่น ใครเข้าไปแล้วจิตใจสงบ มีอาจารย์สอนกรรมฐานได้ทุกวัด แล้วคนเดี๋ยวนี้เครียดมากทั่วประเทศ ถ้าเช้าก่อนไปทำงานหรือว่าเย็นก่อนกลับบ้านแวะไปไหว้พระที่โบสถ์สักหน่อยดูภาพงามๆ เห็นพระพุทธเจ้า นั่งสมาธิ 10 -20 นาที ช่วยลดความเครียดลง อะไรทำได้ทั้งสิ้น โดยส่งเสริมการจัดการที่ดี ประเทศจีน เขาจะจัดการเรื่องวัดดีมาก ทำสะอาด และเก็บเงินแพงด้วย พระไม่แตะเงิน รัฐบาลเอาไปหมด ก็มีเงินไปทำอะไรได้เยอะ

 

3. ในการศึกษา ควรจะมีที่เรียกว่า จิตตะ ปัญญาศึกษา ไปในการศึกษาทุกระดับ ทุกประเภท ควรจะเข้าไปเป็นการศึกษาทั่วไป ที่จะศึกษา และพัฒนาให้เกิดความสุข เกิดจิตใจที่ดีต่างๆ

 

4. ส่งเสริมสปิริต แห่งการเป็นอาสาสมัคร ทำให้เป็นนโยบาย ว่ารัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้นิสิต นักศึกษา ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ สามารถเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคม ในช่วงเวลาหนึ่งของทุกปี ไปช่วยคนจนเลี้ยงลูก ดูแลคนพิการ คนเป็นเอดส์ ผู้คนเราก็มีสารพัด แต่เราไม่ได้มีนโยบายและจัดระบบ ให้เกิดการช่วยเหลือกัน มันไม่ควรจะมีคนเหลืออีกแล้ว ที่เป็นคนแก่ตาบอด อยู่กับหลาน ไม่มีอะไรจะกิน ถ้าเรามีระบบอย่างนี้ เรามีอาหารเหลือกิน ประเทศไทยไม่ควรจะมีคนแก่ คนยากลำบาก ขนาดนั้น เราต้องทำตรงนี้ขึ้น และการเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคม มันพัฒนาจิตใจ มันช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงกัน ได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ

 

7. แก้ไขความขัดแย้ง รุนแรง และปักธงแห่งอหิงสธรรม บนผืนแผ่นดินไทยให้ได้ ขณะนี้เรารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คิดอย่างรุนแรง ทำอย่างรุนแรง และก็เกิดไฟใต้ดับไม่ได้ โดยการไม่เข้าใจ พูดไม่ถูกต้อง ด้วยการขาดความเป็นเอกภาพในยุทธศาสตร์ ที่จะแก้ปัญหา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไป ควรจะเป็นผู้นำในการคิดอย่างสันติ พูดอย่างสันติ ทำอย่างสันติ สร้างความสมานฉันท์ขึ้น ป้องกันความแตกแยก ในสังคมไทย ป้องกันความรุนแรง สามารถมีทักษะในการแก้ปัญหาด้วนสันติวิธีในทุกระดับ ทุกองค์กร ในทุกๆเรื่อง

 

8. ปฏิรูประบบกฎหมาย เพื่อความยุติธรรม ในบริบทใหม่ของสังคม ผมจับเรื่องนี้มา 10 กว่าปี เป็นเรื่องยากมาก เพราะสังคมเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วและสลับซับซ้อน ตัวกฎหมายที่ไม่สอดคล้อง กับสังคมนี้มีเยอะมาก นักกฎหมายเองเป็นคนบอกผม คือ ดร.อักขราทร จุฬารัตน์ ตอนนั้นเป็นเลขาธิการกฤษฎีกา และเป็นกรรมการสภาพัฒน์ด้วยกัน

 

อักขราทรบอกว่า เรื่องกฎหมายเป็นเรื่องดำมืด และยากมาก และนำไปสู่ความรุนแรงด้วย เพราะว่ากฎหมายจะยึดให้อยู่กับที่ สังคมเคลื่อนไป มันเป็นแรงที่แรงทั้งคู่ เหตุปัจจัยที่จะทำให้สังคมเคลื่อนไปก็แรง กฎหมายก็แรงที่จะยึดให้อยู่ เหมือนเดิม ก็จะเกิดการฉีกขาด ผมพยายามท้าทายนักกฎหมาย จนหยุดไปแล้ว ต้องปฏิรูปกฎหมาย แล้วอักขราทร กับบวรศักดิ์ บอกผมว่า ทำไม่ได้อาจารย์ เพราะความอ่อนแอทางวิชาการ เราเรียนนิติศาสตร์เป็นเทคนิเคิล การที่จะเข้าใจเรื่องนี้ ต้องเข้าใจปรัชญา ต้องเข้าใจสังคม เศรษฐกิจทั้งหมด ถึงจะเข้าใจตรงนี้

 

เมื่อเดือนที่แล้วที่ศาล ได้ตั้งสถาบันวิจัยรพีพัฒนศักดิ์ขึ้นมา เป็นสถาบันเล็กๆ อยู่ในระบบราชการ มีคนทำงานพาร์ทไทม์อยู่ 3 คน ผมคิดว่าไม่พอเพียง จำเป็นต้องมีสถาบันวิจัยระบบกฎหมายเลย และจะต้องทำงานให้ได้เนื้อได้หนังเร็วพอสมควรที่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นอยากเห็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่สนใจตรงนี้แล้วหาทางส่งเสริม ปฏิรูประบบใหม่ เพราะตรงนี้เรามี 2 อย่างที่ยากและซับซ้อนเชื่อมกันอยู่ คือสังคมที่ซับซ้อน กับระบบกฎหมายที่ซับซ้อนมาก สองอันนี้มันเข้ามาอยู่ร่วมกัน แล้วเป็นเรื่องยากมากแต่จำเป็น ถ้าไม่ได้นายกรัฐมนตรีที่สนใจเรื่องนี้ ใครอยากทำไปคุ้ยเขี่ยหากินเอง ไม่สำเร็จ

 

9. สร้างดุลยภาพและศักดิ์ศรีของไทยในโลกสากล ขณะนี้โลกทั้งหมดเชื่อมโยงกันใกล้ชิด มีผลกระทบถึงกันทั้งเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเมือง ถ้าเราไม่เก่งจริงจะเสียดุลทางเศรษฐกิจ ทางวัฒนธรรม และทางการเมืองมีความขัดแย้งระหว่างโลกตะวันตกกับโลกอิสลาม ซึ่งเป็นความขัดแย้งใหญ่มาก ถ้าเราไม่เข้าใจพอ ผลีผลามเข้าไป โดยเฉพาะด้วยโลภจริต จะนำบ้านเมืองเข้าไปเสียท่า เข้าไปเกี่ยวข้องกับความรุนแรงระดับโลก ถ้าเราเข้าไปตรงนั้นอาจจะหมดอนาคตเลย เข้าไปแล้วแก้ไขไม่ได้ เป็นสิบๆ ปีก็แก้ไขไม่ได้

 

เพราะฉะนั้นตรงนี้จำเป็น ผมเองจริงๆ ไม่อยากพูดเท่าไหร่ เป็นเรื่องที่คุยกับคุณทักษิณเมื่อ 2544 ผมบอกว่า ท่านนายกฯ ตั้งสถาบันยุทธศาสตร์ชาติ เราต้องรู้หมดทั้งโลก มีอะไรเกิดขึ้นทั้งโลก มันจะกระทบอะไรเราทางบวก ทางลบ รู้หมดทุกชนิด แล้วเอาตรงนี้มาทำนโยบายและยุทธศาสตร์ชาติ ไม่อย่างนั้นเราไปไม่ได้หรอก ขณะที่เรายังไม่รู้เลยว่าต่างชาติมายึดครองอะไรเราไปบ้าง ที่ดิน ธุรกิจ การเงิน อะไรที่ไหนเราไม่รู้หรอก ที่ดินที่มาหลอกเอาชื่อคนไทยแต่จริงเป็นต่างชาตินี่มันอะไรกันบ้าง เขากำลังรุกคืบเข้ามาแล้วเราก็พอรู้ เขาสนใจเรื่องที่ดินมาก เพราะประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพมาก และตรงนั้นมีมูลค่ามากเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ

 

อาจารย์ประยูร จินดาประดิษฐ์ ที่อยู่ทางแบงก์ บอกผมว่า ต่างชาติสนใจเรื่องที่ดินมาก อาจารย์เสน่ห์ก็บอก อาจารย์เสน่ห์สนใจเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพว่ามีค่ามาก ต่างชาติจะรุกเข้ามายึดอันนี้ไป จุดคือว่า เราต้องเก่งพอ รู้หมดทั้งโลกแล้วสามารถกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ของเราให้เราได้ดุลกับโลก แล้วเรามีศักดิ์ศรีในโลก ไม่ไปเป็นลูกโล่เขา เป็นลูกกะจ๊อกเขา เราต้องมีศักดิ์ศรี แล้วต้องเป็นผู้นำสร้างสันติภาพระดับโลก

 

ท่านผู้มีเกียรติ พระเจ้าอยู่หัวฯ รับสั่งนานหลายปีแล้วว่า ประเทศไทยเหมาะกับการที่นานาชาติจะมาคุยกันเรื่องสันติภาพ เพราะคนไทยเก่งเรื่องนี้แต่ไม่ได้รับการสนับสนุน เราไปดูประวัติคนไทยโบราณจะเก่งเรื่องพวกนี้ เรื่องการทูต ผมพยายามจะคุยกับคุณอานันท์ตั้งแต่ก่อนท่านเป็นนายกฯ แต่ไม่สำเร็จ ผมว่าคนไทยน่าจะจับตรงนี้ให้ดี ส่งเสริมเรื่องวิเทโศบาย เรื่องการทูตให้เราสามารถมีบทบาทเด่น เรื่องหนึ่งที่ผมพูดอยู่ใน 8 ข้อ ว่าประเทศไทยถึงเล็กก็จริงแต่ถ้าเราเป็นตัวเชื่อม ญี่ปุ่น จีน อินเดีย เข้ามาด้วยกันได้ ไทยมีพื้นฐานที่สนิทกับเขา เรามีพื้นฐานทางจีน เรารู้จักญี่ปุ่น เรามีพื้นฐานอินเดีย สามารถทำงานร่วมเกิดเป็นขั้วเอเชียขึ้นมา

 

ตรงนี้จะมีความหมายมาก ถ้าขั้วในโลกมีอยู่ขั้วเดียว คือ ขั้วอเมริกัน อันนี้อันตราย เพราะมันเกิดความเครียดสูง และนำไปสู่ความขัดแย้ง โลกควรจะมีหลายขั้ว ขั้วอเมริกาเหนือ ขั้วอเมริกาใต้ ขั้วมุสลิม ขั้วอาฟริกา ขั้วเอเชีย ให้มีหลายขั้วมันจะได้แบ่งเบาแรงดันกันออกไป

 

10. เร่งสร้างสมรรถนะของชาติ ขณะนี้สมรรถนะของชาติต่ำมาก เราเต็มไปด้วยคนที่ทำอะไรไม่เป็น ระบบการศึกษาของเราสร้างคนที่ทำอะไรไม่เป็นขึ้นมาเต็มประเทศหมด เพราะเราเน้นการท่อง ท่องวิชา ผู้คนติดอยู่ในรูปแบบมากกว่าสาระ ติดอยู่ในฐานานุรูปมากกว่าแก่นสาร

 

คนอยากได้ปริญญามากกว่าเรียนรู้ มหาวิทยาลัยหมดกำลังด้วยการสอนคนที่ไม่ได้อยากเรียน ไม่เชื่อไปถามอาจารย์เสกสรร คณะรัฐศาสตร์ เห็นแกเขียนบ่นไว้เยอะ ว่าแกกลุ้มใจมากในการสอนนักเรียนไม่ได้อยากเรียน มหาวิทยาลัยหมดกำลัง แต่การทำวิจัยน้อย วิจัยนโยบายเกือบไม่มีเลย

 

มหาวิทยาลัย เราเสียดุลเทคโนโลยีต่างชาติปีหนึ่งเป็นแสนๆ ล้าน แต่มหาวิทยาลัยเราไม่สามารถมองเรื่องนี้ แล้วทำอย่างไรเราจะสร้างคนของเราให้เก่งเพื่อลดการขาดดุล เราจะต้องสร้างเองได้ ต้องสามารถประเมินได้ว่าเทคโนโลยีอะไรที่เราซื้อเขามามันให้ผลคุ้มค่าไหม สื่อของเรา สื่อสารแทนที่จะใช้ประโยชน์ในการสร้างความเข้มแข็งทางปัญญา ก็เอาไปใช้ในการกระตุ้นการบริโภค กามตัณหา เนื้อหนังมังสา เรื่องไร้สาระต่างๆ

 

เพราะฉะนั้นการจะสร้างสมรรถนะของชาติตรงนี้ นายกรัฐมนตรีคนใหม่คงต้องสนใจจริงๆ จังๆ เพราะว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำหลายอย่างเชื่อมโยงกัน เช่น การปรับทัศนคติ การปฏิรูปการเรียนรู้ การปฏิรูประบบสื่อสาร การปฏิรูประบบอุดมศึกษา ระบบอุดมศึกษาของเราลำบากมาก แล้วขาดคนสนใจตรงนี้จริงๆ

 

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ไปทำเรดติ้งมหาวิทยาลัยอย่างที่ไปทำ เป็นเรื่องที่ไม่ควรไปทำอย่างนั้น แต่ควรมองระบบอุดมศึกษาทั้งหมด ต้องปฏิรูประบบวิจัย เรื่องระบบวิจัยมีความสำคัญ ถ้าตรงนี้เดินดี มันเป็นสมองของประเทศ เมื่อตอนคุณสุวิทย์ คุณกิตติ เป็นรัฐมนตรีทบวง มาคอนแทร็กต์หมอวิจารย์กับหมอสมศักดิ์ ให้ทำวิจัยให้รัฐบาล ผมเองหวังว่า นายกฯ จะเข้าใจและเข้ามาช่วยดูตรงนั้น ท่านนายกฯ สนใจตัวระบบปัญญานี้จริงๆ มันไม่ยากที่จะโมบิไลซ์ทรัพยากรเข้ามาใช้ แต่ถ้าคนที่หวังดีของประเทศต้องไปคุ้ยเขี่ยหากินเองทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นหวังว่านายกฯคนใหม่จะมาสนใจตรงนี้จริงๆ จังๆ หาคนมาช่วยกันทำ เพื่อจะเร่งสร้างสมรรถนะของชาติขึ้นโดยรวดเร็ว ให้เรามีความเข้มแข็ง

 

ท่านผู้มีเกียรติครับ ที่กราบเรียนมาทั้งหมดเป็นเรื่องยาก ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ กลไกตามปกติบอกให้กระทรวงต่างๆ ทำคงทำไม่ได้ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ควรจะต้องหากลไกทำ คือ ต้องเปิด ที่เรียกว่าเปิดที่สังคม พื้นที่ทางปัญญา กลไกอันหนึ่งคือการตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาช่วยทำงาน คณะกรรมการอิสระ รัฐบาลได้กำไรฟรี ๆ

 

สมมุติเรื่องภาคใต้ กรรมการอิสระไปหาประธานที่เป็นที่เคารพที่เขายอมเป็นให้รัฐบาล แล้วให้อิสระเขาว่าเขาจะหาใครมาเป็นกรรมการแล้วแต่เขา รัฐบาลอย่าไปตั้งใส่ให้ หามาแล้วรัฐบาลสนับสนุนว่า ให้ราชการซัปพอร์ต มีงบประมาณเรื่องการสื่อสารได้ รัฐบาลไม่ต้องเสียเงินเดือนให้กรรมการเหล่านี้ คณะกรรมการอิสระ แล้วได้คนที่สามารถเลือกมาจากที่ต่างๆ ทั้งประเทศ ฟรีๆ ซึ่งมันทำไม่ได้โดยกระทรวง กระทรวงอาศัยคนที่เลื่อนๆ ขึ้นมาตามลำดับ นั่นเป็นกลไกอย่างหนึ่ง

 

ทีนี้นายกฯ คนใหม่จะทำไม่ทำมากน้อยแค่ไหน แล้วเป็นใคร เรายังไม่รู้ แต่ที่ผมนำมากราบเรียนเพื่อฝากประเด็นสาธารณะไว้กับสังคม เรื่องประเด็นสาธารณะสำคัญ ถ้าสังคม ซึ่งประกอบด้วยทุกคนทุกส่วน ทั้งประชาชน สื่อมวลชน นักวิชาการ ข้าราชการที่มีจิตสาธารณะ ภาคธุรกิจ ภาคการเมือง สนใจในประเด็นสาธารณะ แล้วพยายามทำความเข้าใจแล้วเอามาขับเคลื่อนถึงจุดที่จะไปปฏิบัติได้ อันนี้บ้านเมืองจะกลายเป็นประชาธิปไตย

 

ประชาธิปไตยจริงๆ แล้วคือ การที่สังคมมาขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะให้เต็มบ้านเต็มเมืองกันไปหมดทุกคนก็มีส่วนร่วม ในการพัฒนานโยบายสาธารณะ

 

ก็ที่กล่าวไปจะดีหรือไม่ดี ก็ไม่สามารถรับรองได้ ผมเองมีความรู้น้อย และภรรยาก็คอยเตือนอยู่เรื่อย ว่าแก่แล้วอย่าไปพูดมาก ปล่อยเป็นเรื่องคนรุ่นใหม่เขา ไปทำธรรมะธัมโมอย่างเดียวพอแล้ว นี่ก็เลยสัญญากับภรรยาไว้ ว่าพูดเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ไม่รู้จะพูดอะไร น่ากลัวต้องเกษียณอายุแล้ว ไปสนใจเรื่องธรรมมะ เรื่องสุขภาพ ก็อยากจะขอฝากเพื่อนคนไทยไว้ ว่าทุกคนทุกฝ่ายต้องช่วยกันทำเรื่องยากๆ แต่ว่าสำคัญ ให้บ้านเมืองของเราหลุดไปจากวิกฤติ และไปสู่การพัฒนาที่แท้จริงได้ เป็นประชาธิปไตยมีสันติสุข เศรษฐกิจดี การเมืองดี และศีลธรรมดี

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท