ธีระ สุธีวรางกูร
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ตอนที่ ๑ : โหมโรง
( ๑ )
ก่อนหน้าคืนวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ สยามประเทศเกิดการรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ เป็นการรัฐประหารซึ่งคนในยุคนั้นมิคาดว่าจะยังมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น แต่แล้วมันก็เกิด
ปีพุทธศักราช ๒๕๔๙ ในยุคที่เทคโนโลยีทางด้านวิทยาศาสตร์ของโลกก้าวหน้าไปแล้วถึงระดับนาโน เมื่อเกิดสถานการณ์ทางการเมืองที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในประเทศ บุคคลกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาแก้ไขสถานการณ์โดยอาศัยวิธีการแบบไทย เป็นวิธีการที่หาได้ยากนักในโลกสมัยปัจจุบัน นั่นคือ การทำรัฐประหารอีกครั้งเพื่อล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แล้วเข้ายึดอำนาจในฐานะผู้ปกครอง แทน
ปฏิกิริยาอันน่าสนใจต่อการนี้จากสังคมไทยก็คือ โพลล์หลายสำนักชี้ว่าประชาชนเห็นด้วยกับการรัฐประหารครั้งนี้กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ คนจำนวนไม่น้อยต่างนำอาหารและดอกไม้ไปมอบให้กับบรรดาเหล่าทหารหาญ พร้อมกับการถ่ายรูปและแสดงความรื่นเริงกับรถถังเสมือนหนึ่งว่ามันเป็นวันครอบครัว
ผู้รับผิดชอบกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยการแนะนำให้นักท่องเที่ยวจากแดนไกลไปทัวร์ชมรถถังซึ่งตั้งมั่นอยู่ตามมุมต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร ผู้มาท่องเที่ยวจากหลายประเทศถือโอกาสนี้แสดงความภูมิใจต่อญาติมิตรเพื่อนฝูงด้วยรูปภาพที่ถ่ายคู่กับรถถังและบรรดาเหล่าทหารในปรากฏการณ์พิเศษครั้งนี้
เป็นปรากฎการณ์ซึ่งมิอาจพบเห็นได้ในยุคปัจจุบันนี้ ณ ประเทศของพวกเขา
สำหรับคณะรัฐประหาร เพื่อมิให้เสียภาพลักษณ์เกินไปจากการกระทำดังกล่าว คณะบุคคลกลุ่มนี้จึงให้ชื่อของตนเองกับสังคมไทยและสังคมโลกว่า" คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข " และหากว่าชื่อดังกล่าวยังยาวเกินไปจนยากแก่การจดจำ ไม่เป็นไร เพราะยังมีชื่อย่อที่ได้รับอนุญาตให้เรียกจากคณะบุคคลกลุ่มนี้อีกชื่อหนึ่งว่า คปค.
การใช้ชื่อดังนี้ของคณะรัฐประหาร นัยว่าต้องการสื่อให้เกิดความเข้าใจกับคนทั่วไปว่าเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเพื่อปฏิรูปบ้านเมืองให้ดียิ่งขึ้น สำหรับนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ก็ดูเหมือนจะมีความเข้าใจเป็นอย่างดีต่อความมุ่งหมายของ คปค. ตามที่ได้กล่าว
แต่มิว่าจะอย่างไร ชื่อหรือยี่ห้อคงไม่สำคัญมากไปกว่าเนื้อหา เมื่อการรัฐประหารก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย โดยเฉพาะกับสถานการณ์ทางกฎหมายของประเทศ น่าจะลองดูว่าบรรดานักกฎหมายได้ทำอะไรกันบ้าง
ภาพจาก AFP
( ๒ )
" เมื่อเสียงปืนดังขึ้น กฎหมายก็เงียบลง "
ทุกครั้งที่มีการรัฐประหาร ไม่เว้นแม้ในครั้งนี้ เราอาจเห็นความเคลื่อนไหวของนักกฎหมายในหลายลักษณะ บางกลุ่มวางเฉย บางกลุ่มเคลื่อนไหวคัดค้าน บางกลุ่มยอมรับ เรื่องนี้ถือเป็น " ลางเนื้อชอบลางยา " ตามรสนิยมและเหตุผลของบรรดานักกฎหมายแต่ละกลุ่ม
ด้วยเหตุผลที่ไม่จำเป็นต้องอธิบาย ผู้เขียนจัดอยู่ในกลุ่มที่คัดค้านการรัฐประหาร เป็นการคัดค้านอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าคณะรัฐประหารจะเป็นใคร มีเหตุผลต่อการกระทำอย่างไร และกระทำต่อรัฐบาลใด
ภาษิตโรมันดังที่ยกมาไว้ข้างต้น อาจเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งซึ่งควรแก่การยึดถือของกลุ่มนักกฎหมายที่วางเฉยหรือยอมรับต่อการรัฐประหาร หากทว่าสำหรับกลุ่มนักกฎหมายที่ไม่ยอมรับกับการนี้ ภาษิตโรมันบทนี้ย่อมมีข้อจำกัดอันมิอาจใช้ได้กับทุกคน
( ๓ )
นับจากวันแรกที่มีการรัฐประหาร ประกาศของ คปค. หลายสิบฉบับ คำสั่งของหัวหน้า คปค. อีกจำนวนหนึ่ง ถูกประกาศใช้ในต่างกรรมต่างวาระ ด้วยเนื้อหาที่แตกต่างออกไป
บรรดาประกาศและคำสั่งเหล่านี้ มีผลกระทบในทางกฎหมายและสถาบันทางกฎหมายอย่างสุดคณานับ
เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับเดิม โดยอาศัยเวลาไม่กี่นาที จากบุคคลเพียงไม่กี่คน ในขณะที่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวเพื่อให้มีผลบังคับใช้ ต้องใช้เวลาไปกับกระบวนการยกร่างเกือบทั้งปี ทั้งยังต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาและประมุขของรัฐ
นอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น ขณะที่การก่อตั้งหรือการยกเลิกสถาบันทางกฎหมายบางสถาบัน จำต้องผ่านกระบวนการนิติบัญญัติของรัฐสภา ทั้งยังต้องมีการชี้แจงจากผู้เกี่ยวข้องอย่างพิสดารยืดยาวว่ามีเหตุผลและความจำเป็นอย่างไร จึงจำต้องก่อตั้งหรือยกเลิกสถาบันทางกฎหมายนั้นๆ หากทว่าโดยอาศัยประกาศหรือคำสั่งของ คปค. การกระทำดังนี้อาจใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง และโดยบุคคลไม่กี่คน ทุกอย่างก็เรียบร้อย
ที่สำคัญไม่น้อยกว่านั้น หากจะกล่าวถึงสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ในขณะการยกเลิกเพิกถอนหรือการจำกัดสิ่งเหล่านี้ในสถานการณ์ปกติยังต้องมีเหตุผลในทางกฎหมาย ทั้งยังต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบจากหน่วยงานทางปกครองและหรือกระบวนการยุติธรรมในทางศาล แต่เมื่อเป็นยุคของการรัฐประหารแล้ว ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลอย่างไร สมเหตุสมผลหรือไม่ หากสิทธิเสรีภาพของบุคคลถูกคณะรัฐประหารจำกัดมิให้ใช้ ย่อมหมายความชัดว่าห้ามใช้ และห้ามวิจารณ์
นั่นเป็นตัวอย่างเล็กน้อย เป็นตัวอย่างสถานการณ์ทางกฎหมายที่นักศึกษากฎหมายควรทราบและบุคคลทั่วไปควรรู้ มิว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร
( ๔ )
วันนี้ หลายคนอาจเห็นว่าทุกอย่างเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
เป็นสภาวะที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้ถูกประกาศใช้ และเป็นสภาวะที่เราได้มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศแล้ว
แน่นอน ในทางการเมืองก็เรื่องหนึ่ง ในทางนโยบายต่างๆของรัฐบาลชุดใหม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง
หากทว่าสำหรับสถานการณ์ทางนิติศาสตร์ของประเทศ เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาแห่งประกาศของ คปค. ซึ่งยังถูกรับรองให้มีผลบังคับใช้ได้ต่อไป ประกอบกับเนื้อหาของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว ที่ซ่อนความนัยหลายเรื่อง ในฐานะของผู้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมาย ผู้เขียนคงยังมิอาจวางใจได้กับสถานการณ์ด้านนี้
เมื่อ คปค. หรือรัฐบาลซึ่งมีที่มาจาก คปค. แสดงเจตน์จำนงแน่ชัดว่าการรัฐประหารในครั้งนี้ เป็นไปก็เพื่อปฏิรูประบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แม้วันนี้สยามประเทศจะยังอยู่ในระหว่างการประกาศใช้กฎอัยการศึก
แต่นับจากนี้ การแสดงความเห็นสำหรับการวิเคราะห์สถานการณ์ทางกฎหมายของประเทศ จะถูกนำมาใช้ให้เข้มข้นมากขึ้น เพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจของหน่วยงานทั้งหลายซึ่งมีที่มาจาก คปค.ในสถานการณ์อันไม่ปกติ
........................................................................................