เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ที่ผ่านมา เวทีสมัชชาสังคมไทย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เวทีย่อยถกประเด็นการจัดการพื้นที่ท่องเที่ยวโดยองค์กรบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน(อพท.) ที่ห้อง 3017 เวลา 15.00 น.
การแลกเปลี่ยนความเห็นดำเนินไปกว่า 3 ชั่วโมง ตัวแทนประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจาก อพท. ทั่วประเทศทั้งหมดเห็นร่วมกันว่า อพท. สร้างปัญหาต่อประชาชนอย่างมากและเป็นการจัดการพื้นที่โดยเอื้อให้กับนายทุนขนาดใหญ่ ขณะที่ประชาชนเจ้าของพื้นที่ไม่สามารถพัฒนาศักยภาพในการท่องเที่ยวตามแนวทาง อพท. ได้ จึงเห็นสมควรให้มีการยกเลิกกฤษฎีกา อพท. และจะทำหนังสือข้อเสนอแนวทางการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโดยท้องถิ่นเองให้กับรัฐบาลพล.อ.
ทั้งนี้ แนวทาง อพท.เป็นแนวทางที่สุดขั้วทางทุนนิยม ดังนั้นหากรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ ยังยืนยันในเจตนารมณ์การพัฒนาประเทศด้วยความพอเพียง ก็ควรทำตามข้อเรียกร้องของผู้คัดค้าน อพท. นอกจากนี้ กลุ่มผู้คัดค้าน อพท.ได้กำหนดวันยื่นหนังสือในวันที่ 7 พ.ย. ซึ่งเป็นวันประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล
นาย
จากนั้นจึงได้กล่าวถึงพื้นที่ที่ อพท.เข้าไปมีบทบาทว่า ล่าสุดมี 13 แห่ง พื้นที่แรกคือ เกาะช้างและพื้นที่เชื่อมโยง หลังการประกาศให้เป็นพื้นที่ อพท. จะเห็นได้ว่าแนวทางพัฒนาคือทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับสูงเพื่อนักท่องเที่ยวระดับไฮคลาส เช่น การทำสนามกอล์ฟ หรือที่เกาะไม้ชี้จะมีการทำสนามบินให้เครื่องบินเล็กลงจอด สิ่งที่ตามมาคือการรุกเข้ามาของกลุ่มทุนต่างๆ โดยเฉพาะทุนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเช่น การเข้ามาซื้อที่ดินเกาะกูดของนายเสนาะ เทียนทอง ก่อนการประกาศเป็นพื้นที่ อพท. ต่อมาขายต่อให้กลุ่มทุนใหญ่เพื่อสร้างโรงแรมในพื้นที่กว่า
เกาะไม้ชี้ เป็นเกาะส่วนตัวของนาย
นายสุพจน์ ยังกล่าวถึงอีกพื้นที่ อพท. ที่มีปัญหาการเผชิญหน้ากับชาวบ้าน คือเกาะพีพีและพื้นที่เชื่อมโยง โดยใช้ช่วงจังหวะหลังเกิดเหตุการณ์สึนามิเข้าจัดการพื้นที่ซึ่งแสดงให้เห็นวิธีคิดของอพท.ที่ชัดเจน ได้แก่ การประกาศย้ายชาวบ้านให้ไปอาศัยบนภูเขาโดยอ้างว่าเป็นพื้นที่เสี่ยง แต่ขณะเดียวกันก็มีการเตรียมการพัฒนาที่สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มาชมวิวในพื้นที่ราบแทน และมีการสร้างโรงแรมระดับ 6 ดาว และรีสอร์ท ไว้รองรับในพื้นที่ใกล้เคียง โดยพื้นที่ทางการท่องเที่ยวเหล่านี้ได้ทำให้เกิดการไล่ที่ชาวบ้านดั้งเดิม โดยอ้างว่าทำรายได้ให้ประเทศน้อย นักท่องเที่ยวที่มาไม่ได้จ่ายมากระดับหรูก็มักสร้างความเสียหาย
สิ่งต่อเนื่องที่ตามมาคือชาวบ้านไม่มีโอกาสในการทำกิน เช่น เรือเล็กรับจ้างไปเกาะต่างๆ การรับจ้างนวดตามชายหาด ร้านค้ารายย่อย การพัฒนาของอพท.จึงหมายถึง การเตรียมไล่คนกว่า 6,000 คนออกเพื่อหากลุ่มทุนใหญ่มาหากินแทน ชาวบ้านจึงคัดค้านทำให้รัฐบาลมีมติไม่ให้ อพท.มายุ่งเกี่ยวในการจัดการพื้นที่ แต่ในทางปฏิบัติจริง ขณะนี้ยังไม่น่าไว้วางใจนัก ที่ผ่านมามีนักการเมืองเข้ามาดูพื้นที่และขอซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยผู้ใหญ่ในอพท. ท่านหนึ่งสารภาพในวงเหล้าว่าเป็นคนของ นาย
ส่วนที่บ้านน้ำเค็มซึ่งเป็นพื้นที่ต่อเนื่องตามโครงการ อพท. ก็มีแผนจะใช้เป็นจุดให้นักท่องเที่ยวมาชมธรรมชาติและวิถีประมงจึงมีแผนอพยพคนออกร้อยละ 30 นั่นหมายความว่า จะมี 1,500 ครอบครัว จาก 4,000 ครอบครัวต้องถูกอพยพออกไป
นาง
นางดุจหทัยกล่าวอีกว่า เมื่อมีการหารือเรื่องปัญหาที่ดินกับ อพท .ก็ได้รับการปฏิเสธทั้งที่กำลังจะเป็นผู้มาใช้ที่ดินของชาวบ้าน และบอกให้ชาวบ้านทำตามแนวทาง อพท.ด้วยการตั้งบริษัทและหากลุ่มทุนมาร่วมลงทุน ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวบ้านทำไม่ได้
นอกจากนี้ ทาง อพท. ก็ไม่เคยถามชาวบ้านเลยว่าต้องการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบใด แต่กำลังริดรอนอำนาจของท้องถิ่นแล้วดำเนินการตามความต้องการ
"พื้นฐานการท่องเที่ยวเดิมของเกาะเสม็ดเริ่มต้นมาจากนักศึกษาและคนชั้นกลางจากกรุงเทพ ถ้าแปลงสภาพไปตาม อพท.จะไปเที่ยวกันที่ไหน เป็นการจำกัดสิทธิทางทรัพยากรเพราะทุนการท่องเที่ยวสู้ต่างชาติไม่ได้ นอกจากนี้ผลประโยชน์ก็ไม่ได้อยู่กับชุมชนเพราะเป็นเรื่องของสัมปทานให้นายทุน"
นาย
นาย
จากนั้น จึงมีการนำเสนอผลการวิจัยโครงการศึกษาผลกระทบจากโครงการดังกล่าวด้วยว่า ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของชาวบ้าน เพราะก่อนเริ่มโครงการบอกว่าชาวบ้านจะมีงานทำ เช่น รับจ้างเป็นแรงงานสร้างไนท์ซาฟารี แต่เมื่อสร้างจริงกลับใช้คนจากทหารช่างราชบุรี หรือในงานที่ซับซ้อนก็ใช้บริษัทเอกชนทำ หรือหลังจากเปิดดำเนินการแล้วมีการจ้างงานชาวบ้านเพียง 2 คน ซึ่งเป็นลูกของผู้นำชาวบ้านทั้งสิ้น คิดเป็นอัตราแล้วไม่ถึงร้อยละ 1 ของชาวบ้านรอบๆ ไนท์ซาฟารี สร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้านมาก
นอกจากนี้ยังพบอีกว่าชาวบ้านสูญเสียพื้นที่ในการพึ่งพิงป่า ทำให้การเก็บของป่าทำได้ลดลงทั้งที่ รายได้ทางนี้มีสูงถึง 10,000 บาทต่อปี และมีชาวบ้านถึงร้อยละ 30 รอบๆ ไนท์ซาฟารีมีอาชีพจากการพึ่งป่าอย่างเดียวจึงทำให้หมดอาชีพ
อีกเรื่องที่กระทบกับชุมชนอย่างมากคือสร้างความหวาดวิตกให้กับชุมชนดั้งเดิม เพราะในการสร้างไนท์ซาฟารีมีการอพยพเข้ามาของแรงงานต่างชาติซึ่งสร้างเพิงพักกระจายไปในชุมชน ชาวบ้านเกรงว่าจะเกิดอาชญากรรม ขณะนี้มีการลักขโมยเกิดขึ้นแล้ว 1 ครั้ง โดยในรอบชีวิตของคนชราในชุมชนบริเวณนั้นไม่เคยเกิดขึ้นแม้จะเปิดบ้านทิ้งไว้ก็ตาม นอกจากนี้ชาวบ้านบางส่วนยังสูญเสียที่ทำกินดั้งเดิมจากบรรพบุรุษที่ขอเอกสารสิทธิ์กันมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่จนตอนนี้ยังไม่ได้และต้องสูญเสียไป ทำให้รู้สึกเหมือนไม่สามารถรักษามรดกบรรพบุรุษได้เพราะการพัฒนาที่ดินเพื่อการค้า
ข้อมูลประกอบ
ย้อนรอย "อพท." (อีกครั้ง) เตรียมความพร้อมก่อนฟ้องศาลปกครองยุบ