การจัดงานเสวนา "สิทธิในการทำแท้งในไทย" ซึ่งสตรีไทยถูกละเมิดสิทธิในร่างกายตนเองด้วยกฎหมายที่ห้ามทำแท้ง โดยการอ้างหลักศาสนาพุทธในการห้ามทำแท้ง เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะในเมื่อประเทศไทย ยังมีกองทัพและโทษประหารชีวิตอยู่

แต่สถานการณ์ปัจจุบันนี้ ที่นำไปสู่ปัญหาการทำแท้งผิดกฎหมาย ทำให้สตรีต้องเจ็บป่วยและยากลำบากเป็นจำนวนมาก ในวันนี้ผู้ร่วมเสวนา ซี่งประกอบด้วย นักสหภาพแรงงาน นักสังคมนิยม และนักสิทธิสตรี ได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างกระแสเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในร่างกายของตนเอง

นัฐยา บุญภักดี  ได้เล่าประสบการณ์ จากการลงพื้นที่ให้ความรู้ และแลกเปลี่ยนประเด็นการมีสิทธิทำแท้ง เนื่องจากความไม่พร้อมกับประสบการณ์ของคนทำแท้ง  

จิตรา คชเดช กล่าวว่า เราควรทบทวนเป้าหมายว่า ทำไมพวกผู้หญิงจึงต้องตาย และบาดเจ็บจากการทำแท้งผิดวิธีโดยหมอเถื่อนตามมา ทำให้มีลูกพิการจากการทำแท้ง

ดังนั้นเราต้องการเรียกร้องสิทธิสำหรับการรักษาพยาบาล มีจุดยืนบนสิทธิพื้นฐานว่า การทำแท้งที่ถูกวิธีนั้น เจ็บน้อยกว่าทำฟัน

ส่วนคำถามที่ว่าการทำแท้งถูกกฎหมาย ทำให้เกิดเซ็กส์เสรีหรือไม่? ในหลายประเทศ เมื่อมีการให้ทำแท้งอย่างถูกกฎหมายแล้ว ในทางกลับกัน ไม่ได้ทำให้เกิดเซ็กส์เสรี 

เมื่อเราเรียกร้องสิทธิเสรีในการทำแท้ง เพราะไม่อยากให้เด็กที่เกิดมามีปัญหาตามมาจากการทำแท้งผิดวิธี เป็นเหตุให้เด็กพิการ ดังนั้น เป้าหมายชัดเจน แต่เมื่อเราจะพูดกับส่วนรวม กับแนวร่วม มันต้องมีกระบวนการ

เราจะใช้กลยุทธ์ คือเราต้องเตรียมตัวให้พร้อม โดยเราต้องรู้ว่า การรวบรวมข้อมูลต่างๆ จากการทำแท้งเสรี มีมุมมองได้ต่างกัน ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ในระดับผู้นำ การทำแท้งเสรีนั้น เราต้องทำให้ชัดว่าที่เราเรียกร้องไม่เกี่ยวข้องกับเซ็กส์เสรี คนจะทำแท้งต้องรู้วิธีคุมกำเนิด เพราะการทำหมันก็คุมกำเนิดได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราบอกเงื่อนไขที่จะทำงาน และก็มีกฎหมายที่ห้ามทำแท้ง ฉะนั้นการแก้ไขกฏหมายเป็นทางออก ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เลือกที่จะไปทำแท้งมีไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ผู้หญิงที่มองว่า ทำไมต้องคัดค้านการทำแท้ง ก็เป็นผู้หญิงชั้นสูง

การทำแท้งจะต้องทำอย่างถูกต้อง  คือเมื่อผู้หญิงชั้นสูงออกมาพูดว่า การใช้ถุงยางอนามัยเป็นวิธีการคุมกำเนิด มีปัญหาสำคัญตรงประเด็นที่ว่า พวกเขามีเงิน จึงหาหมอจ้างมาทำแท้งได้โดยถูกหลักสุขอนามัยอย่างดี แต่กรณีที่คนในชั้นแรงงานเกิดตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ได้รับความอบอุ่น และปัญหาที่พวกเขาได้ถูกทำให้เป็นแรงงานเด็กตามมา ด้วยว่าถูกกดขี่ได้ง่ายกว่าแรงงานผู้ใหญ่ ดังนั้นปัญหาเลี้ยงเด็กของแรงงาน ด้านสุขอนามัย และประกันสังคม ยังไม่พร้อมตรงนี้

ด้านบุญผิน สุนทรารักษ์ กล่าวว่า ประเด็นความไม่พร้อมของครอบครัว จึงทำให้เกิดการทำแท้ง แต่ถ้าครอบครัวที่ไม่ทำแท้ง ก็เกิดปัญหาลูกมาก และเศรษฐกิจการเงินในครอบครัวไม่พร้อม ดังนั้นประเด็นการทำแท้ง เป็นเรื่องเศรษฐกิจ จะมีการกดขี่ของชนชั้น เมื่อมีลูกไม่พร้อมของชนชั้นแรงงาน ทำให้เขานำเด็ก ไปใช้เป็นแรงงาน เป็นแรงงานกับครอบครัว ต่อมาก็ถูกนำเข้าโรงงาน และเป็นปัญหาแรงงานเด็ก ทำให้แรงงานคนเป็นสินค้า ก็เกี่ยวข้องผลผลิตส่วนเกินทางเศรษฐกิจตามมา ฉะนั้น มันจะต้องมีการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อการยอมรับอย่างเป็นทางการในการทำแท้ง ดังนั้นเป้าหมายการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม จึงไม่ควรดูถูกเด็กรุ่นใหม่ และควรสนับสนุนให้มีการนำเสนอประเด็นนี้ต่อไป เพื่อสังคมใหม่

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดของการจัดเสวนาครั้งนี้ มีการการแลกเปลี่ยนกันระหว่างผู้เข้าร่วมเสวนา เพื่อให้ประเด็นสิทธิการทำแท้งในไทยเป็นที่ยอมรับ เพราะในวัฒนธรรมใหม่ เราไม่ควรมองว่า คนทำแท้ง เป็นผู้หญิงสำส่อน