Skip to main content
sharethis

วันที่ 31  ต.ค. เวลา 10.00 ผู้พิพากษานายภักชัยฤทธิ์  นวลมีชื่อ ขึ้นนั่งบัลลังก์ 313 ศาลจังหวัดสงขลาเป็นผู้อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่  2323/2547 โดยมีผู้ต้องหา 5 นาย คือ นายวิทวัส  มะเด,นายอาเร็ม  อนันทบริพงศ์,นายด้นเล๊าะ  หมีนโส๊ะ, นายหวันหมุด หวันสะเม๊าะ, นายอัปดุลรามาน บูบาสอ ในข้อหาคือ  "มั่วสุมตั้งแต่ 10คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยผู้ร่วมกระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ ไม่เลิกมั่วสุมตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด  โดยมีอาวุธและร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป หน่วงเหนี่ยว หรือกักขังผู้อื่นให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย  ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีหรือใช้อาวุธ หรือร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือไม่มีเหตุอันสมควร"


 


โดยได้มีคำพิพากษาว่าจำเลยทั้ง 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 วรรค 2 140 วรรคแรก 295 309 วรรค2 310 วรรคแรก 371 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้ง 5 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นโดยมีอาวุธ และร่วมกระทำผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป กับฐานความผิดร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายเป็นกรรมเดียวกัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นโดยมีอาวุธและร่วมกระทำผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก คนละ 1 ปี 6 เดือน และปรับคนละ 8,000 บาท กระทงหนึ่ง


                              


ฐานร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีหรือใช้อาวุธตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป กับฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ เป็นกรรมเดียวให้ลงโทษฐานร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีหรือใช้อาวุธตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปอันเป็นบทหนักจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน และปรับคนละ 8,000 บาท กระทงหนึ่ง


 


ฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยเปิดเผย  และโดยไม่มีเหตุอันสมควร ปรับคนละ 100 บาท อีกกระทงหนึ่ง รวม 3 กระทง จำคุกคนละ 3 ปี และปรับ คนละ 16,100 บาท


 


พิเคราะห์พฤติกรรมการกระทำผิดของจำเลยทั้ง 5  แล้วเห็นว่าจำเลยทั้ง 5 เป็นกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่ ที่มีการเคลื่อนไหวคัดค้านการก่อสร้างโครงการท่อส่งก๊าซ และโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ไทย-มาเลเซีย ซึ่งก่อผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่ และการที่จำเลยทั้ง 5 ได้กระทำผิดลงไปสืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวคัดค้านดังกล่าว แต่ได้กระทำการแสดงออกอันเป็นการล่วงล้ำเกินขอบเขตแห่งกฎหมายไปบ้าง  โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการกระทำดังกล่าวเป็นส่วนตน ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสจำเลย กลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไป โทษจำคุกจึงรอการลงโทษได้มีกำหนด 2 ปี


 


โดยกำหนดเงื่อนไขคุมประพฤติให้จำเลยทั้ง 5 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือน ต่อครั้ง ภายในกำหนด 1 ปี และให้ทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรกำหนด 24 ชั่วโมง หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา 29,30 ข้อหาอื่นให้ยก


 


ทั้งนี้ มีกลุ่มชาวบ้านผู้คัดค้านโครงการท่อก๊าซฯ กว่า 100 คนเข้าร่วมฟังคำพิพากษาด้วย เมื่อผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษาจบ ชาวบ้านทั้งหมดต่างแสดงความผิดหวัง โดยเจ้าหน้าที่ศาลได้นำตัวจำเลยทั้งหมดไปฝากขังที่ใต้ถุนศาลจังหวัดสงขลา เพื่อรอการประกันตัวและเสียค่าปรับ โดยจำเลยทั้งหมดได้รับการประกันตัวออกไปเมื่อเวลา 16.00 น.กลุ่มชาวบ้านทั้งหมดจึงได้เดินทางกลับ


 


นางสุไรด๊ะห์ โต๊ะหลี ตัวแทนกลุ่มคัดค้านฯ กล่าวว่า "เรื่องนี้คงต้องอุทธรณ์ต่อ เราไม่มีทางเลือก เด็กพวกนี้เขาทำเพื่อบ้านเกิด เมื่อความชั่วร้ายเข้ามาเขาก็อยากจะต่อสู้เพื่อปกป้อง วันนี้พวกเขาก็มีกำลังใจดี แม้จะต้องถูกขังอยู่ช่วงระหว่างรอการประกันตัว พวกเขาก็ยังยิ้มได้ และบอกว่าไม่เป็นไรเราจะสู้ต่อ" นางสุไรด๊ะห์กล่าว


 


คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 46 ได้มีเจ้าหน้าที่บริษัททรานส์ไทย-มาเลเซีย(ทีทีเอ็ม)พร้อมด้วยตำรวจ จำนวน 6 คน เข้าไปสำรวจป่าพรุบริเวณด้านหลังมัสยิดลานหอยเสียบ และในขณะกลับออกมาได้มีชาวบ้านกว่า 10 คนเข้าไปสอบถามถึงสาเหตุที่เข้ามาสำรวจพื้นที่ดังกล่าวเพราะพื้นที่นี้ห่างไกลกับจุดที่จะสร้างโครงการโรงแยกก๊าซฯมาก ระหว่างนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหน่วยเฉพาะกิจที่ตั้งห่างออกไปประมาณ 800 เมตร เข้ามาสมทบและมีการจับกุมเยาวชนจำนวน 6 คน มีเยาวชนบาดเจ็บโดยกะโหลกศีรษะร้าว และสลบไปเป็นเวลา 2 วัน จำนวน 1 คน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา ศาลเยาวชนได้มีคำพิพากษาให้จำคุก 2 ปี 6 เดือน ปรับ 16,100 บาท โดยให้รอลงอาญา 2 ปี


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net