โดย ภาพันธ์ รักษ์ศรีทอง
"ไคโยตี้" แม้จะมีบทบาทและสถานะที่ล่อแหลมกับศีลธรรมอยู่บ้าง แต่ในอีกสถานะ หมายถึงรายได้ที่พอจะหาได้เป็นกอบเป็นกำผ่านสิทธิเสรีภาพบนเรือนร่าง ภายใต้กระบวนการตัดสินใจด้วยตนเอง ทั้งนี้ รายได้ที่เป็นกอบเป็นกำนั้น หมายถึงความพยายามเอาตัวรอดในสังคมที่รัฐไม่เคยเอาความสุขหรือสวัสดิภาพของุประชาชนเป็นที่ตั้ง
คำถามทาง "ศีลธรรม" ควรจะพุ่งตรงไปที่รัฐบาลทุกยุคสมัยที่ล้วนแต่ปกป้องกลุ่มทุนที่สนับสนุนรัฐ แต่ในทางกลับกัน กับเป็นการเอื้อการทำลายรากฐานชุมชนที่ลุกลามไปทั้งประเทศ โดยเฉพาะความมั่นคงในฐานทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นดิน น้ำ ทะเล ป่า กลุ่มทุนเหล่านี้ล้วนเข้าไปใช้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมภายใต้การยินยอมของรัฐทุกยุคสมัย
อาทิ การสร้าง "เขื่อน" หลายแห่งล้วนมีผลกระทบกับปากท้องชาวบ้านที่เคยพึ่งพิงป่าอย่างเป็นระบบนิเวศและมีความยั่งยืน แต่ในขณะเดียวกัน "เขื่อน" ก็หมายถึงแหล่งพลังงานไฟฟ้าอันมหาศาลที่ให้กลุ่มทุนอุตสาหกรรมใช้ในราคาแสนถูก แต่ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่เขื่อนต้องสูญเสียความมั่นคงทางอาหารไปทั้งชีวิต ภายใต้วาทกรรมอมตะของรัฐคือ "เพื่อการพัฒนาประเทศ" นี่ยังไม่นับรวมถึงที่อยู่อาศัยอันเป็นปัจจัยเบื้องต้นแห่งการมีชีวิต
ไม่ต่างกับการให้สัมปทานทำเหมืองแร่ การสร้างรีสอร์ท โรงแรมขนาดใหญ่ หรืออะไรอื่นๆ อีกมากมาย กลุ่มทุนล้วนได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากการใช้ทรัพยากรสาธารณะอย่างสิ้นเปลือง แต่ทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นสิ่งเหล่านี้สมควรตอบแทนการเสียสละของประชาชนเจ้าของพื้นที่ด้วยค่าใช้จ่ายที่สูง เพื่อเป็นผลประโยชน์คืนแก่ประชาชนทั้งมวลซึ่งเป็นผู้เสียประโยชน์ โดยสามารถทำด้วยระบบภาษีที่เก็บสูงขึ้นตามรายได้ที่มาจากการใช้ทรัพยากรการส่วนรวมมากกว่าบุคคลทั่วไปอื่นๆ เพราะภาษีที่เก็บสูงนี้เป็นเงินที่บวกมากับภาระรับผิดชอบทางสังคม นั่นจึงหมายถึง "ศีลธรรม" ที่ต้องเรียกร้องอย่างแท้จริง
แต่รัฐกลับที่ไม่กล้าพอที่จะเก็บภาษีแพงๆ จากกลุ่มทุนเหล่านี้ เพราะเท่ากับการทำลายฐานทางธุรกิจที่พยุงอำนาจของตัวเอง ทั้งที่กลุ่มทุนเหล่านี้มีโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรของแผ่นดินมากกว่าและทำลายทรัพยากรมากกว่า จนสังคมต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเยียวยาที่มักมาในรูปแบบภัยธรรมชาติหลายต่อหลายครั้ง อย่างในปีก่อนก็มีปัญหาน้ำแล้ง ในปีนี้ก็มีปัญหาน้ำท่วม ส่วนมลพิษทางอากาศก็แทบจะกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว เป็นต้น
ขณะที่กลุ่มทุนใช้และทำลายทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองโดยขาด "ศีลธรรม" ที่ต้องรับผิดชอบทางสังคมนี้ โอกาสทางสังคมที่ให้กับประชาชนทั่วไปกลับไม่เคยเกิดขึ้นจริง โอกาสบอกว่าจะมาในรูปแบบการศึกษาก็ไม่ได้ให้เรียนฟรีอย่างแท้จริง การรักษายามเจ็บป่วยเมื่อเป็นโรคที่หนักๆ ถึงขั้นจะเป็นจะตายก็ไม่ได้ฟรี หรือที่ฟรีก็เพียงยาพาราเซตามอล ในโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรคในชนบทบางแห่ง
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริง...
สิ่งเหล่านี้ล้วนหมายถึงต้นทุนทางชีวิตมหาศาลที่ประชาชนต้องแบกรับหรือต้องใช้ในการขยับสถานะทางสังคม ชาวบ้านบางคนไม่ได้ "จน เครียด" แล้วกินเหล้า แต่ทำงานแทบตาย ความจนก็ไม่หายไปได้ ด้วยโอกาสที่ไม่เอื้ออำนวยภายใต้รัฐแบบนี้
ดังนั้น การได้มาซึ่งรายได้เป็นกอบเป็นกำแบบอาชีพ "ไคโยตี้" จึงเป็นปัญหาทาง "ศีลธรรม" ที่ต้องตั้งคำถามกับรัฐบาลทุกรัฐบาลไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือไม่ก็ตามว่า สามารถทำให้ประชาชนในสังคมมีโอกาสและทางเลือกเพียงพอแล้วหรือไม่
นอกจากนี้ "ไคโยตี้" ยังเป็นเสรีภาพทางเรือนร่างที่สามารถเติมเต็มความสุขระหว่างกันและกันได้ เป็นการลดภาวะความเครียดทางจิตอย่างหนึ่งของสังคม ดังนั้นในช่วงวัย บทบาทและในสถานที่ที่เหมาะสมควรจะสามารถทำได้ แต่ควรจะสนับสนุนในเรื่องความรู้ด้านการป้องกันในสิ่งที่อาจตามมาโดยเฉพาะ SEX ที่เสี่ยง หรือให้ความรู้เสริมเพื่อเป็นทางเลือกในอาชีพ
"ศีลธรรม" จึงมิใช่เรื่องที่ต้องเรียกร้องจากผู้ใต้ปกครอง แต่ควรมาจากผู้ปกครองเป็นอันดับแรก
เรื่องเพิ่มเติม
The Body:อีกมุมมุมมองของประชาธิปไตยในเรือนร่าง
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)