คงไม่มีใครเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของญาติผู้ถูกอุ้มหายได้ดี เท่ากับคนที่มีญาติถูกอุ้มหายด้วยกัน
ความรู้สึกโศกเศร้า เสียใจ เมื่อรู้ว่ามีญาติใกล้ชิดหายตัวไป และยิ่งโกรธแค้นเจ็บลึก เมื่อรู้ว่าการหายตัวไปดังกล่าวเกิดขึ้นโดยฝีมือของบุคคลบางกลุ่ม อาการดังกล่าวยากเกินกว่าจะเยียวให้หายไปได้ง่ายๆ
ระหว่างวันที่ 11 - 13 ธันวาคม 2549 ที่เทพาบีช รีสอร์ท แอนด์คันทรีคลับ อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ ที่มีนางอังคนา นีละไพจิตร เป็นประธาน ร่วมกับสมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย (ยมท.) สมาพันธ์ต่อต้านคนหายแห่งเอเชีย (AFAD) จึงได้ร่วมกันจัดโครงการเยียวยาจิตใจญาติผู้สูญหายขึ้น โดยมีญาติผู้สูญหาย 16 ราย เข้าร่วม
"ที่ผ่านมามีกระบวนการเยียวผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ไม่มีกระบวนการเยียวยาญาติผู้สูญหายโดยตรง"
เป็นคำบอกเล่าของนางอังคณา นีละไพจิตร ซึ่งอีกฐานะเธอ คือ ภรรยานายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความชาวมุสลิมผู้ตกเป็น 1 ในเหยื่อที่ถูกอุ้มหาย
การจัดโครงการครั้งนี้ นอกจากจะมุ่งหวังการเยียวยาจิตใจญาติผู้สูญหายแล้ว นางอังคณา นีละไพจิตร บอกว่า เป้าหมายสำคัญอยู่ที่สร้างเครือข่ายผู้ที่ได้รับผลกระทบให้ช่วยเหลือดูแลกันเอง และให้ความช่วยเหลือคนอื่นๆ โดยเฉพาะญาติผู้สูญหายรายใหม่ๆ
ด้วยเชื่อว่าไม่มีใครเข้าใจญาติผู้สูญหาย เท่ากับคนที่มีญาติสูญหายด้วยกัน
ในช่วงเวลา 3 วัน ส่วนใหญ่จะเป็นการเข้าร่วมกระบวนการเยียวยาโดยใช้หลักการทางด้านจิตวิทยา มีผู้เชี่ยวชาญจากประเทศฟิลิปปินส์เป็นวิทยากร ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การสร้างความเชื่อมั่นต่อสิ่งที่นับถือศรัทธา
นั่นคือ เชื่อมั่นว่า พระผู้เป็นเจ้า กำลังให้ความคุ้มครองญาติที่สูญหายไป เป็นต้น
หลังผ่านกระบวนการเยียวโดยใช้วิธีการทางด้านจิตวิทยาแล้ว กลุ่มญาติผู้สูญหายได้ร่วมกันตั้งเครือข่ายหลวมๆ แยกออกเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก เป็นญาติที่ใกล้ชิดกับผู้สูญหาย หรือภรรยาของผู้สูญหาย ตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อให้ความช่วยเหลือญาติผู้สูญหายคนอื่นๆ ที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา รวมทั้งช่วยดูแลญาติผู้สูญหายรายใหม่
อีกกลุ่ม คือ กลุ่มญาติและองค์กรต่างๆ ที่คอยให้ความช่วยเหลือ กลุ่มนี้จะให้การสนับสนุนด้านต่างๆ แก่กลุ่มผู้สูญเสีย
สำหรับการช่วยเหลือเฉพาะหน้าในเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยเฉพาะญาติผู้สูญหาย 6 ราย ที่ยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจากคณะกรรมการนโยบายและอำนวยการการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กยต.) ที่สิ้นสุดภารกิจ เนื่องจากรัฐบาลถูกรัฐประหาร
ในส่วนนี้ จะประสานไปยังคุณหญิงอัมพร มีศุข กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้ความช่วยเหลือต่อไป
นางเซซิเลีย ลีออนนัก นักจิตวิทยาชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นวิทยากรโครงการเยียวยาญาติผู้สูญหายครั้งนี้ บอกว่าการเยียวยาจิตใจญาติคนหาย ยากที่จะประเมินผลว่า มีสภาพจิตใจเป็นปกติเหมือนคนทั่วไปหรือไม่ เพียงแต่รู้สึกได้ว่าดีขึ้น เพราะข้ามพ้นอารมณ์โศกเศร้าเสียใจไปได้
เมื่อข้ามพ้นอารมณ์โศกเศร้าเสียใจ เคียดแค้น โกรธไปได้ ก็จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างคนปกติทั่วไป จะเห็นได้ว่าญาติผู้สูญหายจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย พัฒนาไปได้ระดับหนึ่งแล้ว และคนเหล่านี้สามารถช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้อีกด้วย
ถ้าเทียบกรณีการสูญหายของคนในประเทศไทย จะต่างกับที่ประเทศฟิลิปปินส์ เพราะที่นั่นผู้สูญหายจำนวนมากมีสาเหตุมาจากการเมือง ที่หายตัวเป็นระลอก นับตั้งแต่ช่วงปีคริสตศักราช 1972 - 1974 ช่วงปี 1986 และช่วงปี 1997 - 1998 รวมแล้วมีคนหายหลายร้อยคน ส่วนในพื้นที่ทางภาคใต้ของประเทศที่มีปัญหาการสู้รบของกลุ่มกบฏชาวมุสลิม มีคนหายจำนวนไม่มาก
จากปัญหาดังกล่าวได้ก่อให้เกิดองค์กรปกป้องการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เข้มแข็งขึ้นในชุมชุนต่างๆ ในประเทศฟิลิปปินส์ รวมทั้งการรวมกลุ่มกันของญาติผู้ถูกอุ้มหายไป อย่างเช่น องค์กรFIND ซึ่งเกิดจากการรวมกลุ่มกันและจัดตั้งเป็นองค์กรขึ้นมา เป็นคนในครอบครัวคนหายที่มีชื่อเสียงครอบครัวหนึ่ง
องค์กรนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อให้ความช่วยเหลือญาติของคนที่ถูกอุ้มหายไป ทั้งเรื่องการให้เงินช่วยเหลือ หรือการฟื้นฟูสภาพจิตใจ ปัจจุบันนับว่าเป็นองค์กรใหญ่องค์การหนึ่งในประเทศฟิลิปปินส์
การที่มีองค์การชุมชนทางด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เข้มแข็งมาก มีส่วนในการผลักดันให้รัฐสภาของฟิลิปปินส์แก้ไขกฎหมายโดยระบุว่าการอุ้มนั้นเป็นความผิดอาญา และมีกลไกในการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบขึ้นมาด้วย
ถึงกระนั้น ปัจจุบันนี้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในฟิลิปปินส์กลับเพิ่มขึ้นมาอีก ซึ่งไม่ใช่การอุ้ม แต่เป็นการฆ่านอกระบบกฎหมาย คล้ายกับการฆ่าตัดตอนในประเทศไทย โดยในระยะ 2 - 3 ปีที่ผ่านมา มีคนถูกฆ่าตายไปแล้วกว่า 700 คน และไม่มีการสอบสวนดำเนินคดีทางกฎหมาย จนมีการเรียกร้องให้มีการสอบสวนในเรื่องนี้กันแล้วในที่ประชุมรัฐสภาของฟิลิปปินส์
ย้อนกลับมาที่เมืองไทย นางแอเซาะ มะแตหะ ภรรยาของนาย
เมื่อมีคนพูดถึงสามีทีไร จะโกรธเจ้าหน้าที่รัฐทุกครั้ง เจ็บใจทหารที่รับปากว่าจะช่วย แต่ไม่เห็นอะไรซักอย่าง สาเหตุที่โกรธเพราะมีคนมาจับตัวสามีไปซึ่งๆ หน้า แต่วันนี้ 3 ปีผ่านไป เธอไม่โกรธใครแล้ว
เธอบอกอีกว่ารู้สึกสบายจนถึงขั้นลืมเรื่องราวที่เลวร้ายไปแล้ว เหลือก็แต่ยังรำลึกถึงสามีอยู่ตลอดเวลา
เธอเล่าเหตุการณ์ตอนที่สามีถูกอุ้มว่า ช่วงบ่ายของวันเกิดเหตุ นาย
พอตกกลางคืน ประมาณตี 2 นายบูดีมันมาเคาะประตูเรียก บอกว่าจะเอาเงินมาคืน เราก็ตื่นแบบงงๆ กันอยู่ พอลงไปถึงชั้นล่างของบ้านกับสามี ไปเปิดประตู ก็มีชายฉกรรจ์หลายคน มีรถกระบะจอดอยู่หน้าบ้าน 2 คัน พวกเขาบอกว่าเป็นทหาร แล้วก็เอากุญแจมือใส่มือสามีบอกว่าจะเอาไปสอบสวน 3 วัน แล้วจะส่งกลับ
"เราก็ยังงงไม่หาย สับสนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และกลัวว่าสามีจะเป็นอะไรไป ครบ 3 วัน ก็ยังกลัวไม่หาย เลยไปแจ้งผู้ใหญ่บ้าน เล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จากนั้นจึงพาไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอบันนังสตา สิ่งที่ได้ คือ ความหวังจากเจ้าหน้าที่ที่บอกว่า กำลังตามหาอยู่ คงไม่ได้หายไปไหน เชื่อว่าไม่นานคงจะได้เจอ" เธอกล่าว
ไม่เพียงสามีของเธอเท่านั้นที่หายไป นายบูดีมัน คนนำทหารมาเอาตัวสามีเธอไปก็หายตัวไปด้วย จนกระทั่งวันนี้
เมื่อสามีเธอหายไป ภาระหน้าที่ในการหาเงินเลี้ยงชีพตัวเองและลูกอีก 2 คน คือ ลูกชายและลูกสาวอย่างละคน จึงตกเป็นของเธอ
ทว่า ครอบครัวของเธอก็ยังประสบเคราะห์ร้ายอยู่ดี เมื่อลูกชายคนเดียวประสบอุบัติเหตุจนพิการ ช่วยตัวเองไม่ได้ เธอต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) 20,000 บาท และจากเพื่อนบ้านอีก 30,000 บาท
ขณะที่ลูกชายพิการ มีสิทธิกู้เงินเพื่อคนพิการจากธนาคารกรุงไทยอีก 20,000 บาท เงินส่วนนี้ นำไปชำระหนี้ ธกส. ต่อมา เธอได้รับเงินเยียวยาจาก กยต. 100,000 บาท เอาไปชำระคืนธนาคารกรุงไทยและเพื่อนบ้าน ที่เหลือเป็นค่าครองชีพและทุนการศึกษาให้กับลูกสาวอีกคน ที่กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ขณะที่อาชีพขายของในตลาดนัดมีรายได้ไม่มาก ยิ่งตอนนี้คนมาเดินตลาดน้อย เพราะกลัวระเบิด รายได้ก็ยิ่งลดลงไปอีก
เมื่อก่อนสามีเธอมีอาชีพขับรถสองแถวสายยะลา - บันนังสตา เวลาเธอจะไปซื้อของมาขายที่ตลาดนัดก็จะออกไปซื้อของกับสามี เมื่อสามีหายไปเธอก็ต้องอาศัยรถรับจ้าง ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ปกติเธอขายของอยู่ที่ตลาดนัดบันนังสตากับตลาดนัดตลิ่งสูง ในเขตอำเภอบันนังสตานั่นเอง
ส่วนนางแมะนะ ยาโงะ ชาวตำบลปะแต อำเภอยะหา จังหวัดยะลา สามีของนาย
เธอบอกว่า แม้เหตุการณ์ครั้งนั้น จะผ่านไปนานแล้ว เธอยังจำเรื่องราวครั้งนั้นได้ดี และยังรำลึกถึงสามีอยู่ตลอดเวลา
ถึงแม้วันนี้ ภาระเลี้ยงดูลูกที่มีอยู่หลายคน จะตกลงบนบ่าของเธอ ทว่า เธอยังคงยืนยันว่า
"เราไม่ได้ผูกใจเจ็บว่าใครเป็นคนก่อเหตุ ใครเป็นคนอุ้มสามี เพราะถ้าโลกนี้ยังไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ก็รอดูในวันอาคีเราะห์ (วันแห่งการพิพากษา) ว่าความจริง จะเป็นเหมือนกับที่เรารู้มาหรือเปล่า"
นางแมะนะ ยาโงะ เล่าตอนที่สามีหายไปว่า สามีของเธอกับเพื่อนบ้านรวม 3 คน เดินทางไปตัวเมืองยะลา จนช่วงเย็นวันเดียวกัน มีเพื่อนบ้านคนหนึ่งกลับมาก่อน ถามเธอว่า สามียังไม่กลับอีกหรือ เธอบอกว่ายังไม่กลับ เธอถามกลับไปว่า ทำไมถึงทิ้งสามีของเธอกลับมาก่อน เพื่อนบ้านคนนั้นบอกว่า ตัวเขาเองก็นึกว่าถูกสามีของเธอทิ้งเหมือนกัน
ตกค่ำ บรรดาญาติๆ และเพื่อนๆ ต่างออกตามหาจนวุ่นวายไปทั้งหมู่บ้าน แต่ไร้วี่แวว
กระทั่ง มีการเค้นสอบเพื่อนบ้านคนดังกล่าวทราบว่า มีคนเอาตัวสามีของเธอพร้อมกับรถจักรยานยนต์ ส่วนนายยาถูกนำตัวขึ้นรถตู้
กระทั่งวันนี้แล้ว ก็ยังไม่มีใครทราบว่า ทั้ง 2 คน ถูกนำตัวไปไว้ที่ไหน
หลังจากออกตามหาอยู่หลายเดือนจึงมีคนรู้จักพบรถจักรยานยนต์ที่สามีขับออกจากบ้านในวันเกิดเหตุ จอดอยู่ในส่วนยางพาราแห่งหนึ่งในอำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา ซึ่งไม่มีใครทราบว่า มีผู้นำมาจอดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ส่วนเพื่อนบ้านคนที่ไปด้วยกันกับสามี และกลับมาก่อน ถูกคนร้ายลอบยิงตายในเวลาต่อมา จนกระทั่งบัดนี้ตำรวจก็ยังสืบไม่ได้ว่าใครเป็นคนยิง
นี่คือ ส่วนหนึ่งแห่งความเจ็บปวดของบรรดาญาติๆ เหยื่ออุ้มหาย ณ ชายแดนภาคใต้
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)