ประชาไท - เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา ในเวทีจัดประชุมไอพีพี หรือผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ ซึ่งจัดโดยกระทรวงพลังงาน มีกลุ่มตัวแทนชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการโรงไฟฟ้าจากพื้นที่ต่างๆ เข้าไปยื่นหนังสือกับนายปิยะสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อนำเสนอข้อเรียกร้องของผู้ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้า
ทั้งนี้ ข้อเสนอต่างๆ นั้นเป็นข้อสรุปที่ได้มาจากเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการพลังงานเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.เรื่อง "การวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan) เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม" จัดโดยโครงการวิจัยธรรมาภิบาลกิจการไฟฟ้าในประเทศไทย ร่วมกับ กลุ่มศึกษาพลังงานทางเลือกเพื่ออนาคต
จดหมายดังกล่าว ระบุข้อเรียกร้องต่างๆ ของชาวบ้าน ดังนี้ 1.ให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดการแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนของผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการโรงไฟฟ้าที่สร้างแล้วให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงค่อยดำเนินการเปิดโอกาสให้มีการเชิญชวนนักลงทุนให้มาลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ทั้งนี้ เพื่อความเป็นธรรมต่อผู้ได้รับผลกระทบ และเพื่อให้ประชาชนที่อาจจะได้รับผลกระทบจากโครงการใหม่มั่นใจได้ว่ารัฐและเจ้าของโครงการไฟฟ้าจะมีมาตรการในการดูแลและชดเชยผู้ได้รับผลกระทบที่เป็นธรรมและปฏิบัติได้จริง อันจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาโครงการในอนาคต
2.ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการวางแผนลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าและเลือกสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้า โดยต้องมีการพูดคุยหารือกันตั้งแต่ระดับการวางแผนกและกำหนดนโยบายไม่ใช่รอจนมีการคัดเลือกโครงการและลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าก่อน ซึ่งจะทำให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการตกอยู่ในสภาวะจำยอม ไม่มีทางเลือก ก่อให้เกิดการเผชิญหน้าและความขัดแย้ง รัฐบาลจึงต้องเปลี่ยนกรอบแนวคิด ชะลอการประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีออกไปก่อน จนกว่าจะมีกระบวนการวางแผนระบบไฟฟ้าและการเลือกสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงตั้งแต่การกำหนดนโยบายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกับที่เคยประสบมา ทั้งในกรณี แม่เมาะ ปากมูน บ้านกรูด จะนะ แก่งคอย มาบตาพุด ลำตะคอง ฯลฯ
3.รัฐบาลและผู้พัฒนาโครงการจะต้องยุติพฤติกรรมการผลักภาระด้านผลกระทบให้แก่ชุมชนผ่านการใช้ต้นทุนที่ไม่รวมต้นทุนภายนอกด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมในการวางแผนและคัดเลือกโรงไฟฟ้า แม้โรงไฟฟ้าจะปล่อยมลพิษตามเกณฑ์มาตรฐานทางสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนและสภาวะแวดล้อมที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ทั้งปัญหาสุขภาพ ความขัดแย้ง การถูกคุกคามโดยอำนาจรัฐและอำนาจทุน ระบบนิเวศน์และพืชผลถูกทำลายและการสูญเสียอาชีพการทำกินและวิถีชีวิตเดิม
4.ปรับแก้มาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศของโรงไฟฟ้าให้มีความเข้มงวดและเป็นธรรมมากขึ้น ปัจจุบันมาตรฐานดังกล่าวอนุญาตให้โรงไฟฟ้าถ่านหินสามารถระบายมลพิษได้มากกว่าโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาตหรือชีวมวลเป็นเชื้อเพลิงสูงสุดถึงกว่าสิบเท่า นอกจากนี้โรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงมักจะเป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีกำลังผลิตมาก อีกทั้งถ่านหินซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสกปรกและก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมสูง ดังนั้น หากมาตรฐานดังกล่าวไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและมีส่วนร่วม ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการยอมรับนโยบายสนับสนุนถ่านหินของกระทรวงพลังงาน
5.รัฐบาลจะต้องตรวจสอบและแก้ไขความไม่โปร่งใสในการแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 ของบริษัท กัลฟ์ อิเลคตริก จำกัด ซึ่งพบว่ามีการอนุมัติให้บริษัท กัลฟ์ อิเลคตริก ได้สร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 700 เมกะวัตต์โดยไม่มีการประมูล ถือเป็นการกระทำที่ขาดความโปร่งใส ไร้ธรรมาภิบาล และไม่เป็นธรรมต่อผู้ร่วมประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีอื่นๆ ในรอบที่แล้ว ซึ่งหากกระทรวงพลังงานไม่ตรวจสอบให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมเสียก่อนที่จะเปิดประมูลครั้งใหม่ ก็ยากที่จะให้ประชาชน ผู้บริโภค ตลอดจนนักลงทุนมั่นใจได้ว่า การเปิดประมูลในครั้งนี้จะเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี
อนึ่ง เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการจากโรงไฟฟ้า ประกอบด้วย เครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ
ชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแก่งคอย เครือข่ายชุมชนระยอง เครือข่ายรักษ์เมืองชล มูลนิธิประชาคมราชบุรี สมัชชาคนจน กรณีเขื่อนปากมูน สมัชชาคนจน กรณีเขื่อนสิรินทร เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเขื่อน กลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก-กุยบุรี กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด