Skip to main content
sharethis

ทำไมเราถึงเสนอให้ พล.อ.สพรั่ง เป็น visibleman แห่งปี คำตอบคือ พล.อ.สพรั่ง ได้แสดงออกถึง "ความตั้งใจในการทำรัฐประหาร" อยู่ตลอดเวลา ไม่มีการเหลาะแหละโลเลไม่ว่าก่อนหรือหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยแสดงออกจุดยืนที่ชัดเจนยิ่งกว่า หนังหน้าไฟอย่างหัวหน้าคณะรัฐประหารเองเสียอีก

โดย วิทยากร บุญเรือง

 

 

 

 

"บ้านเมืองวันนี้ ช้ำมากพอแล้ว อยากให้บ้านเมืองพ้นจากความหายนะ กองทัพภาคที่ 3 ห่วงใยชาติบ้านเมืองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทหารผ่านมาทุกสมรภูมิทั้งการสู้รบ, สงครามเย็น เราพร้อมทำอะไรเพื่อบ้านเมือง โดยไม่หวั่นเกรงสิ่งที่มีผลกระทบตามมา ไม่มีอะไรทำให้เราได้รับผลกระทบต่อการรักชาติและบ้านเมือง"

 

18 กรกฎาคม 2549

อภิปราย ณ มหาวิทยาลัยนเรศวร

 

 

 

นี่คือจุดยืนอันชัดเจนของชายในชุดสีเขียวคนนี้ ที่สามารถนำมาปะติดปะต่อได้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 เดือนต่อมา

 

ความคลุมเครือสงสัยถึง "ความตั้งใจในการทำรัฐประหาร" ที่ว่า แท้จริงแล้ว การรัฐประหารครั้งนี้ใครคือเบื้องหลัง ? - แน่นอนว่าเราจะไม่พูดถึงบุคคลคนนั้น แต่เราจะให้คำตอบที่เกี่ยวโยงกันอย่างอ้อมๆ ที่อาจจะดูเหมือนไม่เกี่ยวกัน คือทำไมเราถึงเสนอให้ พล..สพรั่ง เป็น visibleman แห่งปี แทนที่จะเลือก พล..สนธิ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารในครั้งนี้?

 

คำตอบคือ พล..สพรั่ง ได้แสดงออกถึง "ความตั้งใจในการทำรัฐประหาร" อยู่ตลอดเวลา ไม่มีการเหลาะแหละโลเลไม่ว่าก่อนหรือหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยแสดงออกจุดยืนที่ชัดเจนยิ่งกว่า หนังหน้าไฟอย่างหัวหน้าคณะรัฐประหาร พล..สนธิ เสียอีก

 

และนี่อาจจะเป็นการพยายามกล่าวถึงเหตุการณ์ข้างหน้า จากนี้ไป ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับ พล..สพรั่ง ถ้าหาก เขาได้ขึ้นถึงตำแหน่งทางการทหารอันสูงสุด ชื่อเสียง บารมี อำนาจ ที่กำลังจะมาเยือนเขาในอนาคต - เขาจะใช้มันยังไง? และบทบาทของเขาจะมีมากน้อยแค่ไหน? เราคงต้องติดตาม ...

 

0 0 0

 

... 2-3 วันก่อนรัฐประหาร มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ขณะที่นายทหารที่มีรายชื่อในคณะก่อการรัฐประหารครั้งนี้หลายคน กำลังตีกอล์ฟและสังสรรค์เฮฮากันอยู่บนคลับเฮ้าส์ - อันเป็นเวลาเดียวกันที่ สพรั่ง ที่ในตอนนั้นยังคงดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 3 ในยศพลโท ซึ่งปกติจะทำงานอยู่ที่ จ.พิษณุโลก และ จ.เชียงใหม่ กลับมานั่งบัญชาการที่กองพลทหารม้าที่ 1

 

ก่อนหน้าการรัฐประหารเพียง 1 วัน มี "รายงานลับ" แจ้งว่า มีคำสั่งจาก "หน่วยเหนือ" ในกองทัพภาคที่ 3 สั่งการให้กำลังพลในกองพลทหารม้าที่ 1 .เพชรบูรณ์ ตรวจเช็คความพร้อมของยานลำเลียง รถถัง ปืนใหญ่ และอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยตลอดทั้งวันดังกล่าวยานพาหนะของกองพลทหารม้าที่ 1 ทั้งหมด จึงถูกเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและเติมเชื้อเพลิงอยู่ในสภาพ "พร้อมปฏิบัติงาน" ทุกคันตลอด 24 ชั่วโมง

 

จึงไม่แปลกใจเลยที่ หน่วยทหารในสังกัดทัพภาคที่ 3 ถือว่าเป็นกำลังพลชุดแรกๆ ที่เคลื่อนขบวนเข้ากรุงเทพฯ เพื่อยึดอำนาจจากรัฐบาลในค่ำคืนแห่งการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจ เมื่อ 19 กันยายน

 

กอปรกับสิ่งที่ พล. . สพรั่ง ได้แสดงจุดยืนมาตลอดเวลา ในความเห็นที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับฝ่ายการเมือง ไม่ว่าจะเป็นหลังและก่อนการรัฐประหาร รวมถึงประเด็นที่ พล..สพรั่ง ให้ข่าวขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับ พล..สนธิ ในเรื่องของระยะเวลาการเตรียมการรัฐประหารครั้งนี้

 

เหล่านี้ล้วนแล้วแต่สร้างความงุนงงให้กับทุกคน ว่าแท้จริงแล้ว การทำรัฐประหารในครั้งนี้ ใครทำงานมากที่สุด ใครทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากกว่ากัน พล..สนธิ หรือ พล..สพรั่ง?

 

แน่นอนว่า ในกระบวนการรัฐประหารครั้งล่าสุดนี้ สนธิ ลิ้มทองกุล ได้ถูกวางหมาก เดินเกมเป็นทัพหน้าให้กับทหารหาญทั้งหลาย โยนหินถามทาง แก่ชนชั้นกลาง และฝ่ายนิยมเจ้าทั้งหลายว่า "สูพร้อมหรือไม่ กับการที่จะได้เห็นทหารออกมา exercise บนท้องถนน" - และเสียงโห่ร้องตอบกลับของพลพรรคเสื้อเหลืองในสวนลุมฯ ก็คือ "O.K. ฮะ พี่ว่าไง เราว่าตาม"

 

ในทางกลับกัน พล..สนธิ ก็คอยแต่ได้เฉไฉ และไม่กล้าแสดงออกความเป็นปฏิปักษ์กับทักษิณอย่างเต็มที่ในช่วงเวลานั้น เนื่องด้วยตำแหน่งผู้นำกองทัพที่มีพลานุภาพที่สุด อย่างผู้บัญชาการกองทัพบกนั้น การจะขยับแต่ละก้าว จะกระโตกกระตากให้พี่ษิณไหวตัวก่อน ออกจะดูเป็นการสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง - อาจจะใช่! ที่ พล..สนธิ ไม่ใช่คนขี้ขลาด เพียงแต่ระมัดระวังตัวในการรักษาอำนาจได้เป็นอย่างดี ในช่วงที่พี่ษิณของเราใหญ่คับฟ้า

 

ส่งผลให้บทบาทของนายทหารที่กล้าออกมาวิจารณ์นักการเมืองอยู่ปาวๆ อย่าง พล..สพรั่ง โดดเด่นขึ้นมาถนัดตา ทั้งในช่วงเวลานั้นและหลังรัฐประหาร ซึ่งพล..สพรั่ง เองก็ได้ออกมาให้ข่าวหลังจากทำการรัฐประหารสำเร็จว่าตัวเองก็ถูกเครือข่ายของพี่ษิณดักฟังอยู่เนืองๆ

 

การวางตัว/การพยายามส่งสัญญาณให้สังคม และจบด้วยการนำทับ ไสรถถังเข้ากรุงเทพฯ ของ พล.. สพรั่ง กัลยาณมิตร จึงเหมือนเป็นการฉายภาพให้เห็นถึงความสำคัญของนายทหารคนนี้ ในเกมแย่งชิง Banana Republic แห่งอุษาคเนย์ ครั้งล่าสุด -- Visible Man แขน-ขา แห่งการเปลี่ยนขั้วอำนาจครั้งนี้จึงดูเหมือน ขุนศึกที่รับใบสั่งมาตัวจริง-ทำงานหนัก นั้นคือ พล.. สพรั่ง กัลยาณมิตร

 

0 0 0

 

พล.. สพรั่ง กัลยาณมิตร เกิดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2491 เป็นชาวจังหวัดลำปาง ในครอบครัวตระกูลทหารที่มีประวัติเก่าแก่ สมรสกับนางวิภาดา กัลยาณมิตร กรรมการสมาคมแม่บ้านทหารบก มีบุตรชายด้วยกัน 3 คน

 

พล..สพรั่ง กัลยาณมิตร จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 7 นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 18 นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 43 จบปริญญาโทการจัดการภาครัฐ และเอกชน สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

 

เริ่มรับราชการครั้งแรกตำแหน่งผู้บังคับหมวดปืนเล็ก ร้อยอาวุธเบา กองพันทหารราบที่ 3 กรมผสมที่ 4 ปี 2512 ผู้บังคับกองพัน ทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 4 ปี 2525 ผู้บังคับกองพัน ทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 19 ปี 2528 ผู้บังคับการกรม นักเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร ปี 2533 ผู้บังคับการกรม นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ปี 2534 นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปี 2540 ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 ปี 2540 แม่ทัพน้อยที่ 3 ปี 2546 เป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2548

 

ภายหลังการรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ที่ผ่านมา ได้อวยยศให้เป็นพลเอกและขึ้นไปเป็น ผู้ช่วย ผบ.ทบ. หนึ่งใน 5 เสือ ทบ

 

 

 

 

 

วาทะเด็ดสพรั่ง ก่อนรัฐประหาร

 

 

18 .2549 ที่ มหาวิทยาลัยนเรศวร / พิษณุโลก

 

 

"วันนี้บ้านเมืองเกิดความขัดแย้ง เหตุที่ผมมาพบกับอธิการบดี ก็เพื่อแสดงจุดยืนในนามของสถาบัน ที่มีความคล้ายคลึงกัน และน่าจะเป็นจุดเริ่มต้น ทำให้กองทัพ และ ม.นเรศวรเป็นโมเดลของความร่วมมือระหว่างกองทัพ และสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ เพื่อสร้างความมั่นคง แล้วทุกอย่างจะคลี่คลายโดยเร็ว"

 

"กองทัพภาคที่ 3 ยินดีที่ได้รับชมเครื่องมือต่างๆ ที่ทันสมัย แต่พอเกิดวิกฤตการณ์ ก็สูญเสียความมั่นคง และหันกลับไปใช้เครื่องมือพื้นฐานของทหาร อย่างพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงตรัสว่า ให้ไปใช้เครื่องมือสื่อสารทหาร เป็นต้น"

 

"บ้านเมืองวันนี้ ช้ำมากพอแล้ว อยากให้บ้านเมืองพ้นจากความหายนะ กองทัพภาคที่ 3 ห่วงใยชาติบ้านเมืองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทหารผ่านมาทุกสมรภูมิทั้งการสู้รบ, สงครามเย็น เราพร้อมทำอะไรเพื่อบ้านเมือง โดยไม่หวั่นเกรงสิ่งที่มีผลกระทบตามมา ไม่มีอะไรทำให้เราได้รับผลกระทบต่อการรักชาติและบ้านเมือง"

 

"การเรียนรู้บ้านเมือง โดยไม่รู้ว่า จะเป็นอย่างไรในอนาคต อย่าให้ลูกหลานเรามารับกรรม จากการไม่แก้ไขปัญหาบ้านเมืองในวันนี้ เขาไม่ควรรับปัญหา รับสิ่งที่ไม่ดี เราต้องคลี่คลายปัญหาให้จบ"

 

 "บ้านเมืองเราขัดแย้งกัน กองทัพภาคที่ 3 ทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอยืนยันอยู่เคียงข้างพระเจ้าอยู่หัว ยืนยันขออยู่ข้างคนดี เราเป็นทหารอาชีพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอย้ำว่า นักศึกษา อย่าตกเป็นเครื่องมือ และอย่าเกรงกลัวอิทธิพล เพื่อความอยู่รอดของตนเอง"

 

" ประเทศไทย เป็นประชาธิปไตยแบบหลอกๆ การเมืองทำเพื่อให้ได้มาเพียงคำว่า ประชาธิปไตย วันนี้เสื้อเหลืองมีทั้งคนดีและคนเลวใส่ ยาแคปซูลที่ผลิตขึ้นมาไม่ได้คุณภาพ ยังไม่เท่ากับคนเลว ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเกลียด และสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้น คือ จิตใจมนุษย์ที่ขาดคุณธรรม คำสั่งที่คนรุ่นพ่อสั่งสอนมาว่า "ผู้ดีเดินตรอก ขี้คลอกเดินถนน" คนทำดี ทำไมต้องกลัว "

 

"ผมไม่เคยก้มหัวเพื่อแลกกับยศตำแหน่ง ไม่เคยขอผู้บังคับบัญชาเพื่อมานั่งในตำแหน่งแม่ทัพ วันนี้ผมต้องทำให้บ้านเมืองเข้มแข็ง อย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยบอกว่า อย่าปล่อยให้เรือจม"

 

 

15 .. 2549 กรมทหารพรานที่ 35 / กำแพงเพชร

 

"ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองถือเป็นปัญหาใหญ่ แม้ทหารจะไม่มีหน้าที่โดยตรง แต่เมื่อทำให้ประเทศชาติเสียหายก็ถือเป็นหน้าที่หลักของทหารต้องแก้ไข และถือเป็นภารกิจสำคัญของทหารพราน ขอให้ทุกคนลงพื้นที่พบประชาชน ทำความเข้าใจว่าถ้าใครประกาศนโยบายรับใช้ชาติแล้ว หากศึกษาความเป็นมาพบว่าไม่เคยทำความดีมาก่อนก็อย่าสนับสนุน และต้องช่วยกันขจัดให้หมดไป ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาทำอะไรกองทัพได้ เพราะกองทัพไม่อ่อนแอ นอกจากสนิมจะเกาะกินภายใน มีพวกกบฏ พวกขายชาติแอบแฝงอยู่จึงจะทำให้กองทัพอ่อนแอ ดังนั้น ทุกคนต้องช่วยกัน อย่าให้คนชั่วพูดเสียงดังอีกต่อไป"

 

"เป็นความจริง คอมมิวนิสต์พวกนี้เป็นพวกที่เคยถูกปราบ แต่ปัจจุบันมาอยู่ในเมือง มาเป็นใหญ่เป็นโต และมีบางคนคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย"

 

"พวกที่ชอบทำตัวเป็นเจ้าพ่อ หากท้าตนตรงๆ ผมจะถล่มให้ยับในหน้าที่อำนาจที่มีอยู่ และหากคนดีถูกคุกคาม ผมจะให้กรมทหารพรานที่ 35 คุ้มครองให้ โดยจะฝึกวิธีพิเศษโดยเฉพาะสำหรับอาสาสมัครทหารพรานที่จะให้ความคุ้มครองประชาชน ผมขอยืนยันว่า กองทัพภาคที่ 3 จะยืนหยัดเป็นสถาบันค้ำจุนชาติ ศาสน์ กษัตริย์อย่างแท้จริง"

 

 

15 .. 2549 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 4 / ตาก

 

"ทหารทำหน้าที่หนักที่สุดในโลก เช่น ไปตรวจเรื่องลำไยทุจริต ของอีกกระทรวงหนึ่ง ป่าสาละวินทหารต้องขนไม้ไปกองที่สระบุรี อยากฝากทุกคนมีอุดมการณ์ มีศักยภาพ ผมรับราชการมาตั้งแต่ร้อยตรี ถึงพลโท รับงานมาด้วยความภาคภูมิใจในทุกยศ ทุกตำแหน่งที่ผู้บังคับบัญชาให้ ไม่ก้มหัวให้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แม้ไม่ก้าวกระโดด แต่ก้าวไปอย่างมั่นคง ไม่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย ในเวลาที่มีไม่มากนักจะดูแลกองทัพ ในตำแหน่งทุกตำแหน่งให้เข้มแข้ง จะเป็นเพื่อนปกป้องคนดีที่ถูกทำร้าย ต่อสู้กับพวกอธรรม จึงขอฝากน้องๆ ทุกคน"

 

"ศึกภายในประเทศไทยใหญ่พอๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นด้านชายแดน อย่าให้โรคทั้งหลายมาเชื่อมโยงกัน เหมือนคนไข้ในไอซียู มีเชื้อโรคที่ฉวยโอกาส และมีเชื้อที่เป็นพาหะจากการเยี่ยมของคนไข้ แพทย์จึงห้าม และกลั่นกรองห้ามการเข้าเยี่ยมญาติ ฉันใดฉันนั้น โรคของประเทศไทย ขณะนี้แตกแยกความสามัคคี กลุ่มที่คิดร้ายต่อสถาบันที่สถาบันพระมหากษัตริย์มีจริง แต่การที่ไม่สามารถเอ่ยตัวบุคคลนั้นรอว่า คนที่คิดร้ายนั้นมันควรจะโดนสังคม และประชาชนชาวไทย หรือ กลุ่มพลังประชาชนเข้าไปจัดการตามกระบวนการที่ถูกต้อง"

 

"ข้าราชการหลายส่วนเห็นแก่ อามิสสินจ้าง และอนาคตของตัวเอง ไม่กล้าคิดไม่กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ขอฝากทั้ง ตชด. และทหารว่า ขณะนี้ ปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ภายในตอนกลาง และชายแดน กำลังจะรวมตัว เหมือนมิคสัญญี เกิดกลียุค แต่ไม่ใช่กลียุคแบบสึนามิ มันเป็นกลียุคเกิดจากการล่มสลายของจิตใจ ขาดการรักชาติ และตัวใครตัวมัน จะทำให้เกิดการแตกแยก ในแผ่นดินไทย ก่อให้เกิดการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ และภาคเหนือในอนาคต เพราะฉะนั้นจะต้องไม่ให้ลูกหลานที่เติบโตมารับรู้ และรับมรดกแห่งความชั่วร้าย อันเกิดจากการย่อหย่อนของทหาร ตำรวจ และฝ่ายพลเรือนที่ดูแลความมั่นคง"

 

"...วันหนึ่งสังคมต้องตรวจสอบ ใครคือ ข้าราชการในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใครคือ ข้าราชการที่รับใช้ความชั่วร้าย เราไม่ต้องเป็นหนี้บุญคุณ ไม่ต้องให้ใครมามองเราด้วยความดูถูกเหยียบหยามว่า โตมาเพราะเขาให้ ต้องโตเพราะทำดี ผู้บังคับชาไม่ให้ไม่ได้ ถ้าเขาไม่ให้ เขาคือ คนเลว ผมเองไม่ยอมให้ผู้บังคับบัญชามาบอกให้สำรวม ให้ระวัง อย่าพูดอะไรไปกระเทือนใคร ผมบอกคนดีเขาไม่กระเทือน แต่คนเลวมันกระเทือนกับผมแน่นอน ผมยืนยัน และไม่กลัวด้วย"

 

 

 

0 0 0

 

ในขณะนี้ สพรั่ง ซึ่งอยู่ฟากฝ่ายที่ได้รับชัยชนะชั่วคราวเมื่อวันที่ 19 .. ที่ผ่านมา กำลังการเดินสายช่วงชิงการนำทางความคิดของคนในสังคมไทยอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน ... โดยนำเครื่องหมายการค้าของเขาเองเป็นตัวชูโรง

 

ความมีจริยธรรม - ความมีวินัย - ความพอเพียง และความจงรักภักดี คือสิ่งที่พวกเขาใช้เป็นแคมเปญรณรงค์ครั้งนี้ ให้ประชาชนส่วนใหญ่ก้มหน้าทำตามจากแม่แบบของขุนพลผู้ห้าวหาญ ... แต่นั่นแหละหนา มันจะสามารถหักล้างสิ่งที่ ทักษิณ และพวกพ้อง ได้ทำให้คนในสังคมไทยเชื่อมั่นใน พลังแห่งการบริโภคของตนเอง ที่ผ่านมาได้ไปหมดหรือ?

 

ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ การเมือง-เศรษฐกิจถูกโยงใยเข้าไปสัมพันธ์กันจนแกะไม่ออก ดังนั้นการใช้ชุดความคิดแบบเดิมที่เคยใช้ อันเป็นความคิดก่อนยุคอินเตอร์เน็ต ... ซึ่งชนชั้นนำเองก็กลัวใจเหลือเกินว่า มันคงจะไม่ค่อยเข้าท่าและไม่สามารถรักษาทุนนิยมแบบไทยๆ อันเป็นระบอบที่ชนชั้นนำมีผลประโยชน์มหาศาลแอบแฝงไว้ได้

 

มิติทางอารมณ์การเมืองได้ระเบิดไปแล้วเมื่อวันที่ 19 .. --- และถึงแม้จะมีความพยายามที่จะบอกว่านั่นไม่มีปัญหาอะไรกับมิติทางเศรษฐกิจ .. หลายๆ คนเองรู้แท้แน่นอนว่านั่นคือ "คำโกหก"

 

และหากเกิด "ความเป็นไป" ที่หลายคนไม่อยากให้เกิด คือ ถ้าเกิดการตีโต้คืนได้จากขั้วอำนาจทักษิณ เกิดการประนีประนอมกันได้ระหว่างกลุ่มทักษิณและกลุ่มอำนาจที่เหนือกว่า พล..สพรั่ง เกิดการประนีประนอมตกลงแบ่งผลประโยชน์ครั้งใหม่ เพราะธาตุแท้ของนายทุนหรือชนชั้นอภิสิทธิ์นั้น ย่อมต้องปกป้องผลประโยชน์ร่วมกัน ในโลกที่พวกเขาไม่อยากให้ประชาชนได้ลืมตาอ้าปาก

 

...ถ้าสิ่งนั้นมันเกิดขึ้นจริงๆ เราคงจะได้เห็น ปรากฏการณ์ "เสร็จศึก ฆ่าขุนพล" เป็นแน่แท้ล่ะพี่น้องเอ๋ย ;-)

 

 

……………………………………………………………..

ประกอบการเขียน :

สพรั่ง กัลยาณมิตร - วิกิพีเดีย

 

"สพรั่ง"สัญญาณขัดข้อง เหตุต้องยึดอำนาจทักษิณ

http://www.komchadluek.net/2006/10/scoop/p001_58493.php?news_id=58493

 

พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร ทำเพื่อใคร….มาดูกัน

http://www.sae-dang.com/cgi-bin2/dangBoard/OpenMessage.php?no=4375

 

"สพรั่ง"ปลุกทหารพราน ขจัดพวกขายชาติhttp://www.parliament.go.th/news/news_detail.php?prid=25134

 

'สพรั่ง'เผยมีกลุ่มคนหวังล้มล้างกษัตริย์ลั่นสู้ตายhttp://www.parliament.go.th/news/news_detail.php?prid=20829

 

แม่ทัพภาค 3 ประกาศทำทุกอย่างเพื่อบ้านเมือง น้อมนำพระราชดำรัส "อย่าปล่อยให้เรือจม" เป็นธงนำ (ผู้จัดการออนไลน์ (Th) Tuesday, July 18, 2006 16:43)

 

 

 

 

โครงการ Visibleman 2006

 

คือการมองย้อนหลังในระยะเวลา 1 ปี

และค้นหาคนที่เรา "ประชาไท" เห็นเด่นชัดที่สุด

 

Visibleman ของเรา ไม่ใช่ข้อสรุปจากผลการศึกษา มิใช่ผลงานทางวิชาการ หรือการวิจัยใดๆ

แต่เราปรารถนาให้ผู้อ่านเห็นถึงนัยที่เราเลือก

กระบวนการเลือก กระบวนการการทำงาน การถกเถียง ตลอดจนการหาข้อสรุปของเรา

 

เพราะเหตุนี้ เราจึงตระหนักดีว่า

ความน่าเชื่อถือและพลังของการเลือกบุคคลผู้ที่จะเป็น Visibleman ของเรานั้น อยู่ที่เราแต่ละคน

ยิ่งเราแต่ละคนเติบโตขึ้นเท่าไร ลุ่มลึกมากเท่าใด

ความน่าเชื่อถือในโครงการ Visibleman ก็มากขึ้นเท่านั้น

 

เราปรารถนาให้โครงการ Visibleman ได้แสดงถึงความอ่อนด้อยของเรา

ตลอดจนการเติบโต ความรู้ของเรา และรายงานต่อผู้อ่านอย่างซื่อตรง

 

กล่าวอีกอย่างก็คือ

โครงการ Visibleman

ไม่ใช่เพียงเพื่อการเสนอนัยของ "บุคคลที่เราเห็น" ในปีที่ผ่านมา

หากแต่ยังหมายถึงการรายงานพัฒนาการของเราต่อผู้อ่านด้วย

 

…………………………….

 

Visibleman 2006 ได้เปิดให้ผู้สื่อข่าวและเจ้าหน้าที่ "ประชาไท" เสนอชื่อ

ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2549

ก่อนจะจัดทำข้อเสนอ ความเห็น ข้อมูล เพื่อร่วมถกเถียงหาข้อสรุป

ในวันที่ 18 ธันวาคม 2549

และทยอยนำเสนอต่อผู้อ่าน

ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2549

จนไปสิ้นสุดที่รายชื่อผู้ที่สมควรเป็น Visibleman 2006 ของ "ประชาไท"

ในวันที่ 4 มกราคม 2550

โดยมีรายชื่อพร้อมผู้เสนอ ดังนี้

 

 

รายชื่อ  Visibleman 2006  และผู้เสนอ

 

กษัตริย์ คเยนทรา วีระ วิกรม ชาหะเทวะ    เสนอโดย  พงษ์พันธุ์  ชุ่มใจ
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์   เสนอโดย  ชูวัส  ฤกษ์ศิริสุข และ
    พิณผกา  งามสม
นวมทอง ไพรวัลย์ เสนอโดย  มุทิตา  เชื้อชั่ง
จาตุรนต์ ฉายแสง เสนอโดย  ภาพันธ์  รักษ์ศรีทอง
จูหลิง ปงกันมูล เสนอโดย  มูฮัมหมัด  ดือราแม
อังคณา นีละไพจิตร เสนอโดย  นัดดา  มะลี
น้องเดียว - ด.ช.พัทธดนย์ เกลี้ยงจันทร์ เสนอโดย  เสาวภา  พุทธรักษา
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เสนอโดย  อรพิณ  ยิ่งยงพัฒนา
ครูตี๋ - นิวัฒน์ ร้อยแก้ว เสนอโดย  องอาจ  เดชา
พล.อ. สพรั่ง กัลยาณมิตร เสนอโดย  วิทยากร  บุญเรือง
สุรพล นิติไกรพจน์ เสนอโดย  จิรนันท์  หาญธำรงวิทย์ 
วรเจตน์ ภาคีรัตน์ เสนอโดย  พิณผกา  งามสม
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เสนอโดย  พิณผกา  งามสม

จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก

เสนอโดย  ตติกานต์  เดชชพงศ

 

……………………………..

 

 

โครงการ Visibleman 2006

ดำเนินการถกเถียง แลกเปลี่ยน และหาข้อสรุป

โดย รุจน์ โกมลบุตร

คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกรรมการประชาไท

 

 

 

 

 

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net