โดย ซาเสียวเอี้ย
ทีแรกตั้งใจจะชวนคุยถึงหนังไทยเรื่อง "มากับพระ" ที่ (เหมือนว่าจะ) เป็นหนังตลกต้อนรับปีใหม่ แต่ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองที่อยู่ดีๆ ก็มีระเบิดตกลงมากลางห้วงแห่งความหวาดระแวงและจับมือใครดมไม่ได้ เรื่องที่อยากพูดถึงก็เลยเปลี่ยนประเด็นไปโดยปริยาย
000
ใครบางคนบอกไว้ว่า "หลักฐาน" ไม่เคยโกหก และแตกต่างจาก "พยานบุคคล" ตรงที่มันไม่มีอคติที่จะมาเบี่ยงเบนการตัดสินคดีหรือเหตุการณ์ต่างๆ
ใครคนนั้นก็คือ "กิล กริสซัม" (William Peterson) ชายร่างท้วม หนวดเคราเฟิ้ม หัวหน้าทีมนิติวิทยาศาสตร์ในลาสเวกัส ผู้ลุ่มหลงในกีฏวิทยาและทุกๆ เรื่องที่ยังค้นหาคำตอบไม่ได้
เขาคือตัวละครสำคัญของซีรีส์ยอดฮิต CSI: Crime Scene Investigation ที่ฉายมาได้ 5 ปีกว่าและยังคงความแรงไม่มีตก
หน้าที่ของกริสซัมและลูกทีมซีเอสไอ คือการเข้าไปเก็บร่องรอยหรือหลักฐานในบริเวณ "ที่เกิดเหตุ" ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นก็เอาสิ่งที่รวบรวมได้ทั้งหมดไปวิเคราะห์ออกมาเป็นข้อมูลสนับสนุนการทำงานของตำรวจ เพราะเศษเนื้อ ลายนิ้วมือ หรือวัตถุแปลกปลอมเล็กๆ น้อยๆ ที่เก็บได้ อาจกลายเป็นหลักฐานชี้ตัวผู้กระทำความผิดได้โดยไม่จำเป็นต้องมีพยานบุคคล...
(คงไม่แปลกถ้าใครจะคิดถึงคุณหญิงหมอพรทิพย์ขึ้นมา เพราะการทำงานของทั้งสองคนคือหน้าที่เดียวกันนั่นแหละ)
จะว่าไป การดูซีเอสไอแทบไม่ต่างอะไรกับการติดตามผลงานของยอดนักสืบสก็อตแลนยาร์ดอย่าง เชอร์ล็อก โฮล์ม (หรืออาจจะเป็นการ์ตูนโคนันยอดนักสืบของญี่ปุ่น) ด้วยการดำเนินเรื่องที่ปูพื้นคนดูก่อนด้วยคดีหรือการฆาตกรรม เพื่อให้คนดูสงสัยใคร่รู้ว่า 1.ใครทำ 2.ทำอย่างไร 3.แรงจูงใจคืออะไร ซึ่งเป็นสูตรตายตัวของหนังประเภทนี้
แต่สิ่งที่ทำให้ซีเอสไอกลายเป็นซีรีส์ยอดนิยมไปทั่ว (ไม่เว้นแม้แต่เมืองไทย) คือการจับเอาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่มาเป็นตัวไขปริศนาของแต่ละคดี หาใช่เป็นแค่ "ความฉลาดเฉลียว" ของนักสืบเพียงคนเดียวแบบเมื่อก่อน
การพิสูจน์หลักฐานด้วยการใช้เครื่องไม้เครื่องมือทันสมัย รวมถึงการใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการจำลองรูปคดี ช่วยให้ซีเอสไอดูมีเหตุผลและมีน้ำหนักจับต้องได้
สำหรับแฟนพันธุ์แท้ของซีเอสไอ การสร้างตัวละครแบบ "มาเป็นทีม" ก็เป็นการเฉลี่ยให้คนดูมีตัวละครที่รักและเอาใจช่วยเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วย
ในที่สุด ซีเอสไอ ก็แตกหน่อไปเป็น CSI:
000
ตอนที่ซีเอสไอออกฉายในระยะแรก สถานี AXN คาดหวังแค่ว่ามันน่าจะเป็นซีรีส์ฮิตเช่นเดียวกับ Alias ที่เป็นซีรีส์แนว Action-Thriller ซึ่งออกฉายก่อนหน้า แต่กลายเป็นว่าซีเอสไอได้สร้างปรากฏการณ์ถึงขั้นเปลี่ยนแปลงความคิดของคนในสังคมอเมริกันไปเลย
ปรากกฏการณ์ซีเอสไอ หรือ CSI Effect ในอเมริกา ส่งผลให้คณะลูกขุนจากหลายๆ คดี ขอผลการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์มาประกอบการพิจารณาคดีในชั้นศาลด้วย
คณะลูกขุนให้เหตุผลเดียวกับที่ กิล กริสซัม เคยว่าไว้ นั่นคือ "หลักฐาน" ไม่โกหก ไม่บิดเบือน และไม่หวาดกลัวต่อการถูกคุกคามจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของคดี ในขณะที่พยานบุคคลอาจมีคุณสมบัติที่ว่ามาครบถ้วนทุกประการ
ในปีที่ 2 ที่ซีเอสไอออกฉายทางทีวี คณะที่เปิดสอนเกี่ยวกับนิติวิทยาศาสตร์กลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของวัยรุ่นอเมริกัน และเหตุผลที่วัยรุ่นหันมาเรียนด้านนี้มากขึ้นก็เพราะว่า "มันเท่ดี"
จากเดิมที่เคยมีคนเลือกเรียนปีละไม่ถึง 10 คน ก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อยกว่าคน จนมหาวิทยาลัยหลายแห่งต้องเพิ่มงบให้กับคณะที่เปิดสอนทางด้านนี้
ส่วนผลกระทบที่ตามมาถึงเจ้าหน้าที่ซีเอสไอตัวจริงก็คือ "ความคาดหวัง" อันหนักอึ้งที่พลเมืองอเมริกันทุ่มเข้าใส่แบบไม่ยั้งมือ
ตามข่าวที่บีบีซีเคยรายงานไว้ เจ้าหน้าที่ซีเอสไอของอเมริกามักถูกต่อว่าจากญาติผู้เสียหาย หรือไม่ก็เจ้าของคดี เพราะพวกเขาคิดว่าการทำงานของซีเอสไอควรจะรวดเร็วกว่านี้ (เหมือนอย่างที่เคยเห็นในโทรทัศน์) ทั้งที่เครื่องไม้เครื่องมือที่รัฐมีให้ ไม่ได้ไฮเทคสมบูรณ์แบบเหมือนในซีรีส์เลยสักนิด
ในความเป็นจริง กองพิสูจน์หลักฐานหรือหน่วยนิติวิทยาศาสตร์ ค่อนข้างจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยซ้ำ เพราะบางครั้งรูปคดีที่ตำรวจสรุปก็ขัดแย้งกับหลักฐานที่พิสูจน์โดยซีเอสไอ ซึ่งหมายถึงว่าไม่ใครก็ใครจะต้องเป็นฝ่ายสรุปผิด แต่โดยทั่วไปแล้ว อำนาจการตัดสินใจหรือการออกหมายจับก็ยังอยู่ในมือตำรวจอยู่ดี
เรื่องแบบนี้...เป็นความคล้ายคลึงบางประการที่เกิดขึ้นในประเทศสารขัณฑ์เช่นกัน
สุดท้ายเรื่องก็คงลงเอยว่าถึงแม้หลักฐานจะไม่มีวันโกหกเหมือนพยานบุคคล แต่เราก็ไม่มีวันรู้อยู่ดีว่า "คนเก็บหลักฐาน" ในโลกแห่งความจริงต้องทนต่อแรงเสียดทานประเภทไหนบ้าง
เพราะในโลกนอกจอทีวี นอกจากจะไม่มีหัวหน้างานแสนดีที่คอยปกป้องลูกน้องอย่างกริสซัม ไม่มีทีมงานที่กล้าหาญและสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวแบบพร้อมที่จะตายด้วยกันได้แล้ว พวกเขาก็เป็นแค่ปุถุชนเหมือนเรา
มีรัก มีโลภ มีหลง มีโกรธ มีหวาดกลัว
และพวกเขาก็มีชีวิตให้เสี่ยงแค่ชีวิตเดียว....