Skip to main content
sharethis

การเมือง

"ทักษิณ" วิจารณ์ไทยผ่านสื่อญี่ปุ่น

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ --"ทักษิณ" ให้สัมภาษณ์สื่อญี่ปุ่นวิเคราะห์การเมือง โดยระบุว่าประชาชนจะไม่อดทนต่อระบอบเผด็จการได้ตลอดชาติ ชี้ความน่าเชื่อถือของไทยในเวทีโลกอยู่ในภาวะเสี่ยง เผยยังรอโอกาสเหมาะเดินทางกลับประเทศ ด้าน "สุรยุทธ์" ระบุทักษิณจะกลับไทยหรือไม่อยู่ที่ความสมัครใจ "นพดล" ยอมรับไม่รู้ข้อมูลบริษัททักษิณจ้างล็อบบี้ยิสต์ อ้าง "กอร์ปศักดิ์" ใช้ข้อมูลเก่า

ความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ที่ถูกโค่นอำนาจ ยังคงให้สัมภาษณ์สื่อในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดวานนี้ (23 ม.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์อาซาฮีของญี่ปุ่น โดยได้วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองและเตือนว่า ประเทศไทยจะไม่อดทนต่อระบอบเผด็จการตลอดไป และความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในเวทีสากลตกอยู่ในความเสี่ยง แต่เขาได้พยายามหาทางสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างผู้ที่สนับสนุนและผู้ที่ต่อต้านเขา

"คนไทยชอบความเป็นประชาธิปไตย และไม่ต้องการอยู่ใต้อำนาจเผด็จการ หรือรัฐบาลที่ไม่ได้มาตามระบอบประชาธิปไตย พวกเขาสามารถอดกลั้นและอดทนต่อบางสิ่งบางอย่าง มีขอบเขตจำกัด แต่จะไม่นานนัก" อดีตนายกรัฐมนตรีไทยระบุ

นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวถึงเรื่องการเดินทางกลับด้วยว่า ตนกำลังรอเวลาที่เหมาะสมที่จะกลับประเทศไทย และรอให้สถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติ เนื่องจากต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลที่มีทหารหนุนหลัง ฟื้นฟูความสมานฉันท์ในหมู่ประชาชนชาวไทยได้เสียก่อน

ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังระบุด้วยว่า คิดว่าตัวเองยังมีประโยชน์ต่อประเทศชาติ และสามารถบอกกับผู้สนับสนุนตัวเขาว่า ถึงเวลาที่ทุกคนควรจะสมานฉันท์กันได้แล้ว

ส่วนกรณีที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันจันทร์ (22 ม.ค.) ถึงเงื่อนไขที่ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้ หากจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองอีกนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า เขาสามารถเรียกความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเศรษฐกิจให้กลับมาได้ โดยบอกว่า สิ่งที่ประชาคมนานาชาติวิตกคือในเมื่อรัฐบาลปฏิรูป ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ก็คงไม่เคารพกฎหมายกันอีกต่อไปแล้ว ส่วนตัวเขามองว่า ประเทศไทยยังเป็นสถานที่ที่เหมาะจะลงทุน และนี่คือสิ่งที่เขาจะบอกกับบรรดานักลงทุน รัฐบาลต่างชาติและภาคเอกชน

อย่างไรก็ตาม วันเดียวกันนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อญี่ปุ่นถึงการรอเวลาเหมาะสมที่จะกลับประเทศไทยว่า อยู่ที่ความสมัครใจของท่าน ว่าจะทำอย่างไร และจะชี้แจงให้ผู้ที่เกี่ยวข้องให้ทราบได้อย่างไร ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการติดต่อพูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ และยังไม่มีเงื่อนไขในการเดินทางกลับ ซึ่งก็หมายถึงว่า จนกว่าจะได้พูดคุยกันก่อน

 

จีนย้ำสัมพันธ์ไทย-จีนแน่นแฟ้น

เว็บไซต์คมชัดลึก--กระทรวงต่างประเทศจีนแถลงย้ำความสัมพันธ์ไทย-จีนยังแน่นแฟ้น บอก"ทักษิณ"อยู่จีนเป็นเรื่องส่วนตัว รัฐบาลสิงคโปร์ปฏิเสธข้อกล่าวหาดักฟังโทรศัพท์ของกองทัพไทย "ทักษิณ" สัมภาษณ์ที่ญี่ปุ่นระบุคนไทยจะไม่อดทนต่อเผด็จการตลอดไป "นพดล"โต้"กอร์ปศักดิ์"ใช้ข้อมูลเก่า

กระทรวงต่างประเทศจีนแถลงถึงผลการหารือระหว่างรองประธานาธิบดี เจิ้ง ชิงหง ของจีน กับพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการกองทัพบก และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งอยู่ระหว่างการเยือนกรุงปักกิ่งเมื่อวานนี้ว่า พล.อ.สนธิให้คำมั่นว่าทั้งรัฐบาลและกองทัพไทยยังให้ความสำคัญยิ่งในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน และจะสานต่อยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างสองประเทศต่อไปในทุกด้าน

ขณะที่รองประธานาธิบดีเจิ้ง ย้ำจุดยืนของจีนว่า จีนเห็นว่าไทยเป็นเพื่อนบ้านที่เป็นมิตร และเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญของจีน และในระหว่างการพบปะกับพล.อ.เฉา กังฉวน รัฐมนตรีกลาโหมของจีน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะขยายความร่วมมือทางด้านทหารระหว่างกัน นอกจากนี้ พล.อ.สนธิยังได้พบปะกับรองเสนาธิการ กองทัพเพื่อการปลดปล่อยประชาชนจีนหรือ พีแอลเอ และได้หารือกันถึงความร่วมมือทางทหาร และการแลกเปลี่ยนความร่วมมือต่าง ๆ ในอนาคต

รายงานข่าวของทางการจีนไม่ได้ระบุว่า พล.อ.สนธิกับเจ้าหน้าที่ของจีนได้หารือกันเกี่ยวกับสถานภาพของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่เชื่อกันว่าใช้เวลาส่วนใหญ่หลังถูกโค่นอำนาจอยู่ในกรุงปักกิ่งด้วยหรือไม่ ซึ่งจีนถือว่าการพำนักอยู่ในจีน ของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเรื่องส่วนตัว ขณะที่สื่อไทยคาดการณ์ว่า พล.อ.สนธิอาจจะพบปะกับพ.ต.ท.ทักษิณที่กรุงปักกิ่งในสัปดาห์นี้

พล.อ.สนธิ เดินทางถึงกรุงปักกิ่งตั้งแต่วันอาทิตย์ ตามกำหนดการเยือนจีนเป็นเวลา 4 วัน ซึ่งเป็นการเดินทางเยือนประเทศจีนครั้งแรก นับตั้งแต่นำกองทัพยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 19 กันยายนปีที่แล้ว

แฉฮ.ขนลูกหลานทหารท่องภูกระดึง-ค่าใช้จ่ายเที่ยวละเฉียดแสน

เว็บไซต์คมชัดลึก --พบค่าใช้จ่ายนำ ฮ.หลวง ขนนักเที่ยวไฮโซลงภูกระดึงเที่ยวละเฉียดแสน ขณะที่อุทยานฯปวดหัว เพราะนักเที่ยวกิตติมศักดิ์ ไม่ผ่านการทำประวัติเพื่อป้องกันการสูญหาย ส่วนใหญ่ลงฮ.แล้วพักในเขตต้องห้ามของกองทัพ แต่เวลาเที่ยวเดินปะปนนักท่องเที่ยวทั่วไป

 

หลังจากที่ "คม ชัด ลึก" นำเสนอข่าวว่ามีการนำเฮลิคอปเตอร์ ของทางราชการนำกลุ่มนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นญาติ และคนใกล้ชิด ของข้าราชการทหาร พร้อมอุปกรณ์แคมปิ้งขึ้นไปเที่ยวบนอุทยานแห่งชาติภูกระดึง จ.เลย กระทั่งมีการวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบผ่านเวบไซต์ www.trekkingthai.com อย่างรุนแรง จนล่าสุดพล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ที่ดูภาพดังกล่าวในเวบไซต์แล้ว เห็นว่าภาพที่ปรากฏสื่อความหมายไปในทางที่ไม่เหมาะสม จึงให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเรื่องดังกล่าวทันที โดยให้ พล.อ.ต.วินัย เปล่งวิทยา เจ้ากรมจเรทหารอากาศ เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงนั้น

 

จากการตรวจสอบการใช้เฮลิคอปเตอร์ของทางราชการ ทั้งงานในหน้าที่ และมีการนำมาใช้นอกงานพบว่า เฮลิคอปเตอร์ ที่บินไปลงบนหลังแปรภูกระดึง จะมีเครื่องบินของกองทัพอากาศที่ที่ใช้เครื่องเบลล์ ประจำที่กองบิน 23 อุดรธานี ที่บินขึ้นลงอยู่เป็นประจำ เพื่อขนถ่ายอุปกรณ์ และอาหารสำหรับเจ้าหน้าที่ และเครื่องลำดังกล่าวเป็นเครื่องทีมีการถ่ายภาพพร้อมนักท่องเที่ยวกว่า 10 คน โพสลงในอินเตอร์เนต โดยเครื่องรุ่นนี้ มีน้ำหนักบรรทุกผู้โดยสารได้ ประมาณ 12 คน รวมนักบินและช่างเครื่องทั้งหมดสามารถนั่งได้ 16 คน นอกจากนั้นจะมีเครื่องบินแบบของป่าไม้ หรือ ฮ.เกษตร ของสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตร ที่บินขึ้นลงอยู่เป็นประจำ โดยเครื่องบินแบบนี้จะสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ประมาณ 5 คนรวมนักบินและช่างเครื่อง

สำหรับค่าใช้จ่ายในการบินแต่ละครั้งพบว่า หากเป็นเฮลิคอปเตอร์เบลล์ กองทัพอากาศ ที่ต้องบินจากกองบิน 23 อุดรธานี ไปยังภูกระดึง จะใช้เวลาบินไป-กลับประมาณ 2 ชั่วโมง รวมทั้งลงจอด ขนสัมภาระ และอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ราคาน้ำมันยังไม่ขยับตัว จะมีค่าใช้จ่ายทั้งค่าน้ำมัน ค่าบริหารจัดการ ค่าเบี้ยเลี้ยงนักบิน ค่าสึกหรอ หรือ ค่าซ่อมบำรุง รวมประมาณ 2.5 หมื่นบาท ต่อชั่วโมง แต่เมื่อราคาน้ำมันขยับขึ้น ค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงจะตกประมาณ 3.6 หมื่นบาท การเดินทางไป-กลับ อุดรธานี ภูกระดึงแต่ละเที่ยว จะใช้งบประมาณอย่างน้อย 7.2 หมื่นบาท

 

นาวาอากาศเอกสุรศักดิ์ ทุ่งทอง ผบก.กองบินที่ 23 อุดรธานี กองพลบินที่ 2 กองบัญชาการยุทธทางอากาศ เปิดเผยเพียงสั้นๆ ว่าเฮลิคอปเตอร์ที่ถูกระบุว่ามีการนำนักท่องเที่ยวไปลงที่หลังแปรภูกระดึงตามที่เป็นข่าว เป็นเครื่องของฝูงบิน ที่ประจำการที่ กองพลบินที่ 2 จ.ลพบุรี และมาปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ โดยกองบิน 23 จะดูแลเรื่องที่พัก อาหาร ส่วนการบิน หรือ การปฏิบัติภารกิจไม่เกี่ยวกับทางกองบินที่ 23 แต่ขึ้นตรงกับกองพลบินที่ 2 จ.ลพบุรี

 

ขณะที่อุทธยานแห่งชาติภูกระดึง ที่มีนักท่องเที่ยวนิยมเดินเขาขึ้นไปชมธรรมชาติบนหลังแปร โดยในช่วงเทศกาลหน้าหนาว จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นไปเที่ยวประมาณวันละ 1 หมื่นคน และอุทธยานมีระบบการดูแลความปลอดภัยกับนักท่องเที่ยวทุกคน ทั้งเพื่อป้องกันปัญหาอาชญากรรมและการตรวจสอบนักท่องเที่ยวไม่ให้เกิดการพลัดหลง โดย การทำบัญชีนักท่องเที่ยวทุกคนก่อนเดินทางขึ้น และมีเจ้าหน้าที่ดูแลตลอดในการเดินทางท่องเที่ยวบนหลังแปร แต่พบว่านักท่องเที่ยวกิตติมศักดิ์ที่นั่งเฮลิคอปเตอร์ไปลงไม่ผ่านระเบียบของทางอุทยานแต่อย่างใด

 

นายศุภชาติ วรรณวงศ์ หน.อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เปิดเผยการดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มกิตติมศักดิ์ว่า เป็นเรื่องลำบากที่จะไปดูแลความปลอดภัยให้ เพราะหากเขาอยู่ในพื้นที่ของกองทัพอากาศที่ทางอุทยานฯกันเอาไว้ให้ จำนวน 10 ไร่นั้น ก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหารอากาศจะดูแล แต่ถ้าหากออกพ้นพื้นที่ออกมา เข้าสู่โซนท่องเที่ยวของอุทยานฯ ทางอุทยานฯ ก็จะต้องดูแล แต่ก็ลำบากเหมือนกัน เนื่องจากปกติการขึ้นไปท่องเที่ยวบนภูกระดึงนั้นทางอุทยานได้มีการให้เขียนชื่อ ที่อยู่ พร้อมเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้เอาไว้ที่สำนักงานบริการ เนื่องจากหากเกิดอะไรขึ้นทางอุทยานจะได้ติดตามได้

 

แต่หากเป็นนักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปเอง โดยไม่ได้เดินเท้าขึ้น ก็จะลำบากในการช่วยเหลือ เพราะไม่ทราบชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ที่จะติดต่อได้ ซึ่งจะต้องเป็นจิตสำนึกของนักท่องเที่ยวเองที่จะต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ โดยอยากจะฝากถึงนักท่องเที่ยวว่า เวลากรอกชื่อที่อยู่ตรงที่ลงทะเบียนเดินขึ้นภูกระดึงนั้น กรุณาอย่าใส่ชื่อเล่น ให้ใส่ชื่อจริง และกรอกข้อมูลให้ตรงตามความเป็นจริงทุกอย่างเพื่อจะได้สะดวกกับเจ้าหน้าที่ในการติดตามหาหากกรณีสูญหาย

 

โดยพื้นที่ที่ทางกองทัพอากาศขอเอาไว้ เพื่อใช้เป็นสถานีเรด้านั้น มีประมาณ 10 ไร่ ซึ่งจะอยู่ใกล้กับผาหล่มสัก ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปชมพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหารทางอุทยานฯ จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะให้เกียรติกัน โดยพื้นที่ดังกล่าว ได้มีการขอใช้อย่างถูกต้องโดยมีการออกเป็นมติคณะรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา

 

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า นักท่องเที่ยววัยรุ่นที่ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพอากาศไปลงบนภูกระดึง ที่ปรากฏในเวปไซด์ เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากกทม.ในช่วงปีใหม่ โดยไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่ กองบิน 23 อุดรธานี โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เป็นเครือญาติของนายทหารในกองทัพอากาศ

 

ทอ.เผยผลสอบนักบินยอมรับขนญาติรุ่นพี่ขึ้นภูกระดึงผิดชัดเจน

เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่น-- น.อ.มณฑล สัชฌุกร รองโฆษกกองทัพอากาศ กล่าวว่า หลังจากที่ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) สั่งให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีมีการร้องเรียนว่ามีการใช้เฮลิคอปเตอร์บรรทุกคนขึ้นไปบนภูกระดึง จ.เลย โดยมี พล.อ.ต.วินัย เปล่งวิทยา เจ้ากรมจเรทหารอากาศ ประธานการสอบสวนข้อเท็จจริง ล่าสุดสอบสวนนักบินทั้ง 2 นาย ซึ่งถือว่ามีความผิดเบื้องต้น โดยนำคนที่ไม่ได้ขออนุญาตขึ้นเฮลิคอปเตอร์ของทางราชการ จึงจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน ทั้งนี้การที่จะลงโทษ หรือ การลงทัณฑ์จะต้องมีการสอบสวนรายละเอียดก่อน ว่าควรจะได้รับโทษขนาดไหนอย่างไร ฉะนั้นเรียกว่าขณะนี้นักบินทั้ง 2 นาย มีความผิดชัดเจน

คุณภาพชีวิต

กลุ่มเอดส์ฟ้อง'ไฟเซอร์' โฆษณา 'ไวอะกร้า' หลอกลวงผู้บริโภค

ผู้จัดการออนไลน์-- เอเอฟพี - ไฟเซอร์ บริษัทยาชื่อดังผู้ผลิตยา"ไวอะกร้า"ถูกกลุ่มให้ข้อมูลและช่วยเหลือผู้ป่วยเอดส์ในสหรัฐฯฟ้องร้อง ฐานโฆษณาอย่างไร้ความรับผิดชอบ สร้างภาพไวอะกร้าเป็นยาช่วยเพิ่ม"ความสนุก"ทำให้โรคเอดส์แพร่กระจายมากขึ้น

 

AIDS Healthcare Foundation ซื่งเป็นมูลนิธิที่ให้ข้อมูลข่าวสารและการป้องกันโรคเอดส์ ตลอดจนช่วยดูแลสุขภาพของผู้ติดเชื้อเอดส์ ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯแถลงเมื่อวันจันทร์(22) ว่า ทางมูลนิธิได้ยื่นฟ้องบริษัทไฟเซอร์(Phizer) ผู้ผลิตยาไวอะกร้า โทษฐานที่มุ่งโฆษณายารักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ให้กับพวกผู้ชายที่ไม่จำเป็นต้องใช้ยานี้

 

ไมเคิล ไวน์สไตน์ ประธานมูลนิธิแห่งนี้ แถลงว่า ไฟเซอร์ใช้กลยุทธ์การตลาด นำเสนอภาพของไวอะกร้า เป็นยากระตุ้นสมรรถภาพทางเพศ โดยมุ่งโฆษณาให้กับพวกผู้ชายที่ไม่จำเป็นต้องใช้ยานี้ เพราะแพทย์ไม่ได้วินิจฉัยว่ามีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศแต่อย่างใด

 

ประธาน AIDS Healthcare Foundation กล่าวว่า การทำตลาดของไฟเซอร์ลักษณะนี้ไม่ได้เป็นแค่วิธีที่ไม่รับผิดชอบเท่านั้น แต่ยังผิดกฎหมายอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาจากการที่ไวอะกร้าเป็นหนึ่งในยาที่นำไปผสมกับค็อกเทลในงานปาร์ตี้อันสนุกสุดเหวี่ยง

 

ที่ผ่านมายาไวอะกร้าได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่ชายนักท่องราตรี โดยนำไปผสมรวมกับยาอี ยาบ้า ลงในเครื่องดื่มค็อกเทล ทั้งนี้ ยาอีและยาบ้ามีผลข้างเคียงคือทำให้เกิดอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เลยต้องผสมไวอะกร้าลงไปในค็อกเทลเพื่อระงับผลข้างเคียงดังกล่าว

 

มูลนิธิดังกล่าวฟ้องร้องไฟเซอร์โดยกล่าวหาว่า กลยุทธ์ทางการตลาดที่ผิดกฎหมายและหลอกลวงผู้บริโภค ทำให้โรคติดต่อทางเพศอื่นๆ ไม่เฉพาะแค่โรคเอดส์เท่านั้น แพร่กระจายในวงกว้าง

 

ก่อนหน้านี้ เมื่อปลายปี2005 มูลนิธินี้เคยเรียกร้องให้ไฟเซอร์ถอนโฆษณาตัวหนึ่งออกไปจากสื่อ โฆษณายาไวอะกร้าตัวนี้เผยแพร่ผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ในสหรัฐฯ มีภาพของชายวัยกลางคนที่มีผมสีเทา และมีคำถามว่า "คุณจะทำอะไรในคืนปีใหม่?"

 

เมื่อครั้งนั้น ไวน์สไตน์ ประธาน AIDS Healthcare Foundation กล่าวว่า โฆษณาดังกล่าวกระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้ไวอะกร้าเป็นยาเพิ่มความสนุกในช่วงปีใหม่

 

ขณะที่เมื่อวันจันทร์ ไวน์สไตน์กล่าวว่า มูลนิธิออกมาฟ้องร้องเพื่อบังคับให้ไฟเซอร์หยุดการโฆษณายาไวอะกร้าอย่างไม่รับรับผิดชอบ และต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการใช้ยาดังกล่าว ต่อประชาชน

 

ทางด้านไฟเซอร์ก็ออกคำแถลงปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยยืนยันว่า ในโฆษณายาไวอะกร้า มีการประกาศอย่างชัดเจนว่า ไวอะกร้าไม่ได้ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศ นอกจากนี้ ไฟเซอร์ยังโต้ว่าบริษัทไม่ได้กระตุ้นให้ผู้ชายใช้ไวอะกร้าเพื่อความสนุกแต่อย่างใด

 

 

FAO เตือนเอเชียระวังหวัดนกระบาดช่วงตรุษจีน

เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่น--ลอเรนซ์ กลีสัน หัวหน้าศูนย์ฉุกเฉินควบคุมการระบาดข้ามพรมแดนขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ เอฟเอโอ ประจำภูมิภาคเอเชีย แถลงเมื่อวันจันทร์ โดยเตือนให้ชาติเอเชียเพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้นในการป้องกันและรับมือการระบาดของไข้หวัดนกระลอกใหม่ก่อนถึงช่วงเทศกาลตรุษจีนในเดือนหน้า ท่ามกลางสถานการณ์ในช่วงต้นปีนี้ที่พบไข้หวัดนกระบาดรอบใหม่ทั้งในจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไทย

 

เจ้าหน้าที่เอฟเอโอ บอกว่า การระบาดในช่วงต้นปีนี้ยังค่อนข้างต่ำกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเป็นการระบาดตามปกติในช่วงฤดูหนาว และช่วงที่มีการเคลื่อนย้ายสัตว์ปีกและการเดินทางของประชาชนมากขึ้นในช่วงเทศกาลวันหยุด

 

นอกจากนี้กลีสัน กล่าวแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ในเวียดนาม ซึ่งในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มีการระบาดของไข้หวัดนกใน 8 จังหวัด และในช่วงตรุษจีนเมื่อปี 2547 ดูจะเป็นสาเหตุสำคัญของการแพร่ระบาดไข้หวัดนกในขณะนั้น

 

 

เกาหลีรับปากจัดสรรตำแหน่งงานรองรับแรงงานไทยเพิ่ม

ผู้จัดการออนไลน์--นายอภัย จันทนจุลกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังนายลี ซัน โซง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานสาธารณรัฐเกาหลี เข้าพบว่า มีการหารือร่วมกันเรื่องการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานที่เกาหลี ซึ่งไทยจัดส่งแรงงานไทยไปแล้ว 2 ครั้ง คือ เมื่อเดือนมิถุนายน 2547 และเดือนสิงหาคม 2549 ที่ผ่านมา ปัญหาต่างๆ ในการจัดส่งลดลง โดยเฉพาะเรื่องค่าหัวคิว เพราะเป็นการจัดส่งแบบรัฐต่อรัฐ ทำให้ไม่มีค่าหัวคิว โดยเกาหลีเป็นผู้ออกข้อสอบ เพื่อไม่ให้มีปัญหาข้อสอบรั่ว ทั้งนี้ ตนได้สั่งการให้อธิบดีกรมการจัดหางาน พัฒนาระบบจัดส่งแรงงานไทยไปเกาหลีให้มีปัญหาลดลง และจะได้พัฒนาการจัดส่งแรงงานไปยังประเทศอื่นๆ ด้วย ซึ่งในการหารือครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานของเกาหลี แจ้งด้วยว่า นายจ้างเกาหลีมีความสนใจแรงงานไทย และเชื่อว่าจะมีโควต้าให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สำหรับที่ผ่านมามีการจัดส่งแรงงานไทยไปเกาหลีแล้ว 13,471 คน ส่วนใหญ่ทำงานภาคอุตสาหกรรม เกษตร เลี้ยงสัตว์ และก่อสร้าง โดยโควตาจ้างงานจากเกาหลี ปี 2549-2550 มีการจัดสรรตำแหน่งงานไว้ให้แรงงานไทย 11,000 อัตรา แบ่งเป็นภาคอุตสาหกรรม ประมง เกษตร และงานก่อสร้าง

 

 

 

ครม.อนุมัติ133ล้านเพิ่มครูพระสอนศีลธรรม10,000รูป

เว็บไซต์คมชัดลึก--ครม.อนุมัติเพิ่มครูพระสอนศีลธรรม 10,000 รูป แต่สำนักงบประมาณมีเงื่อนไขให้กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงศึกษาฯ พิจารณาการดำเนินงานครูพระสอนศีลธรรมร่วมกันในปีต่อไป

 (23ม.ค.) คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติเพิ่มงบประมาณครูพระสอนศีลธรรม จำนวน 10,000 รูป เป็นเงิน 133 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นงบประมาณที่ใช้จ่ายครึ่งปีหลังของงบประมาณปี 2550 เมื่อรวมกับยอดครูพระสอนศีลธรรมปัจจุบันจำนวน 10,000 รูป เท่ากับ 20,000 รูป ใช้งบประมาณทั้งหมด 349 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี สำนักงบประมาณมีเงื่อนไขว่า กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องพิจารณาร่วมกันในการดำเนินงานครูพระสอนศีลธรรมในปีต่อไป ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้ตั้งข้อสังเกต ความรับผิดชอบการจัดการเรียนการสอนเป็นของกระทรวงศึกษาธิการ เน้นการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม คู่กับการให้ความรู้ ดังนั้น สมควรที่จะจัดทำต้นแบบสื่อการเรียนการสอน เนื่องจาก ศธ.มีบุคลากรที่อบรมสั่งสอนเด็ก สามารถดำเนินการเรียนการสอนได้ครอบคลุมกว่า และสถานศึกษาทั่วประเทศ ทั้งเป็นการประหยัด ลดภาระค่าใช้จ่ายอีกด้วย

คุณหญิงไขศรี กล่าวว่า กรมการศาสนาเห็นว่า หากจะขยายครูพระสอนศีลธรรม ควรจะดำเนินการในลักษณะถ่ายทอดองค์ความรู้ ที่จัดทำเป็นต้นแบบสื่อการเรียนการสอนให้กับบุคลากรครู อย่างไรก็ดี ปัจจุบันกรมการศาสนามีโครงการพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ สอนธรรมะให้กับเยาวชนและพุทธศาสนิกชนทั่วไปอยู่แล้ว

ด้าน ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ครม.ให้ วธ.หารือกับ ศธ. ในข้อสังเกตเรื่องการส่งครูพระไปสอนวิชาศีลธรรม ต้องมีวิธีที่สอนได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งการจัดสอนในโรงเรียนต่าง ๆ

ส่วนใหญ่เป็นของ ศธ. หรือโรงเรียนวิถีพุทธ และยังมีโรงเรียนอีกจำนวนหนึ่งที่ขาดครูสอนศีลธรรมและอยู่ในที่กันดารห่างไกล ต้องหารือว่าควรจัดค่าใช้จ่ายสนับสนุนเพิ่มเติมหรือไม่ เป็นรายละเอียดที่ วธ. และ ศธ. จะไปพิจารณากัน

 

รมว.พัฒนาสังคมฯ หนุนแก้กฎหมาย ห้ามสามีข่มขืนภรรยาโดยไม่เต็มใจ

กรมประชาสัมพันธ์ --รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สนับสนุนแก้กฎหมาย สามีข่มขืนภรรยาโดยไม่เต็มใจ มีความผิดตามกฎหมาย

นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวถึงกฎหมายอาญาที่เกี่ยวกับความผิดทางเพศ ในส่วนมาตรา 276 ที่มีการปรับแก้ไขใหม่ ซึ่งเดิมระบุเพียง ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตน แก้เป็นผู้ใดข่มขืนกระทำชำเรา ผู้อื่น ซึ่งมิใช่ภริยาและสามีของตน จะมีโทษปรับและจำคุก ซึ่งส่งผลให้ผู้ชายที่ถูกข่มขืนได้รับความเท่าเทียมด้วย ซึ่งโดยส่วนตัวเห็นด้วย แต่ควรคุ้มครองทุกเพศในการแก้ปัญหาข่มขืน รวมทั้งคู่สมรสด้วย เพราะแต่ละคู่มีหลากหลายแบบ ทั้งคู่สมรสตามปกติ คู่ที่แยกกันอยู่ แต่ยังถูกอีกฝ่ายตามมาบังคับขู่เข็ญ ข่มขืนได้โดยไม่มีความผิด อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว กระทรวงจะเสนอความคิดเห็นไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมในกรรมาธิการยกร่างนี้ด้วย

นายไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า ในต่างประเทศการข่มขืนระหว่างคู่สมรส สามีข่มขืนภรรยา ถือเป็นความผิดมีโทษ แต่ของไทยกฎหมายยังปล่อยให้ทำได้อยู่ จึงจำเป็นต้องเร่งแก้ไขโดยเร็ว

ต่างประเทศ

โพลล์ระบุภาพลักษณ์ทั่วโลกของสหรัฐฯยิ่งแย่ลง

เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่น---ผลสำรวจล่าสุดของสำนักข่าว BBC พบว่า ภาพลักษณ์ของสหรัฐในต่างประเทศตกต่ำลงกว่าเมื่อปีที่แล้ว มีเพียง 29 เปอร์เซ็นต์ ของคนทั่วโลก ที่มองว่า สหรัฐยังคงมีอิทธิพลในทางที่ดีต่อโลก ซึ่งตัวเลขของคนที่มองในทางบวก ได้ลง 7 เปอร์เซ็นต์ จากเดิม 36 เปอร์เซ็นต์ ของการสำรวจในช่วงระหว่างปี 2548/2549 ซึ่งลดจาก 40 เปอร์เซ็นต์ ของเมื่อปี 2 ปีก่อนหน้านี้

 

มีผู้ถูกสำรวจเพียง 29 เปอร์เซ็นต์ จาก 18,000 คน ใน 18 ประเทศ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ที่ยังเชื่อว่า สหรัฐยังมีอิทธิพลในทางบวกต่อนานาชาติ และมีเพียง 73 เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่พอใจในผลงานของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เกี่ยวกับยุทธวิธีในอิรัก และอีก 49 เปอร์เซ็นต์ ระบุว่า สหรัฐกำลังมีบทบาทในเชิงลบบนเวทีโลก โดยเฉพาะอังกฤษ ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญในการทำสงครามอิรักของสหรัฐ พบว่า มีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการรับมือในสงครามอิรักของสหรัฐถึง 81 เปอร์เซ็นต์

 

ส่วนชาวอเมริกัน พบว่า มีมากถึง 57 เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายสหรัฐของประธานาธิบดีบุช ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เท่ากันกับพวกที่มองว่า ประเทศของพวกเขายังคงมีอิทธิพลในทางบวกต่อโลกแต่ก็ลดลงจากเดิมคือ 71 เปอร์เซ็นต์ ในการสำรวจเมื่อ 2 ปีก่อน

 

 

อิหร่านงดตรวจ ลดร่วมมือIAEA

เว็บไซต์ไทยโพสต์ -อิหร่านได้สั่งห้ามคณะตรวจสอบ 38 คนจากหน่วยระวังระไวด้านนิวเคลียร์ของยูเอ็นเข้าประเทศแล้ว หลังจากพวกหัวรุนแรงสุดขอบได้เรียกร้องให้ แก้เผ็ดมาตรการคว่ำบาตรของยูเอ็นที่ประกาศใช้กับกรุงเตหะรานเมื่อเดือนที่แล้วทั้งนี้จากการเปิดเผยของพวกเจ้าหน้าที่อิหร่านในวันจันทร์

 

ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) คำสั่งห้ามนั้นจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการดูแลของตนที่โรงงานแห่งหนึ่ง ซึ่งอิหร่านวางแผนที่จะขยายออกไปในไม่ช้าจากระดับทดลองไปเป็นแหล่งผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ระดับอุตสาหกรรม อันเป็นการขัดขืนต่อมติคณะมนตรีความมั่นคงของยูเอ็น

 

สำนักข่าวไอเอสเอ็นเอของอิหร่านบอกว่าการห้ามครั้งนี้เป็น "ขั้นต้น" อันหนึ่งในการจำกัดการร่วมมือกับไอเออีเอ แบบเดียวกับข้อเรียกร้องอันหนึ่งของรัฐสภารุนแรงสุดขอบหลังจากคณะมนตรีฯ ได้ตกลงให้คว่ำบาตรแล้ว

 

ฝ่ายตะวันตกกล่าวหาว่าอิหร่านกำลังหาทางสร้างพวกระเบิดปรมาณูด้วยการอ้างโครงการพลังงานปรมาณูทางพลเรือนขึ้นบังหน้า ในขณะที่เตหะรานบอกว่าตนมุ่งผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างเดียวเท่านั้น

 

"อิหร่านได้ตัดสินใจไม่อนุญาตให้คณะตรวจสอบจากไอเออีเอ 38 คนเข้าประเทศและได้แจ้งข้อจำกัดอันนี้ต่อไอเออีเออย่างเป็นทางการแล้ว" อะแลดดิน โบรูเจอร์ดิ ประธานคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศและความมั่นคงของรัฐ กล่าว "สัญชาติของพวกที่ถูกห้ามไม่ใช่เหตุผลสำคัญสำหรับเรา" เขาบอกกับไอเอสเอ็นเอโดยไม่ให้รายละเอียดต่อไปอีก

 

ขณะนี้ยังไม่อาจขอความเห็นจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลอิหร่านคนใดได้ แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาได้บอกว่าเตหะรานจะร่วมมือขั้นพื้นฐานกับการตรวจสอบของไอเออีเออยู่ต่อไป และไม่มีความตั้งใจที่จะถอนตัวออกจากสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายนิวเคลียร์ (เอ็นพีที) ด้วยเรื่องการคว่ำบาตรครั้งใหม่นี้

 

"เรากำลังหารือกับอิหร่านในเรื่องคำขอของเขาที่ระบุให้ผู้ตรวจสอบเพื่อความปลอดภัยบางคนถอนตัวออกมา" เมลิสซา เฟลมมิง โฆษกหญิงของไอเออีเอกล่าวในแถลงการณ์ฉบับหนึ่งที่สำนักงานใหญ่กรุงเวียนนา "อย่างไรก็ดีควรสังเกตได้ว่าไม่มีผู้ตรวจสอบจำนวนมากพอที่จะแต่งตั้งให้ประจำอิหร่าน และไอเออีเอสามารถทำหน้าที่ตรวจสอบได้ตามข้อตกลงเพื่อความปลอดภัยอันกว้างขวางของอิหร่านเอง" เธอกล่าว

 

คณะตรวจสอบไอเออีเอทำการตรวจสอบอยู่เป็นประจำตามจุดที่อิหร่านได้ประกาศว่าเป็นแหล่งผลิตพลังงานปรมาณู ด้วยความพยายามที่จะพิสูจน์ว่าอิหร่านไม่ได้ฝ่าฝืนเอ็นพีทีด้วยการพลิกผันวัสดุทั้งหลายไปผลิตเป็นระเบิดขึ้นมา

 

สำนักข่าวอิตาร์-ทาสส์รายงานจากกรุงมอสโกในวันอังคารว่า รัสเซียได้ส่งระบบขีปนาวุธต่อสู้อากาศยาน'ตอร์-เอ็ม 1' ให้อิหร่านครบตามสัญญาแล้ว จากการแถลงในวันนั้นของเซอร์เกย์ เขเมซอฟ ประธานบริษัทโรโซโบรอนเอ็กซปอร์ตผู้ส่งออกอาวุธของรัฐ โดยเขาบอกว่า รัสเซียได้ส่งตอร์-เอ็ม 1 ให้แก่อิหร่านครบตามสัญญาแล้วตอนสิ้นเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งการตกลงขายขีปนาวุธครั้งนี้ได้ทำให้สหรัฐกับอิสราเอลโกรธมาก

 

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วรัฐมนตรีกลาโหม เซอร์เกย์ อีวานอฟ ของรัสเซียบอกว่าระบบขีปนาวุธนั้นกำลังถูกส่งไปยังอิหร่าน แต่กระทรวงของเขาแถลงในตอนนั้นว่าการจัดส่งยังไม่เสร็จสมบูรณ์

กรุงวอชิงตันกับอิสราเอลบอกว่าอิหร่านซึ่งกำลังถูกนานาชาติคว่ำบาตรเพราะโครงการนิวเคลียร์ของตนอาจใช้ระบบขีปนาวุธนั้นโจมตีพวกเพื่อนบ้านและทำลายความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางได้ ในขณะที่รัสเซียบอกว่าขีปนาวุธนั้นปฏิบัติการได้แค่ระยะสั้นและเป็นอาวุธป้องกันอย่างแท้จริง

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net