รายงานพิเศษ: 'เด็ก' เหยื่อการลักพาตัว

น่าห่วง !!! นับตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน มีการแจ้งกรณีเด็กถูกลักพาตัวทั่วประเทศเข้ามาทางศูนย์ข้อมูลคนหายทั้งสิ้น 17ราย แต่สามารถติดตามกลับบ้านได้เพียง7 รายเท่านั้น และในจำนวนนี้มีเด็กที่ถูกลักพาตัวอายุต่ำสุดเพียง 6 เดือนเท่านั้น

เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวเรื่องการลักพาตัวเด็กในเขตกระทุ่นแบน จนทำให้โรงเรียนที่อยู่ในเขตกระทุ่นแบนต้องออกประกาศเตือนผู้ปกครองให้ดูแลบุตรหลานซึ่งอยู่ในความปกครองของตน และจากสถิติของศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา พบว่า นับตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน มีการแจ้งกรณีเด็กถูกลักพาตัวทั่วประเทศเข้ามาทางศูนย์ข้อมูลคนหายทั้งสิ้น 17ราย แต่สามารถติดตามกลับบ้านได้เพียง7 รายเท่านั้น และในจำนวนนี้มีเด็กที่ถูกลักพาตัวอายุต่ำสุดเพียง 6 เดือนเท่านั้น

โดยล่าสุด ในช่วงเดือนธันวาคม 2549 ที่ผ่านมานั้น เจ้าหน้าที่ของศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา ได้รับแจ้งเหตุ ..พงษ์เพชร จีนสุกแสง หรือน้องลาภ อายุ 9 ขวบ และด..ชัยภาษ ด่านเกื้อกูล หรือน้องเท็น อายุ 11 ขวบ ได้หายไป หลังจากขออนุญาตผู้ปกครองออกไปเล่นกับเพื่อนตามปกติ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นเด็กทั้งสองอีกเลย จนถึงปัจจุบันยังไม่ทราบข่าวคราวชะตากรรมของเด็กทั้งสองราย

โดยเบาะแสล่าสุด คือ มีชาวบ้านที่อยู่ในซอยเพชรเกษม 91 ซึ่งพบเด็กทั้งสองคนเป็นครั้งสุดท้าย ทราบว่าเด็กทั้งสองมาเล่นน้ำในซอยดังกล่าว ต่อมามีคนเห็นรถตู้สีเทา ไม่ทราบทะเบียน ติดฟิล์มกรองแสงหนาทึบ แล่นเข้าไปในซอย หลังจากนั้นไม่นานก็ขับออกมา และไม่มีใครพบเห็นเด็กทั้งสองคนอีกเลย
 

สถานที่ปลอดภัยที่สุด คือ สถานที่อันตรายที่สุด

จากการหายตัวไปของเด็กหลายคนนั้น เมื่อมีการตรวจสอบจะพบว่าสถานที่เกิดเหตุไม่ใช่ที่ไหนอื่นไกล แต่กลับกลายเป็นบริเวณแถวๆ บ้านของตัวเอง ดังเช่น กรณีของน้องหนุ่ม (นามสมมุติ) ซึ่งถูกลักพาตัวไปโดยชายแปลกหน้า ทั้งๆ ที่น้องหนุ่มกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานกับเพื่อนๆในบริเวณสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ บ้าน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อประมาณต้นเดือนมกราคม 2549 และน้องหนุ่มก็เคยมาวิ่งเล่นอยู่ในบริเวณนี้เป็นประจำอยู่แล้ว โดยชายแปลกหน้าได้เข้ามาตีสนิทและพูดคุยกับน้องหนุ่มที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ จนน้องหนุ่มเริ่มให้ความไว้วางใจและพูดคุยด้วย ชายแปลกหน้าจึงสบโอกาสทำตัวเป็นผู้ใหญ่ใจดีออกอุบายลวงว่าจะพาไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า โดยหลอกว่าจะซื้อของเล่นให้ น้องหนุ่มจึงได้เดินตามชายแปลกหน้าคนดังกล่าวไป ปัจจุบันน้องหนุ่มได้กลับคืนสู่ครอบครัวแล้ว
 

และเมื่อได้สอบถาม น้องหนุ่ม ทำให้ทราบว่า ในระหว่างที่ถูกลักพาตัวไปนั้น น้องหนุ่ม ได้ถูกบังคับให้นั่งขอทาน และเงินที่น้องหนุ่มได้รับจากการนั่งขอทานนั้น ต้องนำมาให้ชายแปลกหน้าซึ่งเป็นผู้ที่ลักพาตัวน้องหนุ่มไป จนกระทั่งในระหว่างที่น้องหนุ่มกำลังจะถูกพาตัวไปที่ จ.เชียงรายนั้น น้องหนุ่มได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและนำตัวส่งภูมิลำเนา
 

สถานการณ์ลักเด็กที่อยุธยา

คงไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า สถานการณ์ลักพาตัวเด็กนั้นได้ลุกลามไปยังเขตต่างจังหวัดแล้ว ดังกรณีของน้องเต่า เมื่อประมาณต้นเดือนธันวาคม 2549 ครอบครัวของน้องเต่า (นามสมมติ) ได้เปิดร้านขายของอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งน้องเต่าจะมาเล่นที่ห้างฯ เป็นประจำ และกลับบ้านพร้อมกับครอบครัวทุกวัน ในวันเกิดเหตุนั้น น้องเต่าได้มาเล่นที่ห้างฯ ตามปกติเหมือนทุกวันที่ผ่านมา และเมื่อเวลาประมาณหกโมงเย็นน้องเต่าปวดปัสสาวะ จึงได้เดินออกจากประตูห้างโลตัสเพื่อไปปัสสาวะบริเวณป่าละเมาะข้างๆห้าง เนื่องจากระยะทางใกล้กว่าห้องน้ำของห้าง ซึ่งในระหว่างที่น้องเต่ากำลังปัสสาวะอยู่นั้นได้มีชายวัยรุ่น 2 คน สวมชุดดำ เอามีดมาจี้ข้างหลังของเด็ก แล้วบอกว่าให้เดินตามมาถ้าร้องจะแทง น้องเต่ากลัวจึงยอมเดินตามไป

ในระหว่างที่น้องเต่าถูกคุมตัวอยู่ริมถนนสายเอเชียไม่ไกลจากห้างฯ นั้น คนร้ายได้ใช้โทรศัพท์ คุยกันระหว่างคนร้ายว่า ตอนนี้ได้เด็กแล้ว และนัดแนะจุดที่จะมารับตัวเด็ก โดยรถจะมาถึงหน้าห้างฯ ริมถนนสายเอเชียเวลาประมาณ 22.00 . เนื่องจากขณะนั้นกำลังรับเด็กจากจังหวัดอ่างทองอยู่ ต่อมาน้องเต่าปวดปัสสาวะคนร้ายเห็นว่าเด็กไม่ทางหนีไปได้จึงยอมปล่อยให้เด็กเดินลงไปปัสสาวะเพียงคนเดียว เมื่อเห็นว่าคนร้ายกำลังหันไปมองทางอื่น น้องเต่าจึงตัดสินใจวิ่งข้ามถนนหนีไป

เมื่อสอบถามมารดาของน้องเต่าทำให้ทราบทางครอบครัวไม่ได้ไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีที่สถานีตำรวจ เพราะคิดว่าแจ้งความไปก็เท่านั้น ตำรวจคงไม่สามารถทำอะไรได้ และคิดว่าถ้าไปแจ้งความที่โรงพัก คงต้องเสียความรู้สึกกับตำรวจ

 

นอกจากนี้ มารดาของน้องเต่ายังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า คนร้ายน่าจะเป็นคนในพื้นที่เพราะว่ารู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี!!!

กรณีเด็กทารกถูกลักพาตัว

เรื่องการลักพาตัวเด็กทารกนั้นมีโทรเข้ามาแจ้งที่ศูนย์ข้อมูลคนหาย ถึง 2 ราย เหตุการณ์แรกเกิดขึ้น ประมาณต้นเดือนตุลาคม 2548 น้องบัว (นามสมมติ) วัย 11 เดือน ถูกหญิงคนหนึ่งอ้างว่าเป็นหมอดู มาตีสนิทกับครอบครัวน้องบัว ทั้งๆ ที่พึ่งรู้จักกันได้เพียงวันเดียว โดยคนร้ายดังกล่าวออกอุบายทำนายดวงชะตาน้องบัวว่ามีเคราะห์ จึงอยากจะช่วยสะเดาะเคราะห์ให้ จากนั้นก็ทำทีเป็นขออุ้มน้องบัวและลักพาตัวน้องบัวไปในที่สุด

จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบทราบถึงแหล่งที่อยู่ปัจจุบันของผู้หญิงคนนั้นและได้เข้าไปนำตัวน้องบัวคืนสู่ครอบครัว เมื่อเจ้าหน้าที่ตำตรวจได้ทำการสอบสวนผู้หญิงคนนั้นทำให้ทราบว่า ต้องการนำเด็กทารกไปขายเป็นบุตรบุญธรรมของชาวต่างชาติ!!!

เหตุการณ์เด็กทารกถูกลักพาตัวไปอีกหนึ่งเหตุการณ์ เกิดขึ้นเมื่อประมาณปลายเดือนตุลาคม 2549 น้องปู (นามสมมติ) วัย 6 เดือน ถูกพี่เลี้ยงเด็กลักพาตัวไป เมื่อสอบถามแม่ของเด็ก ทราบว่า พี่เลี้ยงคนดังกล่าวได้เข้ามาตีสนิทและบอกว่าจะช่วยเลี้ยงน้องปูให้ในระหว่างที่แม่ของน้องปูต้องออกไปทำงานนอกบ้าน หลังจากมีการตกลงจ้างให้มาเป็นพี่เลี้ยงน้องปูเพียงไม่กี่วัน พี่เลี้ยงคนดังกล่าวก็ได้พาน้องปูหนีหายไป และก่อนหน้านี้พี่เลี้ยงคนดังกล่าวเคยขอน้องปูไปเลี้ยงเป็นลูก และยังเคยขอสูติบัตรของน้องปู แต่ทางครอบครัวไม่ได้ให้

หลังจากเกิดเหตุการณ์ 15 วัน ทางครอบครัวก็ได้ตัวน้องปูคืน โดยความช่วยเหลือของสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจในการกดดัน จนทำให้พี่เลี้ยงต้องนำตัวน้องปูมาคืนครอบครัว เมื่อสอบถาม พี่เลี้ยงคนดังกล่าวอ้างว่ารักน้องปู ต้องการนำไปเลี้ยงเป็นลูก ไม่ได้ต้องการนำตัวน้องปูไปแสวงหาประโยชน์ใดๆ

คำให้การของเด็กถูกลักพาตัว

เมื่อประมาณต้นปี พ.. 2548ในเขตพื้นที่กระทุ่นแบนมีเด็กถูกลักพาตัวคือ น้องคิม (นามสมมุติ) อายุ 10 ปี หายตัวไป ในวันที่เกิดเหตุ น้องคิมออกไปเล่นกับเพื่อนๆ ที่บริเวณซอยหลังโรงเรียนวัดศรีสำราญ จากนั้นมีกลุ่มเด็กวัยรุ่น3 คน เข้ามาชักชวนโดยหลอกว่าจะพาไปซื้อปืนฉีดน้ำ น้องคิมหลงเชื่อจึงยอมตามกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวไป กลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวได้พาน้องคิมขึ้นไปบนรถตู้ สีเทาติดฟิล์มทึบ (ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน)
 

น้องคิม ให้ข้อมูลว่าพบกับเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีกหลายคนบนรถตู้คนดังกล่าว มีทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย และรถตู้คันดังกล่าวพาน้องคิมไปขังไว้ที่บ้านไม้หลังหนึ่งแต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด ภายในบ้านหลังดังกล่าวพบว่ามีเด็กอยู่อีกหลายคน น้องคิมและเด็กคนอื่นๆได้กินข้าวเพียงเพียงวันละ 1 มื้อ ทั้งนี้ น้องคิม สามารถหลบหนีออกมาได้ เนื่องจากกลุ่มคนร้ายได้พาน้องคิมออกมาซื้อของ น้องคิม จึงฉวยโอกาสที่คนร้ายเผลอวิ่งหลบหนีไปขอความช่วยเหลือจากพลเมืองดี และได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจรถไฟ นำตัวส่งภูมิลำเนา

สถานการณ์ล่าสุด ในพื้นที่อำเภอกระทุ่มแบน ชาวบ้านต่างทราบข่าวเรื่องการลักพาตัวเด็กในพื้นที่ โดยโรงเรียนวัดอ้อมน้อย(มิตรครูราษฎร์รังสรรค์)ได้จัดทำหนังสือเวียน ประกาศเตือนเพื่อให้ผู้ปกครองคอยดูแลบุตรหลานที่อยู่ในความดูแลของตน เนื่องจากมีแก็งส์ลักพาตัวเด็กนักเรียนตามโรงเรียนต่างๆ โดยเขตกระทุ่นแบนมีการแจ้งความนักเรียนหายถึง 18 ราย ด้วยกันและยังไม่สามารถติดตามกลับมาได้

กลุ่มเป้าหมาย

กลุ่มเสี่ยงที่อาจถูกคนร้ายลักพาตัว คือ เด็กตั้งแต่แรกเกิด - 11 ปี เด็กในกลุ่มนี้ยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และสามารถถูกบุคคลแปลกหน้าชักชวนและชักจูงไปได้โดยง่ายกว่าเด็กในวัยที่โตกว่า

นอกจากนี้ กลุ่มเด็กเพศชายมีความเสี่ยงในการถูกลักพาตัวได้มากกว่ากลุ่มเด็กเพศหญิง เนื่องจากว่าเด็กผู้ชาย ไม่มีอาการร้องไห้ฟูมฟาย และสามารถล่อหลอกด้วยของเล่นได้ง่ายกว่าเด็กผู้หญิง

จากกรณีเคสเด็กที่ถูกลักพาตัว ที่ได้กล่าวมาในข้างต้นนั้น ทำให้สามารถแยกแยะบุคคลที่อาจเป็นผู้กระทำความผิดในข้อหาลักพาตัวได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
 

1.บุคคลใกล้ชิด ซึ่งก็คือ พี่เลี้ยงเด็ก ที่ทางครอบครัวเป็นผู้จ้างให้ดูแลบุตรหลานในช่วงที่ผู้ปกครองออกไปทำงานนอกบ้าน และญาติๆ ที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเด็ก ซึ่งก่อให้เกิดความผูกพันหรืออาจเรียกได้ว่า เป็นความเสน่หาส่วนตัวจนเกิดความรู้สึกอยากจะนำเด็กไปเลี้ยงเป็นลูกของตน

2.บุคคลแปลกหน้า อาจจะเข้ามาตีสนิทเด็กโดยการชักชวนให้ไปเที่ยว หรือล่อหลอกว่าจะซื้อขนมให้ ทำให้เด็กรู้สึกว่าบุคคลแปลกหน้าเหล่านี้ คือ คุณลุง หรือ คุณน้าใจดี ที่ให้เงินไปเล่นเกมส์ พาไปเที่ยว หรือซื้อขนมให้ทาน จากความใจดีแบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กๆ จะหลงเชื่อจนยอมตามบุคคลแปลกหน้าไป

นอกจากการใช้ความใจดีแล้ว บุคคลแปลกหน้าอาจใช้วิธีบังคับข่มขู่ให้เด็กไปกับตน อาทิเช่น การใช้กำลัง หรืออาวุธ
 

และวัตถุประสงค์ในการลักพาตัวเด็กนั้น ทางศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงาได้วิเคราะห์ประเด็นการลักพาตัวเด็กเป็น 3 ข้อ คือ

1. เพื่อการค้ามนุษย์ ในประเด็นนี้ถือว่ามีสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะเด็กเล็ก ซึ่งอาจจะถูกขายเป็นเป็นลูกบุญธรรมของชาวต่างชาติหรือถูกนำเข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์ในรูปแบบขอทาน ส่วนในกรณีถ้าเป็นเด็กโต อายุ 5-12 ขวบ ก็จะเป็นการบังคับใช้แรงงานในรูปแบบการขายดอกไม้หรือขายสินค้าต่างๆ ตามที่สาธารณะ หรือ ถูกนำไปบังคับใช้เป็นแรงงานทาส ตามโรงงานนรก

2.เพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศ ในประเด็นนี้จะเป็นในส่วนของเด็กที่มีอายุระหว่าง 5-12 ปี ซึ่งส่วนใหญ่ จะเป็นมิจฉาชีพที่มีความผิดปกติทางจิต ชอบร่วมเพศกับเด็ก ทั้งเด็กหญิงและเด็กชายซึ่งคนร้ายอาจจะกระทำกับเด็กด้วยตนเองหรือนำตัวเด็กส่งต่อให้ผู้อื่นอีกทอดหนึ่ง

3.เพื่อความเสน่หาส่วนตัว ในประเด็นนี้เป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางจิต ที่คนร้ายอาจจะรักใคร่เด็กเป็นพิเศษ และประสงค์ที่จะนำตัวเด็กคนนั้นมาเลี้ยงดูเอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนใกล้ชิด หรือญาติสนิท

สำหรับปัญหาหรืออุปสรรคที่ทางครอบครัวคนหายได้พบ จากการไปแจ้งความเด็กหายที่สถานีตำรวจ คือ การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นผู้รับแจ้งความ มองว่า การที่เด็กหายตัวออกจากบ้านไปนั้นเป็นเรื่องเด็กหายธรรมดา และเชื่อว่าเด็กอาจหนีเที่ยวหรืออาจไปพักอยู่ที่บ้านเพื่อน จึงทำเพียงการรับแจ้งความและลงบันทึกประจำวันโดยไม่มีการสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริง ไม่มีการเรียกพยานบุคคลมาซักถาม หรือการแนะนำสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่ทางครอบครัว เช่น ทางครอบครัวควรจะตรวจสอบของใช้ของคนหายว่ามีการเก็บเสื้อผ้าไปหรือไม่ หรือควรจะโทรไปสอบถามตามโรงพยาบาลที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง เพราะมีความเป็นไปได้ว่าคนหายอาจจะได้รับอุบัติเหตุ ซึ่งในเรื่องนี้ตำรวจก็ไม่ได้แนะนำให้ทางครอบครัวได้รู้ และที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ตำรวจควรรีบดำเนินการค้นหาอย่างเร่งด่วน ไม่ควรจะปล่อยเรื่องการค้นหาให้เนิ่นนานออกไป เพราะทุกวินาทีที่คนหายได้หายตัวไปนั้นไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะเกิดอุบัติเหตุหรืออันตรายอะไรกับคนหายบ้าง

นอกจากปัญหาที่ครอบครัวได้พบตอนแจ้งความแล้ว ยังมีปัญหาและอุปสรรคอย่างอื่นอีก เช่น เรื่องของการขาดพยานหลักฐาน ขาดข้อมูลของผู้กระทำความผิด รวมถึงการที่ผู้ปกครองไม่ไปแจ้งความ เพราะเมื่อได้เด็กคืนมาย่อมคิดว่าไม่จำเป็นต้องไปแจ้งความ ปัญหาเหล่านี้นับว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทราบข้อมูลหรือข้อเท็จจริงในเขตพื้นที่ของตนได้ ดังนั้น เมื่อมีการแจ้งความว่า เด็กถูกลักพาตัวนั้นย่อมทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจคิดว่าเป็นเรื่องของเด็กหายธรรมดาจนทำให้ละเลยในรายละเอียดหรือข้อเท็จจริงในการหายตัวไปของเด็กคนหนึ่ง

ทั้งนี้ หากผู้ใดพบเห็นหรือรู้เบาะแสแก๊งค์รถตู้ลักพาตัวเด็ก สามารถโทรแจ้งได้ที่ ศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา โทรศัพท์ 02-6427991-2 หรือ E-mail : info@backtohome.org

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท