Skip to main content
sharethis

ชำนาญ  จันทร์เรือง


 


หรือปืนระเบิดเท่านั้น                      ครองโลก


มนุษย์ร่วมทุกข์ทะเลโศก                            ไม่สิ้น


วนเวียนคลื่นวิปโยค                                   หยุดคลั่ง  ดังฤา


ตายจ่อมเจ็บแด่วดิ้น                                   ดิ่งห้วงมหันต์ภัยฯ


                                    ปืนระเบิดดุจเทพเจ้า                       มหิทธิฤทธิ์  ดังฤา


ทาสถ่อยอสรพิษ                                      กราบไหว้


อนารยะอมนุษย์ชนิด                                 สนองเน่า  นิยมนา


งั่งคลั่งสั่งโลกให้                                       หม่นไหม้ทุกสมัยฯ


                                    แหลกเหลวสยามอยู่ได้                  เกษมสันต์  ดังฤา


การฆ่าใช่สวรรค์                                       หยุดได้


เมตตาเท่านั้นพลัน                                    สันติสุข  เสมอแล


โลกเลิศประเสริฐไซร้                                 มุ่งไว้มนุษยธรรมฯ


                                    โอมนุษยชาติพึ่งฟ้า                       เกษมสุข  เทอญท่าน


ผึงแผ่เมตตาทุก                                        หย่อมหญ้า


อโหสิกรรมทุรยุคปลุก                                โลกตื่น  ชื่นใจ


ไหวสู่ประเสริฐหล้า                                    เลิศล้ำวิเศษสมัยฯ


                                    โลกจงเลิศเปี่ยมท้น                       ธาตุสวรรค์  เทอญท่าน


เลิกฆ่าอมหิตมหันต์                                   โหดร้าย


สันติสุขตลอดกัลป์                                    อนันตเสน่ห์  ภพเอย


มนุษย์สู่ประเสริฐไซร้                                 โลกซึ้งมนุษยธรรมฯ


 


                                                 อังคาร  กัลยาณพงศ์ / การฆ่ามิใช่สวรรค์ จงหยุดได้


 


 


บทประพันธ์ข้างต้นเป็นของมหากวีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่ผมอ่านพบตามเว็บบอร์ดในอินเตอร์เน็ตที่มีผู้นำมาโพสต์ไว้โดยไม่ได้ระบุแหล่งที่มาแต่อย่างใด ผมอ่านแล้วชอบมาก เพราะตรงกับความตั้งใจของผมที่จะเขียนถึงเรื่องนี้อยู่พอดี จึงขอยกมาเป็นบทนำของบทความนี้


            ท่ามกลางสภาวะบ้านเมืองที่กำลังสับสนวุ่นวายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทยอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์การฆ่ารายวันในภาคใต้ การวางระเบิดในคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ผ่านมา การเผาโรงเรียนที่เดิมมีเฉพาะในสามจังหวัดภาคใต้แต่กลับลุกลามไปทั่วประเทศ ทั้งภาคเหนือและอีสาน สถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ เป็นเสมือนตัวเร่งให้ไฟแห่งการฆ่าลุกโชนพร้อมที่จะเผาผลาญผู้คนที่กำลังหน้ามืดตามัวอยู่ในขณะนี้


            ความคิดที่มาจากสันดานดิบของปุถุชนตั้งแต่สมัยบรรพกาลมีอยู่เสมอว่า เลือดต้องล้างด้วยเลือด ชีวิตต้องทดแทนด้วยชีวิต ฯลฯ เป็นแรงผลักดันให้รัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องใช้ความรุนแรง ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าบางรูปบางคณะยังออกมาเรียกร้องให้ใช้ความเด็ดขาดเข้าแก้ไขปัญหา ซึ่งก็หมายถึงการเรียกร้องให้มีการฆ่า ฆ่า ฆ่า แล้วก็ฆ่า นั่นเอง โดยลืมไปว่าการทำร้ายทำลายชีวิตผู้อื่นนั้น ไม่ว่าศาสนาใดใดต่างก็เห็นตรงกันว่าเป็นบาปที่พึงละเว้น


            ในสถานการณ์ปัจจุบันที่สังคมไทยเราแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ต่างฝ่ายต่างก็โทษกันไปมา ฝ่ายอำนาจใหม่ก็โทษฝ่ายอำนาจเก่า ฝ่ายอำนาจเก่าก็โทษฝ่ายอำนาจใหม่ ไม่เว้นแม้แต่ในแวดวงนักวิชาการก็ทะเลาะกันเองว่าอีกฝ่ายขายตัวขายวิญญาณบ้าง หรือว่าอีกฝ่ายมัวแต่กอดตำราไม่เงยหน้ามองดูโลกแห่งความเป็นจริงบ้าง ฯลฯ โดยมองว่า ผู้ที่เห็นต่างจากตนเองนั้นคือศัตรูที่จะต้องประหัตประหารเสียให้สิ้นไปจากโลกนี้


            ความขัดแย้งต่างๆ นี้ มีทั้งการปะทะกันด้วยวาจา จนถึงการปะทะกันทางความคิดในสื่อต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสื่ออินเตอร์เน็ต ต่างฝ่ายต่างก็โทษว่าอีกฝ่ายไม่รักชาติ ไม่ให้ความร่วมมือ และพร้อมที่จะใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกันไม่ผิดกับสังคมในยุคสมัยหิน กระแสแห่งความเกลียดชังพวยพุ่งคุกรุ่นไปทั่วทุกหัวระแหง แม้แต่ในสื่อมวลชนบางแขนงถึงกับบอกว่า หากจับมือระเบิดป่วนกรุงได้ให้เอาระเบิดยัดปากให้ตายตกไปตามกันเสียด้วยซ้ำ


            สังคมไทยควรที่จะหยุดตั้งสติกลับมามองตัวเองได้แล้วว่า หากยังปล่อยให้ผู้คนในสังคมพากันกระเหี้ยนกระหือรือที่จะห้ำหั่นรบราฆ่าฟันกันดังเช่นทุกวันนี้  หายนะย่อมเป็นที่คาดหมายได้ในเบื้องหน้าอย่างแน่นอน


            ข้อเรียกร้องของผมมิได้เรียกร้องต่อเฉพาะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ผมเรียกร้องต่อ ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพลเรือน ทหาร ตำรวจ ไทยรักไทย ประชาธิปัตย์ โจรใต้ องค์กรศาสนาต่างๆ ฯลฯ เพราะผมไม่เชื่อว่าการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางความคิดหรือปัญหาทางการเมืองจะยุติได้ด้วยวิธีการตาต่อตาหรือฟันต่อฟัน


            ประมวล เพ็งจันทร์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ได้กล่าวไว้ในการสัมมนาเรื่อง "สันติภาพเป็นทางออกของสังคมไทยได้เพียงใด" เมื่อเร็วๆ นี้ว่า "สันติวิธีและสันติภาพจะเป็นทางออกมากน้อยเพียงใด เราทุกคนต้องตั้งคำถามตรวจสอบตนเองว่า จาคะ เมตตา ปัญญา ยังเป็นสิ่งที่มีค่าเพียงพอที่เราจะยอมลำบากเพื่อหวงแหนรักษาเอาไว้ หรือกล้าที่จะแลกกับความเชื่ออะไรบางอย่างเกี่ยวกับความเป็นไทยหรือไม่ และอยากจะชวนให้ทุกคนคิดและตัดสินใจว่าเราจะก้าวไปที่ขอบหรือถอยออกมา"


            ฟังดูเหมือนว่าจะทำได้ยาก แต่เราก็ต้องพยายามที่จะกระทำ เพราะอย่าลืมว่า หากสังคมเราก้าวเลยจากจุดนี้ไปแล้ว ยากที่จะมีองค์กรใดที่จะสามารถสร้างอาณัติให้ทุกคนหันหน้าเข้าหากันได้ เมื่อถึงจุดนั้นสังคมก็จะเป็นสังคมที่ไม่พึงปรารถนาของทุกคน


            ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหาอาณัติร่วมกันเป็นวาระแห่งชาติ ที่จะหยุดคิดพิจารณากันอย่างจริงจังกันเสียที โดยเราเริ่มต้นกันใหม่ ลืมอดีตที่ขุ่นข้องหมองใจกันเสีย ให้อภัยซึ่งกันและกันแล้วถอยออกมาจากขอบเหวแห่งความหายนะนี้เสีย


            ยังไม่สายเกินไปหรอกครับ ที่เราจะยุติการฆ่าและความคิดที่จะฆ่า ก่อนจะพากันตกเหวกันทั้งหมด


 


 


 


 


-----------------------------


 


 


หมายเหตุ  เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๐

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net