ยกฟ้องคดีต้านท่อก๊าซฯ จี้"สุรยุทธ์"เล่นงานรัฐบาลทักษิณ

ประชาไท - 14 .. 50 เมื่อเวลา 10.00 . ที่ศาลจังหวัดสงขลา มีการอ่านคำพิพากษาคดีสลายการชุมนุมบริเวณปากทางเข้าโรงแรมเจบี หาดใหญ่ เมื่อวันที่ 20 ..45 เมื่อครั้งที่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จัดให้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครั้งที่ 5) และการประชุมร่วมระหว่างคณะรัฐมนตรีไทยกับคณะรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยมีพนักงานอัยการจังหวัดสงขลาเป็นโจทย์ ชาวบ้านเครือข่ายคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย- มาเลเซีย และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง 12 คน เป็นจำเลย ประกอบด้วย นายสุไลมาน หมัดยุโส๊ะ นางสุไรด๊ะห์ โต๊ะหลี นายม่าหมูด หมัดหมาน นายมามุ โต๊ะหยม นายหะสัน โต๊ะด่าหวี นายเจ๊ะเด่น อนันทบริพงศ์ นายไพศาล หว่าลำ นายยารอนี โต๊ะด่าหวี นายดลหล๊ะ โส๊ะหวัง นายหลง เจ๊ะโส๊ะ นายสุริยา หว่าหลำ และนายพิชิต ชัยมงคล

 

ทั้งหมดถูกฟ้องในคดีดำที่ 1044/2547 ข้อหาร่วมกันทำร้ายเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำตามหน้าที่จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย, พกพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร, ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้น โดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธ และร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป, ร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า ทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณะประโยชน์, มั่วสุมกันกระทำให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองโดยมีอาวุธโดยผู้กระทำความผิด เป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้ที่มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิดนั้น, ไม่เลิกมั่วสุมตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน ซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้

 

โดยมีเครือข่ายคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย - มาเลเซีย และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง พร้อมด้วยทนายความและนักวิชาการมาร่วมฟังคำพิพากษากว่า 300 คน จนศาลจังหวัดสงขลา ต้องติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิดให้รับฟังคำพิพากษาตรงลานด้านล่างของศาล

 

กระทั่ง เวลา 13.30 . นางสาวสุดาวรรณ ฤกษ์เสถียร ผู้พิพากษา ออกนั่งบัลลังก์ห้อง 209 อ่านพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสิบสองคน

 

พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย - มาเลเซีย เป็นโครงการขนาดใหญ่ทางด้านพลังงานที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพ สิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับประชาชน ชุมชนท้องถิ่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กำหนดให้ประชาชน ชุมชน และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องร่วมรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ร่วมเสนอความเห็น ร่วมวางแผน ร่วมกระบวนการพิจารณา และเข้าร่วมในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามที่กฎหมายบัญญัติ ประชาชนหรือจำเลย ย่อมมีสิทธิในการนำเสนอความคิดเห็นต่อโครงการดังกล่าวต่อรัฐบาลไทย

 

รัฐบาลย่อมตระหนักถึงบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ จึงได้มีการจัดให้มีการประชาพิจารณ์ โดยอาศัยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พุทธศักราช 2539 ขึ้น 2 ครั้ง แต่มีประชาชนที่ไม่เห็นด้วยร่วมชุมนุมแสดงพลังมวลชนคัดค้านโครงการดังกล่าว หลังจากนั้นปรากฏว่า รัฐบาลยังคงดำเนินการตามโครงการต่อไป ประชาชน ย่อมมีสิทธิร่วมชุมนุมกันแสดงพลังมวลชนคัดค้านโครงการดังกล่าวภายในขอบเขตแห่งกฎหมายเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการดำเนินโครงการนี้ได้

 

การแสดงพลังมวลชน เพื่อเข้ายื่นหนังสือคัดค้านโครงการฯ ต่อนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยตามขั้นตอนที่ตกลงกันไว้ จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องตามรัฐธรรมนูญของประชาชนหมู่มาก ทั้งชายหญิงและคนชรา และเป็นธรรมดาที่กลุ่มคัดค้านต้องตระเตรียมวางแผนการ จัดเตรียมเครื่องแต่งกาย เครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องอำนวยความสะดวก เครื่องขยายเสียง และสัญลักษณ์ประจำกลุ่มผู้คัดค้าน ให้เป็นไปในลักษณะเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน ส่อแสดงให้เห็นเป็นแนวทางว่า กลุ่มผู้คัดค้านมีเจตนาและวัตถุประสงค์ร่วมกัน ประกอบกับเพื่อประโยชน์ และความสะดวกแก่การควบคุมดูแลกันและกัน สามารถแยกแยะออกจากกลุ่มพลังมวลชนอื่นๆ ได้ง่าย

 

การที่กลุ่มผู้คัดค้านร่วมชุมนุมกัน เพื่อแสดงพลังมวลชนดังกล่าว จึงเป็นการร่วมชุมนุมกันโดยชอบ และก่อนเกิดเหตุการณ์ผลักดันและสลายการชุมนุม ผู้ชุมนุมไม่มีทีท่าว่าจะขับรถยนต์ฝ่าแผงเหล็กกั้น ตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจให้การ และการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจให้การว่า มีสายลับรายงานข่าวว่า ผู้ชุมนุมจะยึดโรงแรมเจบี หาดใหญ่ และขัดขวางการประชุมคณะรัฐมนตรี เป็นเพียงรายงานข่าวที่เลื่อนลอย พฤติกรรมบ่งชัดว่ากลุ่มคัดค้านฯ มีเจตนาแสดงพลังเรียกร้องให้ทบทวนโครงการฯ หาได้มีการวางแผนตามที่กล่าวอ้าง

 

การที่พ...สุรชัย สืบสุข ให้การว่าถูกจำเลยใช้มีดฟันที่นิ้ว และใช้ไม้คันธงแทงที่หน้าอก ขณะยืนอยู่ระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในสถานการณ์เช่นนั้น ย่อมไม่ทันเห็นจำเลยที่ทำร้ายร่างกาย และไม่ทันเห็นจำเลยถืออาวุธในมือ จึงพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสิบสอง

 

ก่อนหน้านี้ เมื่อ 30 ธันวาคม 2547 ศาลจังหวัดสงขลาได้มีคำสั่งพิพากษายกฟ้องจำเลยในคดีเดียวกันนี้ไปแล้ว 20 คน ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่องค์การพัฒนาเอกชน 12 คน และชาวบ้านเครือข่ายคัดค้านท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย - มาเลเซีย และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอีก 8 คน

 

จากนั้น ศาลปกครองจังหวัดสงขลา ได้มีคำพิพากษากรณีเครือข่ายคัดค้านฯ ฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย และจังหวัดสงขลา ตามคดีหมายเลขดำที่ 454/2546 คดีหมายเลขแดงที่ 51/2546 เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2549 กรณีตำรวจจำกัดเสรีภาพในการชุมนุม ที่ปากทางเข้าโรงแรมเจบี หาดใหญ่ว่า เป็นการสลายการชุมนุมโดยมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการกระทำละเมิดร้ายแรง เห็นสมควรกำหนดให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ถึงผู้ฟ้องคดีที่ 24 เป็นเงินคนละ 10,000 บาท

 

นายแสงชัย รัตนเสรีวงษ์ จากสภาทนายความ กล่าวว่า คดีนี้เป็นกรณีตัวอย่างที่รัฐบาลต้องลงมาดำเนินการกับตำรวจและรัฐบาลทักษิณ ที่ละเมิดสิทธิชาวบ้าน การสลายการชุมนุมของเครือข่ายคัดค้านฯ ของรัฐบาลทักษิณ เป็นรูปธรรมของการละเมิดสิทธิของประชาชนคนไทย ที่รัฐบาลชุดนี้ จะต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความผิดของทั้งตำรวจและของรัฐบาลทักษิณ

 

ดร.เจิ่มศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตประธานกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา กล่าวว่า เหตุการณ์เกิดจากตำรวจรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นการกระทำที่มิชอบ รัฐบาลชุดนี้จะต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนบุคคลต่อไปนี้ 1. พล...สัณฐาน ชยนนท์ อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ที่รายงานเท็จต่อพล...สันต์ ศรุตานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น 2. พล...สันต์ ศรุตานนท์ ผู้ออกคำสั่งสลายการชุมนุมโดยไม่ตรวจสอบจ้อเท็จจริงก่อน นายวันมูฮำหมัดนอร์ มะทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น โดยเบื้องต้นบุคคลเหล่านี้ จะต้องออกมาขอโทษต่อเครือข่ายคัดค้านฯ

 

ทั้งนี้ ช่วงเช้าวันเดียวกัน ทางเครือข่ายคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติไทย - มาเลเซีย และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ได้เดินขบวนรณรงค์ในตัวเมืองสงขลา เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการลงโทษตำรวจและรัฐบาลทักษิณ กรณีใช้อำนาจหน้าที่เกินกว่าเหตุละเมิดสิทธิประชาชน ด้วยการสลายการชุมนุมภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ

 

           

 

000

 

รัฐบาลสุรยุทธ์ต้องตรวจสอบและฟ้องร้องรัฐบาลทักษิณ

ในการละเมิดสิทธิ ใช้อำนาจสั่งสลายการชุมนุม

           

กว่าเก้าปีที่ผ่านมา ที่พวกเราต้องต่อสู้กับโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย ในอ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งเข้ามาทำลายหลักการศาสนาอิสลาม ไปพร้อมๆ กับการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในช่วงของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่ดำเนินแนวนโยบายโดยไม่เคารพในเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ซึ่งได้ตอกย้ำสภาพปัญหาให้เลวร้ายมากขึ้น ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ดังเหตุการณ์การอุ้มทนายสมชาย การฆ่าพี่น้องมุสลิมที่มัสยิดกรือเซะ การใช้ความรุนแรงในการจัดการพี่น้องที่ตากใบ และเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความไม่สงบในดินแดนภาคใต้อีกหลายคดี

 

มา ณ วันนี้ ถึงแม้ว่ารัฐบาลทักษิณจะไม่อยู่ในอำนาจแล้วก็ตาม  แต่ไม่ว่าใครที่เข้ามามีอำนาจแทนก็ต้องแสดงความจริงจังในการแก้ไขความผิดพลาดที่ผ่านมา ดังที่พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เมื่อครั้งเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ๆ ได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนว่า การเข้ามารับตำแหน่งทางการเมืองของท่านนั้นเป็นการเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่นในสมัยนายกฯทักษิณ ชินวัตร และเพื่อทำให้บ้านเมืองมีความโปร่งใสและมีศีลธรรม รวมทั้งพยายามแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้

 

และนี่คือ บทพิสูจน์ความจริงใจในคำพูดของท่าน เพราะกว่าเก้าปีที่เราพยายามรวมตัวเพื่อปกป้องบ้านเกิด เป็นการบอกเรื่องราวของเราไปสู่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองให้เข้ามารับฟังปัญหา ซึ่งในสมัยของรัฐบาลทักษิณเรากลับถูกเพิกเฉย และยังโดนยัดเยียดข้อหาต่างๆ ไม่ให้พวกเราได้มีการเคลื่อนไหว กรณีที่เห็นชัดที่สุดคือเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของเครือข่ายคัดค้านท่อก๊าซที่เดินทางไปยื่นหนังสือต่อนายกฯ ทักษิณ เพื่อเรียกร้องให้หยุดดำเนินโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2545 ที่หน้าโรงแรมเจบี อ.หาดใหญ่ ในเหตุการณ์ครั้งนั้นมีพี่น้องเราโดนจับกุมและยัดเยียดข้อหาไปจำนวน 30 กว่าคน ซึ่งภายหลังได้มีองค์อิสระต่างๆ ได้เข้ามาตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของวุฒิสภา ซึ่งต่างก็มีข้อสรุปตรงกันว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กระทำกับพี่น้องชาวบ้านก่อน และได้เรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามารับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะผลจากการตรวจสอบเหตุการณ์วันนั้นตำรวจระดับสูงสั่งให้ตำรวจเดินอ้อมแผงเหล็กกันออกมาผลักดันและทุบตีชาวบ้านเครือข่ายคัดค้าน แต่รัฐบาล

 

และในวันที่ 30 ธันวาคม 2547 ข้อเท็จจริงก็ปรากฏเมื่อศาลอาญาได้มีคำพิพากษาคดีนี้กับพวกเราจำนวน 20 คน ออกมาว่า "ประชาชนหรือจำเลยทั้งยี่สิบหรือจำเลยทั้งยี่สิบคนหนึ่งคนใด ย่อมมีสิทธิร่วมชุมนุมกันแสดงพลังมวลชนคัดค้านโครงการดังกล่าวภายในขอบเขตแห่งกฎหมายเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการดำเนินโครงการนี้ได้" และ "ย่อมเป็นธรรมดาที่กลุ่มผู้คัดค้านต้องตระเตรียมวางแผนการจัดเตรียมเครื่องแต่งกาย เครื่องมือเครื่องใช้ อำนวยความสะดวก เครื่องขยายเสียง และสัญลักษณ์ประจำกลุ่มผู้คัดค้านให้เป็นไปในลักษณะเดียวกันหรือใกล้เคียงกันส่อแสดงให้เห็นเป็นแนวทางว่ากลุ่มผู้คัดค้านมีเจตนาและวัตถุประสงค์ร่วมกันประกอบกับเพื่อประโยชน์ และความสะดวกแก่การควบคุมดูแลซึ่งกันและกันสามารถแยกแยะออกจากกลุ่มพลังมวลชนอื่นๆ" ดังนั้น "พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งยี่สิบ"

 

และศาลปกครองจังหวัดสงขลา ได้พิพากษากรณีที่พี่น้องฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า  การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมดังกล่าว ด้วยการสลายการชุมนุมโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญตามที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น  จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดที่มีความร้ายแรง  เนื่องจากเป็นการกระทำไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

 

แม้ว่าคำพิพากษาที่ผ่านมาได้พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า "เราเป็นผู้บริสุทธิ์" แต่ไม่น่าเชื่อว่ากระบวนการสั่งฟ้องและดำเนินคดีกับพี่น้องส่วนที่เหลือยังดำเนินการต่อไป  เพราะอัยการส่งพี่น้องที่ถูกจับกุมภายหลังจำนวน  12  คน  ฟ้องศาล  และศาลสงขลาได้สั่งฟ้องและดำเนินการพิจารณาคดี   วันนี้ศาลจังหวัดสงขลานัดฟังคำพิพากษาพี่น้องเครือข่ายคัดค้านท่อก๊าซที่ถูกจับกุมดำเนินคดีจากการสลายการชุมนุมที่หน้าโรงแรมเจบีอีกชุดหนึ่ง  ผลการพิจารณาคดีจะออกมาอย่างไรเราขอยืนยันว่าเราจะยืนหยัดต่อสู้ต่อไป

 

เพราะพวกเราเล็งเห็นความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นอย่างมากมายในการสั่งฟ้องพวกเราที่เหลืออีก 12 คน ในข้อหาเดียวกัน เหตุการณ์เดียวกันกับคดีที่มีการพิพากษาไปแล้ว และที่สำคัญหนึ่งในพวกเรานั้นมีคนแก่อายุ 69 ปี ซึ่งโดนข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมอยู่ด้วย!!!! แล้วจะไม่ให้เราเข้าใจเป็นอื่นได้อย่างไร นอกเหนือจากว่ารัฐบาลทักษิณจงใจเอากฎหมายมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกลั่นแกล้งชาวบ้าน   เพราะจากคำพิพากษาของศาลจังหวัดสงขลา ศาลปกครองสงขลา และกระบวนการตรวจสอบขององค์กรอิสระ  2 ชุด  ล้วนพิสูจน์ชัดว่าเจ้าหน้าที่เป็นฝ่ายเริ่มใช้กำลัง  ใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมกับพี่น้องที่เดินทางเพื่อไปยื่นหนังสือกับนายทักษิณ  ชินวัตร

 

นอกจากรัฐบาลทักษิณจะใช้กฎหมายมาจับกุมเราแล้ว รัฐบาลทักษิณยังใช้กฎหมายมาย่ำยีศาสนาอิสลามของเรา ด้วยการออกกฎหมายถอนสภาพที่ดินสาธารณะในพื้นที่โครงการท่อก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย - มาเลเซีย ซึ่งที่จริงแล้วเป็นที่ดินวะกัฟ หรือที่ดินอุทิศตามหลักศาสนาอิสลาม การออกกฎหมายฉบับนี้เท่ากับทำลายหลักการศาสนา  ผิดฮูมตามบทบัญญัติของอัลกุรอ่านว่าด้วยเรื่องที่ดินวะกัฟ อันเป็นการอุทิศเพื่อพระผู้เป็นเจ้าให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน    โดยเจ้าของเดิมหรือผู้หนึ่งผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ครอบครองอีกต่อไป  อีกทั้งไม่สามารถซื้อขาย  แลกเปลี่ยน โอน หรือเปลี่ยนแปลงใด ๆ ได้ จนกว่าจะถึงวันสิ้นโลก ด้วยมติทั้ง 4 มาซาฮับ 

 

เจตนาในการออกกฎหมายฉบับนี้ จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากการออกกฎหมายย้อนหลัง   เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับโครงการท่อก๊าซไทย - มาเลเซีย  โดยที่ข้อเท็จจริงก็ฟ้องอยู่ตำตาว่า ทั้งที่เพิ่งจะมีกฎหมายถอนสภาพที่ดินไปเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2549 ที่ผ่านมา แต่ ณ วันนี้โครงการฯกลับตั้งอยู่บนเส้นทางวะกัฟของเราแล้ว

 

ที่ผ่านมาพวกเราได้ซอบา(อดทน)มาโดยตลอด แต่รัฐบาลกำลังจะทำให้ความอดทนของเราหมดสิ้นลง เราจะไม่ยอมก้มหัวให้กับความอยุติธรรม เราจะสู้เพื่อให้หลักการศาสนาอิสลามอยู่คู่ดุนยานี้จนกว่าจะถึงวันแห่งการสิ้นโลก ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลสุรยุทธ์จะพิสูจน์ความจริงใจที่มีต่อพี่น้องมุสลิม ตามที่ท่านได้กล่าวอ้างไว้

 

เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลสุรยุทธ์พิสูจน์คำพูดและศักดิ์ศรีของทหารที่อาสาเข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ โดยให้มีการตรวจสอบย้อนหลังรัฐบาลทักษิณในการบริหารประเทศโดยการใช้ความรุนแรงและใช้อำนาจเกินกว่าเหตุในการสลายการชุมนุมของชาวบ้าน  ซึ่งไม่ใช่เฉพาะกรณีของเครือข่ายคัดค้านท่อก๊าซฯเท่านั้น  แต่ได้เกิดขึ้นในหลายๆกรณีโดยเฉพาะกับพี่น้องมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้   ปัญหาการละเมิดสิทธิในสมัยของรัฐบาลทักษิณ และยุติการทำลายหลักการศาสนาด้วยการยกเลิกกฤษฎีกาเพิกถอนสภาพที่ดินสาธารณะประโยชน์ หยุดโครงการต่างๆที่เอื้อประโยชน์แก่นักการเมืองและนายทุน และถึงที่สุดจะต้องหยุดโครงการท่อก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซียและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ที่เข้ามาทำลายวิถีชีวิตชุมชนของเรา

 

 

 

 

ด้วยสลามและดุอา

เครือข่ายคัดค้านโครงกรท่อก๊าซ โรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย

และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง

14 กุมภาพันธ์ 2550

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท