Skip to main content
sharethis

รายงานโดย สุเทพ วิไลเลิศ


 


อุบลราชธานี - เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 50 โครงการปฏิรูปสื่อภาคประชาชนอุบลราชธานี ร่วมกับ มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม จัดประชุมประเมินสถานการณ์สื่อภาคประชาชน และทำข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อผลักดันการปฏิรูปสื่อ โดยมีตัวแทนจากวิทยุชุมชน โทรทัศน์เคเบิล หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น องค์กรสื่อภาคประชาชน สภาเด็กเยาวชน และนักวิชาการ เข้าร่วมประชุม


 


จากการหารือมีการประเมินสถานการณ์สื่อในระดับท้องถิ่นว่า สิทธิเสรีภาพของสื่อภาคประชาชนลดลงภายหลังรัฐประหาร 19 กันยา แม้ว่าโดยภาพรวมจะไม่มีมาตรการควบคุมเซ็นเซอร์สื่อภาคประชาชนอย่างเข้มงวด แต่บรรยากาศที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ส่งผลให้ผู้จัดรายการและสถานีวิทยุชุมชนบางแห่งต่างเซ็นเซอร์ตนเองด้วยการระงับการออกอากาศ อีกทั้งผู้จัดรายการวิทยุในหลายสถานีได้รับคำสั่งให้งดหรือปรับลดการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยเฉพาะการเปิดสายเพื่อสื่อสารกับประชาชนระหว่างออกอากาศ ทั้งนี้มีผู้จัดรายการบางท่านได้รับการท้วงติงอย่างไม่เป็นทางการจากนายทหารผู้ใหญ่ในเรื่องการนำเสนอข่าวเชิงลบต่อรัฐบาล


 


อีกทั้งยังมองว่าตลอด 9 ปี ที่ผ่านมา ภาคประชาชนได้ผลักดันให้เกิดการปฏิรูปสื่อตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน แต่หน่วยงานภาครัฐล่าช้าในการผลักดันให้เกิดองค์กรอิสระที่มีหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ อย่างคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) ซึ่งกรณีดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อพื้นที่การสื่อสารของภาคประชาชนอย่างชัดเจน เพราะขณะนี้มีกิจการวิทยุเชิงพาณิชย์ขนาดเล็กในจ.อุบลราชธานีนับร้อยแห่ง การดำเนินการของภาคประชาชนที่ดำเนินงานตามกรอบมติครม.เมื่อ 16 ก.ค.2545 จึงได้รับผลกระทบจากการออกอากาศจากเครื่องส่งวิทยุที่มีกำลังสูงของเอกชน


 


ด้านข้อเสนอต่อการยกร่างรัฐธรรมนูญ ภาคประชาชนยืนยันว่า แม้ว่ารัฐธรรมนูญปี 2540 จะถูกฉีกไปและขณะนี้ยังไม่มีรัฐธรรมนูญ แต่เจตนารมณ์ในการปฏิรูปสื่อของประชาชนยังคงอยู่ และคลื่นความถี่ยังคงเป็นทรัพยากรของชาติและประชาชนทุกคน และย้ำว่าการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ต้องมีมาตรา 39, 40, 41 ที่มีเนื้อหาไม่ด้อยไปกว่าเดิม


 


ข้อเสนอจากการประชุมครั้งนี้คือ การผลักดันให้มีการพัฒนาความร่วมมือจากผู้ประกอบกิจการสื่อในอุบลราชธานี ทั้งภาคเอกชน ภาคประชาชน สถาบันการศึกษาและศาสนา จัดสรรคลื่นความถี่กันเองภายในจังหวัดเพื่อไม่ให้รบกวนกัน โดยถือเอากรอบสัดส่วนพื้นที่ 40 : 40 : 20 เป็นหลัก


 



สดใส สร่างโศรก


 


 


สดใส สร่างโศรก ผู้ประสานงานเครือข่ายสื่อภาคประชาชนภาคอีสาน จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า หลังมี พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ พ.ศ.2543 ประชาชนยังต้องรอให้มีกสช.เพื่อทำหน้าที่จัดสรรคลื่นให้ แต่รัฐก็ไม่สามารถผลักดันให้สำเร็จลุล่วงได้ จึงคิดว่าการเดินหน้าให้ประชาชนจัดสรรคลื่นกันเองน่าจะเป็นทางออกหนึ่ง ซึ่งอาจจะออกมาในลักษณะข้อตกลงร่วมในระหว่างที่ยังไม่มีกสช.ก็ได้ น่าจะเป็นผลดีในแง่ที่สร้างความตื่นตัวให้กับประชานในพื้นที่ และอาจเป็นตัวอย่างที่ดีที่ประชาชนทุกภาคส่วนลุกขึ้นมาจัดการปัญหาที่รัฐทำไม่สำเร็จร่วมกัน


 


 



ธีรพล อันมัย


 


 


อ.ธีรพล อันมัย นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มองสถานการณ์สื่อภาคประชาชนหลัง 19 กันยาฯ ว่า เมื่อรัฐธรรมนูญถูกฉีก สิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน สื่อชุมชน กระทั่งสิทธิเสรีภาพของบุคคลถูกลดทอน การปฏิรูปสื่อที่ผ่านมาของภาคประชาชนต้องทบทวนว่า การที่ประชาชนมีสื่อเป็นของตนเอง ทำให้ชีวิตในด้านต่างๆ ดีขึ้นหรือไม่ หากเป็นประโยชน์แล้ว จะต้องทำเช่นไรที่จะทำให้ประชาชนจะสามารถเข้าถึงได้ กรณีที่รัฐธรรมนูญใหม่ระบุว่า สื่อเป็นของรัฐ สถานการณ์สื่อก็จะกลับเข้าสู่รูปเดิมและประชาชนจะไม่สามารถเข้าถึงสิทธิการสื่อสารได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้คือการที่สื่อมวลชนวิ่งเข้าหาผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะสื่อกระแสหลักซึ่งมีศักยภาพในการสร้างความรับรู้ให้ประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง อีกทั้งยังฝากไว้ว่า สถานการณ์เช่นนี้ "อย่าไว้ใจผู้มีเงินหลาย และอย่าไว้ใจผู้มีปืนหลาย"


 


 



สมปอง เวียงจันทร์


 


 


สมปอง เวียงจันทร์ ตัวแทนจากแม่มูนมั่นยืน ที่ต่อสู่กับการเปิดเขื่อนมานับสิบปีกล่าวว่า เคยมีการคุยกันว่าเราต้องร่างโฉนดคลื่นความถี่ในอากาศของภาคประชาชน โดยประชาชนคุยกันเอง ตกลงกันเอง แล้วนำไปเสนอรัฐ เพราะรอรัฐทำให้คงไม่ได้ ต้องเป็นข้อเสนอจากประชาชนไปให้รัฐ อาจจะมากกว่าจังหวัด เป็นภาค เป็นทั้งประเทศ และรัฐต้องให้การสนับสนุนเรื่องสิทธิการสื่อสารของประชาชน


 


กรณีสถานีวิทยุที่แม่มูนนั้นผิดกับที่อื่น ที่หลังรัฐประหารไม่มีความแตกต่างแต่อย่างใด เพราะโดนเฝ้าจับตามาตั้งแต่วันแรกที่ออกอากาศ สถานีนี้มีทั้งตำรวจและนายอำเภอฟัง โดยเฉพาะเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ กฟผ. ด้านกรมประชาสัมพันธ์ก็เคยสั่งให้ออกข่าวของกรมประชาสัมพันธ์ รวมถึงให้ไปขึ้นทะเบียน ขณะนี้ปัญหาที่สถานีวิทยุชุมชนแม่มูนพบคือ คลื่นของสถานีอื่นที่ตั้งทีหลัง กลับมารบกวนคลื่นของสถานี


 


ทั้งนี้ ต่อการห้ามไม่ให้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองนั้นมองว่า เราไม่ได้พูดเรื่องการเมืองแต่เราพูดเรื่องการบ้านที่เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเราโดยตรง แม่สมปอง ในวัยกว่าห้าสิบกล่าวทิ้งท้าย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net