Skip to main content
sharethis


หลังจากที่ศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา ได้รับแจ้งว่า สองเด็กหนุ่มวัย 15 ปี น้องต้น (นามสมมติ) และน้องหนึ่ง (นามสมมติ) ได้หายตัวไปตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน 2549 ระหว่างเดินทางมาทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพฯ กับญาติ ต่อมาตรวจสอบพบว่า หลังจากลงจากรถทัวร์แล้วเด็กทั้งสองก็ขาดการติดต่อ จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2550 น้องต้นและน้องหนึ่งได้เดินทางกลับมาบ้านที่จังหวัดบุรีรัมย์



 


ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ศูนย์ข้อมูลคนหายฯ ได้สัมภาษณ์น้องต้นและน้องหนึ่งทางโทรศัพท์หลังจากทั้งสองกลับบ้านมาได้ 1 วัน  โดยน้องต้นกล่าวว่า หลังจากที่ตนและน้องหนุ่มได้เดินทางด้วยรถโดยสารจากสถานีขนส่งจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อมาทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2549 โดยมาถึงสถานีขนส่งหมอชิต ในเวลาประมาณ 05.00 น. ตนและน้องหนุ่มได้เดินมาเข้าห้องน้ำบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต ซึ่งในระหว่างที่อยู่ในห้องน้ำนั้น มีชายแปลกหน้าเดินสวนเข้ามา หลังจากนั้น ตนและน้องหนุ่มก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย มารู้สึกตัวอีกครั้งก็อยู่บนเรือประมงซึ่งแล่นออกจากชายฝั่งมาไกลแล้ว และผู้ควบคุมเรือประมงได้อีกบอกว่า ตนและน้องหนุ่มถูกนายหน้าขายให้กับเรือลำดังกล่าวด้วยค่าตัว 10,000 บาท และต้องออกเรือเพื่อหาปลาเป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 7 เดือน ทำให้ตนและน้องหนุ่ม ต้องทำงานอยู่บนเรือประมงลำดังกล่าวทุกวัน โดยไม่มีวันหยุด และได้รับประทานอาหารเพียงวันละ 2 มื้อ เท่านั้น และนอกจากพวกตนแล้ว ก็ยังมีชายอีก 2 คน ที่ถูกขายให้กับเรือลำดังกล่าวด้วยเช่นกัน


 


"เรือลำดังกล่าว ได้แล่นหาปลาในน่านน้ำประเทศมาเลเชียประมาณ 7 เดือน ก่อนที่จะแล่นกลับเข้าฝั่งที่ท่าเรือจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อเรือถึงท่าเรือจังหวัดนครศรีธรรมราชแล้วนั้น ผู้ควบคุมเรือ ได้ถามตนและน้องหนุ่ม ว่าต้องการทำงานต่อไปหรือไม่ หากไม่ทำงานต่อก็จะไม่ได้เงินค่าจ้าง เพราะว่า ผู้ควบคุมเรือได้จ่ายเงินค่าตัวให้กับนายหน้าที่พาพวกเขามาขายแล้ว ตนและน้องหนุ่มจึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน โดยผู้ควบคุมเรือสงสารเนื่องจากว่ายังเป็นเด็กทั้งคู่ จึงได้ให้ค่าเดินทางกลับบ้านมาคนละ 3,000 บาท" น้องต้น กล่าวต่อ


 


จากการสอบถามข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของครอบครัวของน้องต้นและน้องหนึ่งด้วย โดยน้องหนึ่ง กล่าวว่า ครอบครัวของตนและน้องต้นนั้นมีฐานะยากจน มีการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้างทำงานก่อสร้างเพื่อประทังชีวิต ซึ่งตนและน้องต้น เรียนจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จาก อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ เท่านั้น ที่จริงตนและน้องต้นอยากจะเรียนต่อ แต่เนื่องจากฐานะทางครอบครัวยากจน ทำให้ไม่สามารถเรียนต่อได้ จึงต้องเลิกเรียนและออกมาช่วยครอบครัวทำงาน โดยตนและน้องต้นจะมาทำงานรับจ้างที่กรุงเทพฯ แต่ก็ถูกลักพาตัวไปขายให้เป็นแรงงานทาสบนเรือประมง จึงอยากวอนขอให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือครอบครัวของตนและน้องต้น เพื่อที่ตนและน้องต้น จะได้มีโอกาสกลับไปเรียนต่ออีกครั้ง


 


ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลคนหายฯ มูลนิธิกระจกเงา ได้ทำหนังสือขอความอนุเคราะห์ให้ประสานงานช่วยเหลือเหยื่อของการค้ามนุษย์ ไปที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะที่เป็นหน่วยงานรัฐซึ่งมีหน้าที่ดูแลปัญหาการค้ามนุษย์ โดยศูนย์ข้อมูลคนหายฯ เรียกร้องให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ครอบครัวของบุคคลทั้งสอง เพื่อเป็นการเยียวยาความเดือดร้อนในลำดับแรก ประการที่ 2 ประสานงานไปยังพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัว และให้ความช่วยเหลือในฐานะของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ 3.ประสานงานเรื่องทุนการศึกษาแก่ น้องต้นและน้องหนุ่ม เนื่องจากผู้เสียหายทั้งสอง ประสงค์ที่จะเรียนหนังสือต่อ แต่ขาดทุนทรัพย์


 


และ 4. เนื่องจากกรณี การลักพาตัว และการล่อลวงในลักษณะดังกล่าว ถือเป็นภัยที่สังคมต้องตระหนักในการป้องกันและแก้ไขปัญหาร่วมกัน จึงขอเสนอให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดประชุมย่อยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ เช่น บริษัทขนส่งจำกัด สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ นายสถานีรถไฟหัวลำโพง และผู้ที่ควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยบริเวณสถานีขนส่งต่างๆ ให้เข้มงวดกวดขันและวางมาตรการป้องกันภัยดังกล่าว เนื่องจากมิจฉาชีพน่าจะยังคงแฝงตัวอยู่ในสถานที่ดังกล่าว และเพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อนเช่นนี้


 


 


ถูกลักพาตัวลงเรือประมงร่วม 7 เดือน..วอนภาครัฐช่วยเหลือ…


 


ศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ วอนหน่วยงานรัฐเยี่ยมเยียนและช่วยเหลือเหยื่อถูกลักพาตัว เตือนสถานที่หลายแหล่งยังเสี่ยง


 


หลังจากที่ศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา ได้รับแจ้งว่า สองเด็กหนุ่มวัย 15 ปี น้องต้น (นามสมมติ) และน้องหนึ่ง (นามสมมติ) ได้หายตัวไปตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน 2549 ระหว่างเดินทางมาทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพฯ กับญาติ ต่อมาตรวจสอบพบว่า หลังจากลงจากรถทัวร์แล้วเด็กทั้งสองก็ขาดการติดต่อ จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2550 น้องต้นและน้องหนึ่งได้เดินทางกลับมาบ้านที่จังหวัดบุรีรัมย์


 


ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ศูนย์ข้อมูลคนหายฯ ได้สัมภาษณ์น้องต้นและน้องหนึ่งทางโทรศัพท์หลังจากทั้งสองกลับบ้านมาได้ 1 วัน  โดยน้องต้นกล่าวว่า หลังจากที่ตนและน้องหนุ่มได้เดินทางด้วยรถโดยสารจากสถานีขนส่งจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อมาทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2549 โดยมาถึงสถานีขนส่งหมอชิต ในเวลาประมาณ 05.00 น. ตนและน้องหนุ่มได้เดินมาเข้าห้องน้ำบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต ซึ่งในระหว่างที่อยู่ในห้องน้ำนั้น มีชายแปลกหน้าเดินสวนเข้ามา หลังจากนั้น ตนและน้องหนุ่มก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย มารู้สึกตัวอีกครั้งก็อยู่บนเรือประมงซึ่งแล่นออกจากชายฝั่งมาไกลแล้ว และผู้ควบคุมเรือประมงได้อีกบอกว่า ตนและน้องหนุ่มถูกนายหน้าขายให้กับเรือลำดังกล่าวด้วยค่าตัว 10,000 บาท และต้องออกเรือเพื่อหาปลาเป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 7 เดือน ทำให้ตนและน้องหนุ่ม ต้องทำงานอยู่บนเรือประมงลำดังกล่าวทุกวัน โดยไม่มีวันหยุด และได้รับประทานอาหารเพียงวันละ 2 มื้อ เท่านั้น และนอกจากพวกตนแล้ว ก็ยังมีชายอีก 2 คน ที่ถูกขายให้กับเรือลำดังกล่าวด้วยเช่นกัน


 


"เรือลำดังกล่าว ได้แล่นหาปลาในน่านน้ำประเทศมาเลเชียประมาณ 7 เดือน ก่อนที่จะแล่นกลับเข้าฝั่งที่ท่าเรือจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อเรือถึงท่าเรือจังหวัดนครศรีธรรมราชแล้วนั้น ผู้ควบคุมเรือ ได้ถามตนและน้องหนุ่ม ว่าต้องการทำงานต่อไปหรือไม่ หากไม่ทำงานต่อก็จะไม่ได้เงินค่าจ้าง เพราะว่า ผู้ควบคุมเรือได้จ่ายเงินค่าตัวให้กับนายหน้าที่พาพวกเขามาขายแล้ว ตนและน้องหนุ่มจึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน โดยผู้ควบคุมเรือสงสารเนื่องจากว่ายังเป็นเด็กทั้งคู่ จึงได้ให้ค่าเดินทางกลับบ้านมาคนละ 3,000 บาท" น้องต้น กล่าวต่อ


 


จากการสอบถามข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของครอบครัวของน้องต้นและน้องหนึ่งด้วย โดยน้องหนึ่ง กล่าวว่า ครอบครัวของตนและน้องต้นนั้นมีฐานะยากจน มีการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้างทำงานก่อสร้างเพื่อประทังชีวิต ซึ่งตนและน้องต้น เรียนจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จาก อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ เท่านั้น ที่จริงตนและน้องต้นอยากจะเรียนต่อ แต่เนื่องจากฐานะทางครอบครัวยากจน ทำให้ไม่สามารถเรียนต่อได้ จึงต้องเลิกเรียนและออกมาช่วยครอบครัวทำงาน โดยตนและน้องต้นจะมาทำงานรับจ้างที่กรุงเทพฯ แต่ก็ถูกลักพาตัวไปขายให้เป็นแรงงานทาสบนเรือประมง จึงอยากวอนขอให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือครอบครัวของตนและน้องต้น เพื่อที่ตนและน้องต้น จะได้มีโอกาสกลับไปเรียนต่ออีกครั้ง


 


ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลคนหายฯ มูลนิธิกระจกเงา ได้ทำหนังสือขอความอนุเคราะห์ให้ประสานงานช่วยเหลือเหยื่อของการค้ามนุษย์ ไปที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะที่เป็นหน่วยงานรัฐซึ่งมีหน้าที่ดูแลปัญหาการค้ามนุษย์ โดยศูนย์ข้อมูลคนหายฯ เรียกร้องให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ครอบครัวของบุคคลทั้งสอง เพื่อเป็นการเยียวยาความเดือดร้อนในลำดับแรก ประการที่ 2 ประสานงานไปยังพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัว และให้ความช่วยเหลือในฐานะของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ 3.ประสานงานเรื่องทุนการศึกษาแก่ น้องต้นและน้องหนุ่ม เนื่องจากผู้เสียหายทั้งสอง ประสงค์ที่จะเรียนหนังสือต่อ แต่ขาดทุนทรัพย์


 


และ 4. เนื่องจากกรณี การลักพาตัว และการล่อลวงในลักษณะดังกล่าว ถือเป็นภัยที่สังคมต้องตระหนักในการป้องกันและแก้ไขปัญหาร่วมกัน จึงขอเสนอให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดประชุมย่อยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ เช่น บริษัทขนส่งจำกัด สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ นายสถานีรถไฟหัวลำโพง และผู้ที่ควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยบริเวณสถานีขนส่งต่างๆ ให้เข้มงวดกวดขันและวางมาตรการป้องกันภัยดังกล่าว เนื่องจากมิจฉาชีพน่าจะยังคงแฝงตัวอยู่ในสถานที่ดังกล่าว และเพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อนเช่นนี้


 


.................................................. 


ข่าวย้อนหลัง


รายงาน : โปะยา ลักพาตัวกลางหมอชิต ขายลงเรือประมงหัวละหมื่น นาน 7 เดือน


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net