อุทัยวรรณ เจริญวัย
แล้วซีมัวร์ เฮิร์ช ก็กลับมาอีกครั้ง...กับเรื่องร้อนๆ ที่เกี่ยวกับอเมริกา-อิหร่าน
ไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ พ้นไปจากการเตรียมพร้อมทางการทหารเพื่อโจมตีอิหร่าน...อย่างที่มีข่าวออกมาตลอด ยังมีอีกด้านหนึ่งสำหรับ "ยุทธศาสตร์ใหม่ของบุชในตะวันออกกลาง" ที่ชวนให้สยดสยองไม่แพ้กัน
อเมริกากับซาอุดิกำลังจับมือกันเอาจริงเอาจัง...เพื่อผลักดัน "สงครามเย็นระหว่างซุนนี-ชีอะต์" ซึ่งพร้อมจะส่งผลสะเทือนไปทั่วภูมิภาค
รายงานของเฮิร์ช ระบุว่า มีการอัดฉีดเงินทุนและความช่วยเหลือให้กับกลุ่มติดอาวุธ "ซุนนีลัทธิสุดขั้ว" หรือที่เรียกกันว่า "ซาลาฟีจิฮัดดิสต์" (Salafi - คือคำที่นิยมใช้เรียกรวมๆ แทน "วาฮาบี") ทั้งในเลบานอนและซีเรีย เพื่อให้เคลื่อนไหวต่อต้าน เฮซบอลเลาะห์ ที่เป็นชีอะต์และเป็นพันธมิตรของอิหร่าน กับต่อต้านรัฐบาลของ บาชาร์ อัล-อาสัด กลุ่มผู้นำซีเรียซึ่งไม่ใช่ซุนนี แต่เป็นอลาวี (Alawi - แนวทางใกล้เคียงมุสลิมชีอะต์) และเป็นพันธมิตรกับอิหร่าน
ในการให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็น 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เฮิร์ชพูดถึงซุนนีกลุ่มต่างๆ ในเลบานอนที่อเมริกาให้ความช่วยเหลือว่า "นี่คือพวกที่มีความเชื่อมโยงกับอัล-ไคดา"
และตัวการสำคัญเบื้องหลังยุทธศาสตร์ที่ว่านี้ ก็ได้แก่ดาราดังระดับ ดิก เชนีย์, เอลเลียต เอเบริมส์, ซัลเมย์ คาลิลสาด ร่วมกับเจ้าชายซาอุดิ บันดาร์ บิน สุลตาน ที่ซี้ปึ้กกับวอชิงตันอย่างมากนั่นเอง
ปฏิบัติการลับหลายๆ อย่างในยุคที่บุช/เชนีย์เป็นใหญ่ - ซึ่งไม่ใช่แค่ส่วนนี้เท่านั้น - เป็นเรื่องที่อาศัยช่องว่างและการพลิกแพลงกระบวนการแบบไม่ต้องผ่านการรายงานคองเกรส (โชยกลิ่นแบบ "อิหร่าน-คอนทรา" มาแต่ไกล) และนี่คือประเด็นสำคัญอันหนึ่งที่เฮิร์ชตั้งคำถาม
งานชิ้นนี้แปลมาจาก - THE REDIRECTION : Is the Administration"s new policy benefitting our enemies in the war on terrorism?
และเนื่องจากงานชิ้นนี้ยาวมาก จึงมีการตัดกระชับนิดหน่อย และแบ่งเนื้อหาเป็น 2 ตอน (คำอธิบายในวงเล็บเป็นของเฮิร์ช) - อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติแล้ว งานของเฮิร์ชจะเกี่ยวข้องกับข้อมูลและการวิเคราะห์จากเจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือ think tank ของพวกอีลิต/ขวาเป็นหลัก ทำให้มีกลิ่น spin และ propaganda ติดมาเป็นประจำ ประกอบกับข้อมูลบางอย่างอาจจะไม่ชัดเจนและต้องการหลักฐานประกอบ ขอฝากผู้อ่านทุกท่านใช้วิจารณญาณเข้มข้นควบคู่ไปด้วยค่ะ o
- - - - -
[ แถมท้ายนิดนึง : ไม่กี่วันมานี้ อเมริกาได้มีการส่งสัญญาณทางการทูตใหม่ๆ ให้หลายคนตื่นเต้นแอบลุ้น แต่จนถึงขณะนี้ ยังเป็นที่สงสัยกันว่า..อเมริกาจะพร้อมเจรจาแบบ "หนึ่งต่อหนึ่ง" กับอิหร่าน เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทั้งหมดหรือเปล่า? หรือว่าท่าทีใหม่ (รวมการประชุมอินเตอร์หลายฝ่ายที่อิรัก 10 มีนาคมนี้) จะเป็นแค่ "เกมสร้างภาพ" ที่ต้องเล่นไปพร้อมๆ กัน? อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์อีกครั้ง - หรือแม้แต่ยูเทิร์นไปเลย - เป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ เพราะเบื้องหลังนโยบาย "เผชิญหน้ากับอิหร่าน" เวอร์ชันนีโอคอนอย่างที่เป็นอยู่นี้ ยังคงมีเสียงแตกเสียงค้านจากอีลิตและกลุ่มอำนาจอื่นๆ ดังขึ้นตลอด รวมทั้งนายทหารบิ๊กๆ หลายรายที่ไม่อยากเปิดศึกกับอิหร่านแม้แต่น้อย เพราะงั้น งานนี้...จึงต้องจับตากันต่อไปในระยะกระชั้นชิด - - แม้ว่านักวิเคราะห์บางรายในหมู่ปัญญาชนซ้ายจะค่อนข้างชัวร์ว่า มันเป็นเรื่องของฉากหน้าที่ "ไร้ความหมาย" เหมือนๆ กับ...การพบกันระหว่างอาห์มาดิเนจัดกับกษัตริย์อับดุลลาห์เมื่อเสาร์ที่ผ่านมาน่ะแหละ ]
0 0 0
THE REDIRECTION
หรือว่านโยบายปรับใหม่ของอเมริกาคือการเอิ้อประโยชน์ให้ "ซาลาฟี/อัล-ไคดา" ?
ซีมัวร์ เอ็ม. เฮิร์ช
25 กุมภาพันธ์ 2007
การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ขณะที่สถานการณ์ในอิรักเข้าขั้นทรุดหนัก คณะผู้บริหารบุชก็ได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ตะวันออกกลางครั้งใหม่ โดยใช้ทั้งวิถีทางการทูตและปฏิบัติการลับเข้าช่วย ยุทธศาสตร์ใหม่หรือ "Redirection" - คำที่บางคนในทำเนียบขาวเรียกกัน - กำลังชักนำอเมริกาให้ขยับเข้าใกล้การเผชิญหน้าโดยตรงกับอิหร่าน ขณะที่ในหลายๆ พื้นที่ของตะวันออกกลาง มันยังเป็นตัวโหมสร้างกระแสความขัดแย้งระหว่างซุนนี-ชีอะต์ให้ลุกลามไปด้วย
เพื่อที่จะบั่นทอนทำลายอิทธิพลอิหร่าน-ชาติที่ชีอะต์มีอำนาจ บุชได้จัดลำดับภารกิจสำคัญของเขาใหม่ ในเลบานอน คณะผู้บริหารได้ร่วมมือกับรัฐบาลของซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็นชาติซุนนี เคลื่อนไหวปฏิบัติการลับโดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายความแข็งแกร่งของเฮซบอลเลาะห์ พร้อมกันนั้น อเมริกายังมีส่วนในปฏิบัติการลับอื่นๆ ซึ่งพุ่งเป้าไปที่อิหร่านและซีเรียเช่นกัน ผลลัพธ์ที่แถมมาด้วยของงานนี้ก็คือ อเมริกากำลังปลุกปั้นส่งเสริมมุสลิมซุนนีสุดขั้วกลุ่มต่างๆ ให้ผงาดขึ้นมา ซึ่งก็ได้แก่พวกที่สนับสนุนแนวทางใช้กำลังต่อสู้ของอิสลาม เป็นปฏิปักษ์ต่ออเมริกา และเห็นอกเห็นใจอัล-ไคดานั่นเอง
ยุทธศาสตร์ใหม่นี้ยังมีความขัดแย้งในตัวเองอีกแง่หนึ่ง นั่นก็คือ ในกรณีของอิรัก ความรุนแรงส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นกับกองทัพอเมริกามาจากกองกำลังซุนนี ไม่ใช่ชีอะต์ ยิ่งกว่านั้น สำหรับคณะผู้บริหารบุชแล้ว ผลลัพธ์ทางยุทธศาสตร์จากสงครามอิรักที่พวกเขาไม่ได้ตั้งใจแต่กลายเป็นเรื่องใหญ่ส่งผลสะเทือนมากที่สุดก็คือ...การทำให้อิหร่านมีอำนาจมากขึ้น
หลังการปฏิวัติในปี 1979 ที่ส่งให้ผู้นำศาสนาขึ้นมามีอำนาจ อเมริกาได้ตัดความสัมพันธ์กับอิหร่านและหันไปผูกมิตรใกล้ชิดกับผู้นำรัฐซุนนีมากขึ้น อาทิ จอร์แดน อียิปต์ และซาอุดิอาระเบีย แต่แล้วการคิดคำนวณเรื่องผลประโยชน์ต่างๆ ก็ชักจะซับซ้อนขึ้นหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน โดยเฉพาะในกรณีของซาอุดิอาระเบีย เพราะอัล-ไคดาคือซุนนี และผู้ปฏิบัติการของมันจำนวนมากมาจากแวดวงลัทธิสุดขั้วในซาอุดิอาระเบีย - - ก่อนอเมริกาบุกยึดอิรักในปี 2003 เจ้าหน้าที่ของฝ่ายบริหารภายใต้การครอบงำของนีโอคอนคาดการณ์ว่า รัฐบาลชีอะต์ที่จะเกิดขึ้นตามมา จะเป็นฝ่ายโปร-อเมริกาและจะช่วยเสริมดุลอำนาจระหว่างอเมริกากับพวกซุนนีสุดขั้ว เนื่องจากชาวชีอะต์ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศคือฝ่ายที่ถูกกดขี่ข่มเหงมาก่อนในยุคของซัดดัม ฮุสเซน คนพวกนั้นไม่สนใจคำเตือนจากเจ้าหน้าที่ข่าวกรองหลายฝ่ายในเรื่องโยงใยสัมพันธ์ระหว่างเหล่าผู้นำชีอะต์ในอิรักกับอิหร่าน และปัจจุบันนี้เอง ท่ามกลางความไม่สบายใจของทำเนียบขาว อิหร่านก็ได้สานสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลของ นูรี อัล-มาลิกี ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ชีอะต์เป็นใหญ่ไปเรียบร้อย
นโยบายใหม่ของอเมริกา เฉพาะในส่วนของแนวทางกว้างๆ เป็นส่วนที่ผ่านการอภิปรายต่อสาธารณะมาแล้ว ในการให้ปากคำต่อหน้าคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของวุฒิสภา เดือนมกราคม รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ คอนโดลีซซา ไรซ์ กล่าวว่า มี "การแบ่งฝักฝ่ายทางยุทธศาสตร์ใหม่สำหรับตะวันออกกลาง" โดยเธอได้แยก "พวกหัวปฏิรูป" (reformer) กับ "พวกแนวคิดสุดขั้ว" (extremist) ออกจากกัน ไรซ์พูดถึงรัฐซุนนีทั้งหลายว่าเป็นศูนย์กลางของแนวทางสายกลาง-ประนีประนอม พร้อมกับกล่าวว่า อิหร่าน ซีเรีย และเฮซบอลเลาะห์ "อยู่ฝั่งตรงข้ามของการแบ่งฝ่ายที่ว่านี้" (ซีเรียเป็นชาติที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นซุนนี แต่อยู่ภายใต้การนำของพวก "อลาวี") ไรซ์ยังกล่าวอีกว่า อิหร่านและซีเรีย "ได้ตัดสินใจเลือกแล้ว และสิ่งที่พวกเขาเลือกก็คือการทำลายเสถียรภาพ"
อย่างไรก็ตาม ยุทธศาสตร์ใหม่ Redirection ในส่วนของยุทธวิธีหรือแทคติกหลักๆ ยังคงเป็นเรื่องที่พ้นหูพ้นตาสาธารณะ ในหลายๆ กรณี ปฏิบัติการลับถูกเก็บไว้เป็นเรื่องลึกลับ โดยปล่อยให้ซาอุดิเป็นผู้ดำเนินการหรือบริหารงบต่างๆ ของอเมริกาแทน หรือไม่ก็โดยการพลิกแพลงหาช่องทางอื่นๆ ที่ไปพ้นจากกระบวนการจัดสรรงบประมาณของคองเกรสตามปกติ - - เจ้าหน้าที่ที่ใกล้ชิดกับคณะผู้บริหารทั้งในอดีตและปัจจุบันกล่าว
สมาชิกระดับสูงในคณะกรรมาธิการจัดสรรงบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรบอกกับผมว่า เขาได้ยินเรื่องยุทธศาสตร์ใหม่อยู่เหมือนกัน แต่กลับรู้สึกว่า...สมาชิกในคณะกรรมาธิการฯ จะไม่ได้ "รับบริ๊ฟ" หรือรับฟังคำอธิบายสรุปในเรื่องนี้สักเท่าไหร่
"เราไม่ได้ข้อมูลในเรื่องนี้เลย" เขาพูด "เราถามว่ามีการดำเนินการอะไรไปบ้าง...พวกเขาบอกว่าไม่มี พอเราถามคำถามที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น...พวกเขาก็บอกว่า-เอาไว้เราจะกลับมาหาคุณใหม่ เรื่องนี้ทำให้เราอึดอัดใจมาก"
ผู้เล่นสำคัญที่อยู่เบื้องหลังยุทธศาสตร์ใหม่ ได้แก่ รองประธานาธิบดี ดิก เชนีย์, รองที่ปรึกษาประธานาธิบดีด้านความมั่นคง เอลเลียต เอเบริมส์, ทูตอเมริกาประจำอิรักซึ่งกำลังจะหมดวาระ (ได้รับการเสนอชื่อเป็นทูตประจำยูเอ็น) ซัลเมย์ คาลิลสาด, และ เจ้าชายบันดาร์ บิน สุลตาน (Prince Bandar bin Sultan) ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของซาอุดิอาระเบีย - - ขณะที่ไรซ์มีส่วนอย่างมากในการผลักดันและกำหนดแนวทางนโยบายด้านที่เปิดเผย ด้านลับของนโยบายกลับตกอยู่ภายใต้การนำของเชนีย์ เจ้าหน้าที่ในอดีตและปัจจุบันกล่าว (ทีมงานของเชนีย์และทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเรื่องนี้ ส่วนเพนตากอนไม่ตอบคำถามที่ถามไป แต่พูดกว้างๆ ว่า "อเมริกาไม่ได้วางแผนจะทำสงครามกับอิหร่าน")
การปรับนโยบายครั้งนี้ ได้ชักนำให้ซาอุดิอาระเบียและอิสราเอลเข้ามาเป็นแนวร่วมสำคัญทางยุทธศาสตร์ใหม่ไปด้วย เหตุผลหลักคือทั้งสองประเทศต่างก็เห็นอิหร่านเป็นภัยคุกคามที่มีอยู่จริง พวกนั้นยังเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในเรื่องการพูดคุยเจรจาโดยตรง ในส่วนของซาอุดิอาระเบีย พวกเขาเชื่อว่า การทำให้เกิดเสถียรภาพมากขึ้นในอิสราเอล-ปาเลสไตน์ จะทำให้อิหร่านมีอำนาจกำกับควบคุมลดลงในภูมิภาคนี้ ซาอุดิจึงพยายามที่จะเข้าไปมีบทบาทมากขึ้นในการเจรจาต่อรองระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์
ยุทธศาสตร์ใหม่ "เป็นการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในนโยบายอเมริกัน - เรียกได้ว่า sea change ไปเลย" ที่ปรึกษารัฐบาลอเมริกาซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอิสราเอลกล่าว รัฐซุนนี "กลัวการฟื้นขึ้นมาเรืองอำนาจของชีอะต์ และเริ่มจะไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เราไปเล่นพนันอยู่ข้างชีอะต์สายกลางในอิรัก" เขากล่าว "เราไม่สามารถทำให้เหตุการณ์พลิกกลับหรือเรียกคืนสิ่งที่ชีอะต์ในอิรักได้ไปแล้ว แต่เราสามารถควบคุมจำกัดไม่ให้พวกนั้นมีอำนาจมากขึ้นได้"
"ดูเหมือนว่า มันจะมีการถกเถียงกันในรัฐบาลว่า อะไรเป็นอันตรายมากกว่า...อิหร่านหรือว่าซุนนีลัทธิสุดขั้ว" วาลี นัสเซอร์ (Vali Nasr) สมาชิกอาวุโสของ Council on Foreign Relations เจ้าของงานเขียนมากมายเกี่ยวกับชีอะต์ อิหร่าน อิรัก กล่าวกับผม "ซาอุดิและบางส่วนในคณะผู้บริหารเป็นฝ่ายที่โต้แย้งว่า ภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดคืออิหร่าน ซุนนีหัวรุนแรงเป็นศัตรูที่น่ากลัวน้อยกว่า และนี่ก็คือชัยชนะของสายซาอุดิ"
มาร์ติน อินไดก์ (Martin Indyk) เจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงต่างประเทศในยุคบิล คลินตัน ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งทูตประจำอิสราเอลด้วยเช่นกัน กล่าวว่า "ตะวันออกกลางกำลังมุ่งหน้าไปสู่สงครามเย็นแบบเอาจริงระหว่างซุนนีกับชีอะต์"
อินไดก์ ประธานสถาบัน
นโยบายจำกัดควบคุมอิหร่านดูจะสร้างความยุ่งยากให้กับยุทธศาสตร์เพื่อชัยชนะในสงครามอิรักไปด้วย อย่างไรก็ตาม แพทริก คลอว์ซัน (Patrick Clawson) ผู้เชี่ยวชาญด้านอิหร่านและรองประธานฝ่ายวิจัยของสถาบัน Washington Institute for Near East Policy กลับเห็นว่า สายสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างสหรัฐอเมริกาและซุนนีสายกลาง หรือแม้กระทั่งซุนนีลัทธิสุดขั้ว สามารถสร้าง "ความกลัว" ให้กับรัฐบาลของมาลิกี และ "ทำให้เขาวิตกว่าฝ่ายซุนนีอาจจะชนะขึ้นมาจริงๆ" ในสงครามกลางเมืองของอิรัก คลอว์ซันบอกว่า มันอาจจะเป็นแรงจูงใจให้มาลิกีร่วมมือกับอเมริกามากขึ้นในการปราบปรามกองกำลังติดอาวุธชีอะต์หัวรุนแรง อย่างเช่น กองทัพมาห์ดีของ มุกตาดาร์ อัล-ซาเดอร์
แต่ถึงกระนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้กลับกลายเป็นว่า อเมริกายังเป็นฝ่ายที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้นำชีอะต์อย่างมาก กองทัพมาห์ดีอาจจะเป็นปฏิปักษ์ต่อผลประโยชน์ของอเมริกาอย่างเปิดเผย แต่กองกำลังติดอาวุธอื่นๆ ของชีอะต์ยังถูกนับว่าเป็นพันธมิตรกับอเมริกาอยู่ นอกจกานี้ ทั้งมุกตาดาร์ อัล-ซาเดอร์ และทำเนียบขาว ต่างก็หนุนหลังมาลิกีเหมือนกัน ในบันทึกของที่ปรึกษาประธานาธิบดีด้านความมั่นคง สตีเฟน แฮดลีย์ (Stephen Hadley) เมื่อปลายปีที่แล้ว ได้แนะนำให้คณะผู้บริหารพยายามแยกมาลิกีออกจากพันธมิตรชีอะต์สุดขั้วของเขา โดยการสร้างฐานสนับสนุนจากเคิร์ดและซุนนีสายกลาง แต่จนถึงเดี๋ยวนี้ แนวโน้มดูจะออกไปในทางตรงข้ามมากกว่า กองทัพของทางการอิรักเองยังคงล้มเหลวในการสู้รบกับฝ่ายต่อต้าน ขณะที่กองกำลังติดอาวุธของชีอะต์กลับมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ
ฟลินต์ เลฟเวอเรต (Flynt Leverett) อดีตเจ้าหน้าที่สภาความมั่นคงแห่งชาติของคณะผู้บริหารบุช กล่าวกับผมว่า "ไม่ใช่เรื่องพ้องกันโดยบังเอิญ และไม่มีอะไร ironic (ผลลัพธ์ออกมาตรงข้ามแบบประชดประชัน)" สำหรับยุทธศาสตร์ใหม่ของเราในส่วนที่เกี่ยวกับอิรัก "คณะผู้บริหารพยายามจะสร้างเรื่องว่าอิหร่านเป็นอันตรายมากกว่าและสร้างความเดือดร้อนมากกว่าฝ่ายต่อต้านซุนนีในอิรัก ทั้งๆ ที่ - ถ้าเราดูจากตัวเลขความเสียหายจริงๆ - สิ่งฝ่ายต่อต้านซุนนีกระทำต่ออเมริกา เมื่อเทียบกันแล้ว มันมากกว่า...มันมีขนาดมหาศาลกว่า" เขากล่าว "และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญกระตุ้นยั่วยุเพื่อที่จะสร้างความกดดันให้อิหร่านมากขึ้น ความคิดเบื้องหลังมีอยู่ว่า ถึงจุดๆ หนึ่งอิหร่านจะตอบโต้ และตอนนั้นเองช่องทางก็จะเปิดให้คณะผู้บริหารโจมตีอิหร่าน"
ในสุนทรพจน์วันที่ 10 มกราคม ประธานาธิบดีจอร์จ บุช ได้สะท้อนบางส่วนของแนวทางนี้ออกมา "ระบอบปกครองทั้งสอง" หมายถึงอิหร่านและซีเรีย "ได้ปล่อยให้ผู้ก่อการร้ายและผู้ก่อความไม่สงบใช้ดินแดนของมันในการเคลื่อนไหวเข้าออกอิรัก" บุชกล่าว "อิหร่านได้ให้การสนับสนุนด้านวัสดุอุปกรณ์ในการโจมตีทหารอเมริกา เราจำเป็นจะต้องหยุดยั้งขัดขวางการโจมตีนี้ เราจำเป็นจะต้องขัดขวางความช่วยเหลือที่ไหลเข้ามาจากอิหร่านและซีเรีย เราจะค้นหาและทำลายเครือข่ายที่ฝึกอบรมและจัดส่งอาวุธร้ายแรงมาให้ศัตรูของเราในอิรัก"
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ก็มีข้อกล่าวหาตามมาเป็นระลอกจากรัฐบาลบุชว่าอิหร่านเข้าไปยุ่งเกี่ยวในสงครามอิรัก 11 กุมภาพันธ์ มีการนำระเบิดไออีดีชนิดที่พัฒนาไปอีกระดับมาโชว์นักข่าว เป็นระเบิดที่พบในอิรักและคณะผู้บริหารอ้างว่ามาจากอิหร่าน โดยสรุป สารจากคณะผู้บริหารมีอยู่ว่า สถานการณ์เลวร้ายในอิรักไม่ได้เป็นผลมาจากความล้มเหลวในการวางแผนและดำเนินการของตน...แต่เป็นผลมาจากการแทรกแซงของอิหร่าน
กองทัพอเมริกาได้จับกุมและสอบสวนชาวอิหร่านในอิรักหลายร้อยคน "ตั้งแต่สิงหาคมปีที่แล้ว มีคำสั่งให้กองทัพรวบตัวชาวอิหร่านในอิรักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้" อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงฝ่ายข่าวกรองกล่าว "มีช่วงหนึ่งเราขังไว้ถึงห้าร้อยคน เราสอบสวนหาข้อมูลจากคนพวกนั้น เป้าหมายของทำเนียบขาวก็คือการหาหลักฐานมาสนับสนุนประเด็นที่ว่า ชาวอิหร่านเข้ามาส่งเสริมปลุกปั่นขบวนการก่อความไม่สงบในอิรัก โดยมีการทำกันมานานแล้ว และนั่นย่อมหมายถึงว่า จริงๆ แล้ว อิหร่านนั่นเอง คือผู้สนับสนุนให้ฆ่าทหารอเมริกัน"
ที่ปรึกษาของเพนตากอนยืนยันว่า ไม่กี่เดือนมานี้ มีชาวอิหร่านหลายร้อยที่ถูกทหารอเมริกันจับมา แต่เขาบอกว่ายอดนี้รวมไปถึงชาวอิหร่านที่ทำงานด้านบรรเทาทุกข์ให้ความช่วยเหลือจำนวนมาก "ซึ่งถูกอุ้มมาและปล่อยไปในช่วงเวลาสั้นๆ" หลังจากนำตัวมาสอบสวนแล้ว
"เราไม่ได้วางแผนจะทำสงครามกับอิหร่าน" รอเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ประกาศเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ แต่ถึงกระนั้น บรรยากาศของการเผชิญหน้าก็ถลำลึกเข้าไปทุกที ตามคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ในกองทัพและฝ่ายข่าวกรองทั้งในอดีตและปัจจุบัน มีการดำเนินการด้านปฏิบัติการลับในเลบานอนไปพร้อมกับปฏิบัติการลับเพื่อโจมตีอิหร่าน ทีมปฏิบัติการพิเศษและกองทัพอเมริกากำลังเดินหน้าเคลื่อนไหวหนักขึ้นในอิหร่านเพื่อสนับสนุนด้านการข่าว และตามคำของที่ปรึกษาเพนตากอนด้านการก่อการร้ายรวมทั้งอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองระดับสูงนายหนึ่ง ทีมปฏิบัติการลับเหล่านั้นยังได้ข้ามพรมแดนอิรักเข้าไปไล่ล่าตามหาฝ่ายปฏิบัติการของอิหร่าน
คณะผู้บริหารกำลังตรวจสอบข่าวกรองใหม่ๆ เกี่ยวกับโครงการอาวุธของอิหร่าน เจ้าหน้าที่อเมริกันทั้งอดีตและปัจจุบันบอกว่า ในส่วนของข่าวกรองซึ่งได้มาจากเจ้าหน้าที่อิสราเอลที่ปฏิบัติการอยู่ในอิหร่าน มีข้อกล่าวหาหนึ่งที่ระบุว่า อิหร่านกำลังพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีปชนิดเชื้อเพลิงแข็ง-หลายหัวรบ ระยะยิงไกลถึงยุโรป อย่างไรก็ตาม ความน่าเชื่อถือของข่าวกรองนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
ในอดีต ข้อกล่าวหาแบบเดียวกันในเรื่องภัยคุกคามที่ล่อแหลมใกล้ตัวอันเนื่องมาจากอาวุธทำลายล้างสูง ถูกนำมาใช้เป็นบทโหมโรงเพื่อการโจมตีอิรักมาแล้ว ด้วยเหตุนี้สมาชิกจำนวนมากของสภาคองเกรสจึงเกิดความคลางแคลงใจตามมาเมื่อได้ยินได้ฟังข้อกล่าวหาเกี่ยวกับอิหร่าน 14 กุมภาพันธ์ ในวุฒิสภา ฮิลลารี คลินตัน พูดว่า "เราทั้งหมดต่างก็ได้เรียนรู้บทเรียนจากกรณีความขัดแย้งกับอิรักมาแล้ว เราควรจะนำมันมาใช้กับข้อกล่าวหาใดๆ ก็ตามเกี่ยวกับอิหร่าน เหตุผลก็เพราะว่า...ท่านประธานาธิบดีที่เคารพ...สิ่งที่เราได้ยินอยู่ตอนนี้มันฟังคุ้นหูเหลือเกิน เราจึงจำเป็นต้องระแวดระวัง ว่าเราจะไม่ตัดสินใจบนข้อมูลข่าวกรองที่ผิดพลาดอีกครั้งหนึ่ง"
แต่ถึงกระนั้น เพนตากอนก็ยังคงคร่ำเคร่งจริงจังกับการวางแผนโจมตีอิหร่านซึ่งอาจจะมีขึ้น กระบวนการทั้งหมดเริ่มต้นตั้งแต่ปีที่แล้วภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดี และระยะหลัง ไม่กี่เดือนมานี้ ตามที่อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองคนหนึ่งบอกกับผม มีการจัดตั้งทีมงานพิเศษขึ้นมาในสำนักงานของ หัวหน้าเสนาธิการทหารร่วม (Joint Chiefs of Staff) เพื่อทำหน้าที่วางแผนเตรียมพร้อมสำหรับการบอมบ์อิหร่าน "แผนเผชิญเหตุ" (contingency plan) ที่ว่านี้ จะเป็นแผนพร้อมปฏิบัติการทันทีภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากประธานาธิบดีมีคำสั่งออกมา
เดือนที่แล้ว ที่ปรึกษากองทัพอากาศด้านการโจมตีเป้าหมายและที่ปรึกษาเพนตากอนด้านการก่อการร้าย ได้ให้ข้อมูลกับผมว่า ทีมวางแผนอิหร่านได้รับมอบหมายงานชิ้นใหม่เพิ่มเติม นั่นก็คือ ให้กำหนดเป้าหมายในอิหร่านที่เกี่ยวข้องกับการซัพพลายอาวุธยุทโธปกรณ์หรือให้ความช่วยเหลือกลุ่มต่างๆ ที่ต่อสู้อยู่ในอิรักไปด้วย ก่อนหน้านี้ภารกิจหลักของทีมงานมุ่งไปที่การทำลายโรงงานนิวเคลียร์และการเปลี่ยนระบอบปกครองหรือ regime change ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา
ขณะนี้ เรือบรรรทุกเครื่องบินทั้งสองกลุ่ม - ไอเซนฮาวร์กับสเตนนิส - ต่างก็พร้อมหน้าอยู่ในทะเลอาหรับแล้ว ตามแผนที่ร่างขึ้นมาแผนหนึ่ง เรือทั้งสองจะหมดหน้าที่ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็มีความวิตกภายในกองทัพว่า มันอาจจะต้องอยู่ต่อไปแม้จะมีเรือบรรทุกเครื่องบินกลุ่มใหม่เข้ามารับหน้าที่ต่อก็ตาม ทั้งนี้จากคำบอกเล่าของแหล่งข่าวหลายฝ่าย - - อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองระดับสูงคนหนึ่งกล่าวว่า แผนเตรียมพร้อมฉบับปัจจุบันนี้ เป็นแผนที่พร้อมสำหรับคำสั่งโจมตีถ้าจะมีขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ อย่างไรก็ตาม เขาเสริมว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงในสำนักงานของหัวหน้าเสนาธิการทหารร่วมต่างก็หวังใจว่า ทำเนียบขาวจะไม่ "โง่พอที่จะทำมัน ทั้งๆ ที่อิรักยังเป็นแบบนี้ และทั้งๆ ที่มันจะ สร้างปัญหาตามมาอีกมากให้กับรีพับลิกันในปี 2008"
เกมของเจ้าชายบันดาร์
ความพยายามของคณะผู้บริหารที่จะลดอำนาจอิหร่านในตะวันออกกลาง ต้องเกี่ยวข้องขึ้นอยู่กับซาอุดิอาระเบีย และ เจ้าชายบันดาร์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของซาอุดิอาระเบียอย่างมาก ก่อนหน้านี้ บันดาร์เป็นทูตซาอุดิประจำอเมริกามา 22 ปี จนถึงปี 2005 หลังจากนั้นเขายังคงรักษาสายสัมพันธ์กับประธานาธิบดีบุชและรองประธานาธิบดีเชนีย์อยู่ ในตำแหน่งใหม่ เขายังคงพบปะเป็นส่วนตัวกับผู้นำอเมริกาทั้งสอง ไม่นานนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงในทำเนียบขาวได้เดินทางไปซาอุดิอาระเบียหลายครั้ง และบางครั้งการเดินทางของพวกเขาก็ไม่เป็นที่เปิดเผย
พฤศจิกายนปีที่แล้ว เชนีย์เดินทางไปซาอุดิอาระเบีย เพื่อพบกับ กษัตริย์อับดุลลาห์ และเจ้าชายบันดาร์ ไทมส์รายงานว่า กษัตริย์ซาอุดิเตือนเชนีย์ว่า ซาอุดิอาระเบียจะหนุนหลังซุนนีในอิรักซึ่งเป็นซุนนีเหมือนกัน ถ้าอเมริกาถอนทหารจากอิรัก เจ้าหน้าที่ข่าวกรองยุโรปบอกผมว่า นอกจากนี้ การพบปะกันยังมีประเด็นเกี่ยวกับความหวาดหวั่นของซาอุดิในเรื่อง "กระแสที่พุ่งขึ้นของชีอะต์" รวมอยู่ด้วย และเพื่อเป็นการรับมือกับกระแสนี้ "ซาอุดิกำลังจะเริ่มใช้อำนาจต้านทานของมันแล้ว - อำนาจเงิน"
ในราชวงศ์ซาอุดซึ่งเต็มไปด้วยการแข่งขันชิงดีชิงเด่น หลายปีที่ผ่านมา บันดาร์ได้สร้างฐานอำนาจมาจากความใกล้ชิดสนิมสนมกับอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อราชวงศ์ซาอุดิ หลังบันดาร์พ้นจากตำแหน่งทูต ผู้ที่มารับหน้าที่ต่อจากเขาคือ เจ้าชายเทอร์กี อัล-ไฟซาล (Prince Turki al-Faisal) หลังจากนั้น 18 เดือน เทอร์กีลาออกและถูกแทนที่ด้วย อเดล เอ. อัล-จูเบียร์ (Adel A. al-Jubeir) ข้าราชการที่เป็นคนของบันดาร์ อดีตทูตซาอุดิคนหนึ่งบอกผมว่า ระหว่างที่เทอร์กีเป็นทูตอยู่ เขาไปรู้มาว่ามีการพบปะกันเป็นส่วนตัวเกิดขึ้นหลายครั้งระหว่างบันดาร์กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาว ซึ่งรวมไปถึงเชนีย์ และ เอลเลียต เอเบริมส์ ด้วย "ผมเดาว่าเทอร์กีคงไม่แฮ็ปปี้กับสิ่งที่เกิดขึ้น" อดีตทูตกล่าว แต่--เขาเสริมว่า "ผมไม่คิดว่าบันดาร์อยากจะทิ้งตำแหน่งนี้ไปไหน" และแม้ว่าเทอร์กีจะไม่ชอบบันดาร์ แหล่งข่าวชาวซาอุดิคนนี้ยืนยันว่า ทั้งสองต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันในเรื่องการรับมือกับอำนาจชีอะต์ในตะวันออกกลาง
การแตกแยกแบ่งฝ่ายระหว่างซุนนี-ชีอะต์ มีที่มาย้อนหลังไปได้ถึงศตวรรษที่ 7 จากประเด็นขัดแย้งที่ว่า...ใครควรจะเป็นผู้นำโลกมุสลิมสืบต่อจากศาสดาโมฮัมเหม็ด ในอาณาจักรปกครองของอิสลามสมัยกลางรวมทั้งในจักรวรรดิออตโตมัน ซุนนีคือฝ่ายที่อยู่ศูนย์กลางของอำนาจและมีอิทธิพลครอบงำโลกมุสลิมมากกว่า ขณะที่ชีอะต์ถูกมองว่าเป็นเพียงพวกที่อยู่วงนอกมาแต่ไหนแต่ไร ปัจจุบัน มีการประเมินว่ามุสลิมทั่วโลกเป็นชาวซุนนีถึง 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ถึงกระนั้น ชีอะต์ก็นับเป็นประชากรส่วนใหญ่ของอิหร่าน อิรัก และบาห์เรน รวมทั้งเป็นมุสลิมกลุ่มใหญ่ที่สุดในเลบานอนด้วย และความหนาแน่นของชุมชนชีอะต์ในภูมิภาคที่อุดมไปด้วยน้ำมันและมีความผันผวนทางการเมืองสูงเช่นนี้เอง ก็ได้ทำให้ผู้นำฝ่ายซุนนีและตะวันตกต้องเป็นกังวลเรื่องการขึ้นมามีอำนาจของดินแดน "จันทร์เสี้ยวชีอะต์" (
"ซาอุดิยังคงมองโลกแบบหลงอยู่ในยุคอาณาจักรอ็อตโตมัน ช่วงที่ซุนนีเป็นใหญ่ และชีอะต์อยู่ในสถานะต่ำสุด" เฟดเดอริก ฮอฟ (Frederic Hof ) นายทหารผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางที่เกษียณแล้วกล่าวกับผม ถ้าบันดาร์ได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้ที่ทำให้นโยบายของอเมริกาหันมาตอบสนองความต้องการของซาอุดิมากขึ้น ฮอฟกล่าวว่า มันจะช่วยส่งเสริมสถานภาพของเขาภายในราชวงศ์อย่างมาก
ซาอุดิไม่เพียงกลัวว่าอิหร่านจะทำลายดุลอำนาจเดิมที่มีอยู่ในภูมิภาค แต่พวกเขายังห่วงเรื่องดุลอำนาจในประเทศของตนด้วย ในซาอุดิอาระเบีย มีชนกลุ่มน้อยชีอะต์รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนพอสมควรอยู่ในจังหวัดทางด้านตะวันออก พื้นที่ที่มีบ่อน้ำมันหลักๆ ตั้งอยู่และสถานการณ์ระหว่างสองนิกายมีความตึงเครียดสูง ราชวงศ์ของซาอุดิเชื่อว่า มีหน่วยปฏิบัติการลับของอิหร่านร่วมเคลื่อนไหวกับชาวชีอะต์ในท้องถิ่น โดยอยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายหลายครั้งในซาอุดิอาระเบีย วาลี นัสเซอร์ ให้ความเห็นว่า "วันนี้ กองทัพเดียวที่สามารถจำกัดควบคุมอิหร่านได้" เขาหมายถึงกองทัพอิรักเดิม "ก็ถูกอเมริกาทำลายไปแล้ว ตอนนี้เราก็เลยต้องรับมือเองกับอิหร่าน - ชาติที่มีความสามารถที่จะมีอาวุธนิวเคลียร์และมีกองทัพประจำการอยู่ 450,000 นาย" (ซาอุดิอาระเบีย มี 75,000)
นัสเซอร์กล่าวต่อไปว่า "ซาอุดิมีวิธีการใช้เงินที่ได้ผลมหาศาล พวกนี้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับทาง Muslim Brotherhood และพวก ซาลาฟี" หมายถึงพวกซุนนีลัทธิสุดขั้วที่มองว่าชีอะต์เป็นพวกละทิ้งหลักการหรือนอกรีต "ครั้งที่แล้วที่อิหร่านทำท่าว่าเป็นภัยคุกคาม ซาอุดิสามารถระดมกำลังพวกหัวรุนแรงซุนนีชนิดที่สยองขวัญสุดๆ ให้ออกมาเคลื่อนไหวแทนมันได้ แต่ก็นั่นแหละ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเอาคนพวกนี้ออกมาจากกล่องแล้วล่ะก็....คุณไม่มีทางจับมันยัดกลับที่เดิมได้หรอก"
และนี่เอง ผลที่ตามมาก็คือ เหล่าผู้นำในราชวงศ์ซาอุดิ จึงตกที่นั่งเป็นทั้งสปอนเซอร์และเป็นเป้าโจมตีของพวกซุนนีลัทธิสุดขั้วไปพร้อมๆ กัน อันเนื่องมาจากในอีกด้านหนึ่งนั้น คนเหล่านั้นก็ต่อต้านการคอรัปชันและความเสื่อมทรามทางศีลธรรมของบรรดาเจ้าชายทั้งหลายไปด้วย ปัจจุบัน ราชวงศ์ของซาอุดิกำลังเล่นเกมพนันที่ว่า ตราบเท่าที่พวกเขายังให้การอุปถัมภ์ค้ำจุนโรงเรียนศาสนา องค์กรการกุศล หรือสถาบันบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ ที่มีโยงใยกับพวกสุดขั้วเหล่านี้แล้ว พวกเขาจะไม่ถูกโค่นล้ม และนโยบายใหม่ของผู้บริหารในวอชิงตันก็เป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับเกมพนันต่อรองที่ว่านี้อย่างมาก
นัสเซอร์ได้หยิบยกสถานการณ์ปัจจุบันไปเปรียบเทียบกับยุคที่อัล-ไคดาถือกำเนิดขึ้นมาเป็นครั้งแรก ในยุค 1980 จนถึงต้นยุค1990 รัฐบาลซาอุดิได้เสนอตัวให้ความช่วยเหลือซีไอเออเมริกาในการทำสงครามตัวแทนกับสหภาพโซเวียตในอัฟกานิสถาน ยุคนั้น ชายหนุ่มชาวซาอุดิมากมายลายร้อยถูกส่งไปยังบริเวณพรมแดนปากีสถาน เพื่อจัดตั้งโรงเรียนสอนศาสนา ค่ายฝึกนักรบ และปัจจัยพื้นฐานต่างๆ สำหรับผลิตคนเข้าร่วมขบวนการ นักรบหรือผู้ปฏิบัติการที่ได้รับเงินอุดหนุนจากซาอุดิในตอนนั้น - ซึ่งก็เหมือนกับตอนนี้ - ก็คือพวกซาลาฟีสุดขั้วนั่นแหละ และแน่นอนว่าในจำนวนนี้ย่อมรวมไปถึง โอซามา บิน ลาเดน และพรรคพวกของเขา ผู้ก่อตั้งขบวนการ อัล-ไคดา ขึ้นในปี 1988
ในปี 2005 ตามรายงานของ International Crisis Group (ICG) ซาอัด ฮาริรี ผู้นำเสียงข้างมากในรัฐสภาเลบานอน และลูกชายของราฟิก ฮาริรี ซึ่งได้รับมรดกถึงสี่พันล้านดอลลาร์หลังการเสียชีวิตของพ่อ ได้จ่ายเงิน 48,000 ดอลลาร์ เพื่อประกันตัวสมาชิกสี่คนของกลุ่มต่อสู้เพื่ออิสลามจากดินนิยา (Dinniyeh) คนพวกนั้นถูกจับจากกรณีที่พยายามจะจัดตั้งรัฐอิสลามขนาดเล็กขึ้นมาทางตอนเหนือของเลบานอน รายงานชิ้นนี้ระบุว่า สมาชิกจำนวนมากของกลุ่มต่อต้านนี้ "ได้รับการฝึกในค่ายของอัล-ไคดา ในอัฟกานิสถานมาแล้ว"
ตามรายงานของไอซีจี ต่อมา ซาอัด ฮาริรี ได้ใช้อำนาจของเสียงข้างมากในสภาที่เขาคุมอยู่ เพื่อโหวตนิรโทษกรรมให้กับกลุ่มอิสลามมิสต์จากดินนิยา 22 คน รวมทั้งผู้ต้องสงสัยว่าวางระเบิดสถานทูตอิตาลีและยูเครนในปีก่อนหน้านั้นอีก 7 คน (เขายังผลักดันการอภัยโทษให้กับ ซามีร์ จาจา ผู้นำกลุ่มติดอาวุธคริสเตียนมารอนไนท์ ซึ่งถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดจากการก่อเหตุฆาตกรรมศัตรูทางการเมืองสี่ครั้ง ซึ่งรวมไปถึงการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี ราชิด คารามี ในปี 1987 ด้วย) ซาอัด ฮาริรี พูดถึงการเคลื่อนไหวเรื่องนิรโทษกรรมของเขาให้นักข่าวฟังว่า มันเป็นเรื่องของมนุษยธรรม
คณะผู้บริหารบุชได้วาดภาพว่า การให้ความช่วยเหลือรัฐบาลซินยอรา คือตัวอย่างที่แสดงถึงความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยและความปรารถนาของบุชที่จะปกป้องเลบานอนไม่ให้อำนาจอื่นใดเข้ามาแทรกแซงได้ ในเดือนธันวาคม เฮซบอลเลาะห์เป็นผู้นำการประท้วงรัฐบาลบนท้องถนนในเบรุต จอห์น โบลตัน ซึ่งตอนนั้นยังเป็นทูตอเมริกาประจำยูเอ็น เรียกเหตุการณ์ประท้วงนั้นว่า เป็น "ส่วนหนึ่งของรัฐประหารที่ได้แรงบันดาลใจจากอิหร่าน-ซีเรีย"
เลสลี เฮช. เกลบ์ (Leslie H. Gelb) ประธานของ Council on Foreign Relations คนที่แล้ว กล่าวว่า นโยบายของอเมริกาไม่ได้ส่งเสริมประชาธิปไตยของเลบานอนมากไปกว่า "ส่งเสริมกิจการความมั่นคงของอเมริกาเอง ความจริงก็คือว่า มันจะเป็นอันตรายร้ายแรงสำหรับเรามาก ถ้าเฮซบอลเลาะห์มีอำนาจปกครองเลบานอน" เกลบ์กล่าวว่า การล้มลงของรัฐบาลซินยอราจะถูกมองว่า "เป็นสัญญาณของการเสื่อมถอยของอเมริกา และการพุ่งขึ้นของภัยคุกคามการก่อการร้ายในภูมิภาคตะวันออกกลาง เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เป็นการจัดสรรอำนาจทางการเมืองใหม่ จะต้องได้รับการต่อต้านจากอเมริกา - และเราก็มีเหตุผลอันสมควรที่จะช่วยพรรคการเมืองที่ไม่ใช่ชีอะต์...ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนี้ เราควรจะพูดเรื่องนี้แบบเปิดเผยกับสาธารณชนไปเลย แทนที่จะมาพูดถึงประชาธิปไตย"
§
มกราคมต้นปีนี้ หลังเหตุการณ์รุนแรงปะทุขึ้นในท้องถนนเบรุตระหว่างฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลซินยอรากับฝ่ายสนับสนุนเฮซบอลเลาะห์ เจ้าชายบันดาร์บินไปเตหะรานเพื่อถกเรื่องการเมืองในเลบานอน และเพื่อพบกับ อาลี ลาริจานี ตัวแทนเจรจาปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่าน ตามคำบอกเล่าของทูตตะวันออกกลางคนหนึ่ง ภารกิจของบันดาร์ - ซึ่งทูตท่านนี้บอกว่าได้รับการรับรองจากทำเนียบขาวแล้ว - ยังมีอีกเป้าหมายหนึ่ง คือ "เพื่อสร้างปัญหาระหว่างอิหร่านกับซีเรียขึ้นมา" โดยก่อนหน้านี้มีความตึงเครียดของสองฝ่ายเกิดขึ้นแล้ว จากกรณีที่ซีเรียมีการพูดคุยกับอิสราเอล เป้าหมายของซาอุดิจึงเป็นไปเพื่อกระตุ้นความไม่ลงรอยอันนี้ อย่างไรก็ตาม ทูตกล่าวว่า "มันไม่เวิร์ค ซีเรียกับอิหร่านไม่มีท่าทีว่าจะหักหลังกัน วิธีการของบันดาร์ไม่มีแนวโน้มว่าจะประสบความสำเร็จเอาเลย"
วาลิด จัมบลัต ผู้นำชาวดรูซในเลบานอนและเป็นผู้สนับสนุนซินยอราอย่างแข็งขัน ได้โจมตีนัสราลลาห์ว่าเป็นเอเจนต์ของซีเรีย และคอยตอกย้ำกับนักข่าวต่างประเทศบ่อยๆ ว่า เฮซบอลเลาะห์อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้นำศาสนาในอิหร่านโดยตรง ในการสนทนากับผมธันวาคมที่แล้ว เขาวาดภาพประธานาธิบดีซีเรีย บาชาร์ อาสัด ว่าเป็น "ฆาตกรต่อเนื่อง" เขาพูดถึงนัสราลลาห์ว่า "ผิดศีลธรรม" ในการลอบสังหารราฟิก ฮาริรี และฆาตกรรม ปิแอร์ จามายเยล รัฐมนตรีในรัฐบาลของซินยอรา เพราะนัสราลลาห์ให้การสนับสนุนซีเรีย
Muslim Brotherhood แห่งซีเรีย คือสาขาของ Muslim Brotherhood ขบวนการซุนนีลัทธิสุดขั้วที่ก่อตั้งขึ้นในอียิปต์ตั้งแต่ปี 1928 ในซีเรีย องค์กรนี้ได้เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงต่อต้านระบอบปกครอง ฮาเฟซ อาสัด พ่อของบาชาร์ มากว่าทศวรรษ ในปี 1982 บราเธอร์ฮูดยึดเมืองฮามา (Hama) ได้ อาสัดเข้าถล่มเมืองนั้นเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ สังหารประชาชนไปประมาณ 6,000 - 20,000 คน การเป็นสมาชิกบราเธอร์ฮูดสามารถถูกลงโทษถึงตายในซีเรีย รวมทั้งมันยังจัดเป็นศัตรูที่ได้รับการประกาศชัดแจ้งของอเมริกาและอิสราเอลด้วยเช่นกัน แต่ถึงกระนั้น จัมบลัตกล่าวว่า "เราบอกเชนีย์ว่า ตัวเชื่อมสำคัญระหว่างอิหร่านกับเลบานอนคือซีเรีย - - และถ้าจะเล่นงานอิหร่านหมดสภาพ คุณจำเป็นต้องเปิดประตูให้กับฝ่ายต่อต้านซีเรียที่มีฤทธิ์เดชจริงๆ"
มีหลักฐานว่ายุทธศาสตร์ปรับใหม่ของคณะผู้บริหารบุช ได้หยิบยื่นผลประโยชน์ให้กับบราเธอร์ฮูดแล้ว
Syrian National Salvation Front คือกลุ่มพันธมิตรกู้ชาติที่รวมตัวกันเพื่อต่อต้านรัฐบาลซีเรีย โดยสมาชิกหลักได้แก่กลุ่มบราเธอร์ฮูด และกลุ่มที่อยู่ภายใต้การนำของ อับดุล ฮาลิม คัดดัม (Abdul Halim Khaddam) อดีตรองประธานาธิบดีซีเรียที่หันหลังให้รัฐบาลมาเข้ากับฝ่ายตรงข้ามในปี 2005 อดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอระดับสูงบอกผมว่า "อเมริกาให้ความช่วยเหลือทั้งทางการเงินและทางการเมือง ซาอุดิรับบทนำเรื่องให้ทุน แต่อเมริกาก็มีเอี่ยวด้วย" เขาเล่าว่าคัดดัม ซึ่งตอนนี้อาศัยอยู่ในปารีส รับเงินจากซาอุดิอาระเบีย โดยมีทำเนียบขาวรู้เห็นเป็นใจด้วย (ในปี 2005 สื่อมวลชนรายงานว่า มีการพบปะกันระหว่างตัวแทนของกลุ่มฟรอนท์กับเจ้าหน้าที่จากสภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา) อดีตเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวบอกผมว่า ซาอุดิเป็นฝ่ายจัดหาเอกสารเดินทางให้กับสมาชิกของฟรอนท์
จัมบลัตบอกว่า เขาเข้าใจว่า ประเด็นนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับทำเนียบขาว "ผมบอกเชนีย์ว่า บางส่วนในโลกอาหรับ โดยเฉพาะหลักๆ คือชาวอียิปต์ คงจะไม่ชอบแน่ ถ้าอเมริกาช่วยเหลือบราเธอร์ฮูด" ในอียิปต์ ผู้นำซุนนีสายกลางได้ต่อสู้กับ Egyptian Muslim Brotherhood มาหลายทศวรรษ
"แต่ถ้าคุณไม่จัดการกับซีเรีย เรากับเฮซบอลเลาะห์ก็คงต้องเผชิญหน้ากันต่อ-ในศึกแบบยืดเยื้อ และกับการต่อสู้แบบนั้น เราอาจจะไม่ชนะ" o