ซีมัวร์ เฮิร์ช แฉเบื้องลึกสุดๆ ที่คุณต้องอ่าน : อเมริกา ซาอุดิ และสงครามระหว่าง "ซุนนี-ชีอะต์" (1)

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Middle East Uncensored

อุทัยวรรณ เจริญวัย

 

 

แล้วซีมัวร์ เฮิร์ช ก็กลับมาอีกครั้ง...กับเรื่องร้อนๆ ที่เกี่ยวกับอเมริกา-อิหร่าน

 

ไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ พ้นไปจากการเตรียมพร้อมทางการทหารเพื่อโจมตีอิหร่าน...อย่างที่มีข่าวออกมาตลอด ยังมีอีกด้านหนึ่งสำหรับ "ยุทธศาสตร์ใหม่ของบุชในตะวันออกกลาง" ที่ชวนให้สยดสยองไม่แพ้กัน

 

อเมริกากับซาอุดิกำลังจับมือกันเอาจริงเอาจัง...เพื่อผลักดัน "สงครามเย็นระหว่างซุนนี-ชีอะต์" ซึ่งพร้อมจะส่งผลสะเทือนไปทั่วภูมิภาค

 

รายงานของเฮิร์ช ระบุว่า มีการอัดฉีดเงินทุนและความช่วยเหลือให้กับกลุ่มติดอาวุธ "ซุนนีลัทธิสุดขั้ว" หรือที่เรียกกันว่า "ซาลาฟีจิฮัดดิสต์" (Salafi - คือคำที่นิยมใช้เรียกรวมๆ แทน "วาฮาบี") ทั้งในเลบานอนและซีเรีย เพื่อให้เคลื่อนไหวต่อต้าน เฮซบอลเลาะห์ ที่เป็นชีอะต์และเป็นพันธมิตรของอิหร่าน กับต่อต้านรัฐบาลของ บาชาร์ อัล-อาสัด กลุ่มผู้นำซีเรียซึ่งไม่ใช่ซุนนี แต่เป็นอลาวี (Alawi - แนวทางใกล้เคียงมุสลิมชีอะต์) และเป็นพันธมิตรกับอิหร่าน

 

ในการให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็น 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เฮิร์ชพูดถึงซุนนีกลุ่มต่างๆ ในเลบานอนที่อเมริกาให้ความช่วยเหลือว่า "นี่คือพวกที่มีความเชื่อมโยงกับอัล-ไคดา"

 

และตัวการสำคัญเบื้องหลังยุทธศาสตร์ที่ว่านี้ ก็ได้แก่ดาราดังระดับ ดิก เชนีย์, เอลเลียต เอเบริมส์, ซัลเมย์ คาลิลสาด ร่วมกับเจ้าชายซาอุดิ บันดาร์ บิน สุลตาน ที่ซี้ปึ้กกับวอชิงตันอย่างมากนั่นเอง

 

ปฏิบัติการลับหลายๆ อย่างในยุคที่บุช/เชนีย์เป็นใหญ่ - ซึ่งไม่ใช่แค่ส่วนนี้เท่านั้น - เป็นเรื่องที่อาศัยช่องว่างและการพลิกแพลงกระบวนการแบบไม่ต้องผ่านการรายงานคองเกรส (โชยกลิ่นแบบ "อิหร่าน-คอนทรา" มาแต่ไกล) และนี่คือประเด็นสำคัญอันหนึ่งที่เฮิร์ชตั้งคำถาม

 

งานชิ้นนี้แปลมาจาก - THE REDIRECTION : Is the Administration"s new policy benefitting our enemies in the war on terrorism? Seymour M. Hersh, The New Yorker, Issue of 2007-03-05, Posted 2007-02-25

 

และเนื่องจากงานชิ้นนี้ยาวมาก จึงมีการตัดกระชับนิดหน่อย และแบ่งเนื้อหาเป็น 2 ตอน (คำอธิบายในวงเล็บเป็นของเฮิร์ช) - อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติแล้ว งานของเฮิร์ชจะเกี่ยวข้องกับข้อมูลและการวิเคราะห์จากเจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือ think tank ของพวกอลิต/ขวาเป็นหลัก ทำให้มีกลิ่น spin และ propaganda ติดมาเป็นประจำ ประกอบกับข้อมูลบางอย่างอาจจะไม่ชัดเจนและต้องการหลักฐานประกอบ ขอฝากผู้อ่านทุกท่านใช้วิจารณญาณเข้มข้นควบคู่ไปด้วยค่ะ o

 

- - - - -

 

 [ แถมท้ายนิดนึง : ไม่กี่วันมานี้ อเมริกาได้มีการส่งสัญญาณทางการทูตใหม่ๆ ให้หลายคนตื่นเต้นแอบลุ้น แต่จนถึงขณะนี้ ยังเป็นที่สงสัยกันว่า..อเมริกาจะพร้อมเจรจาแบบ "หนึ่งต่อหนึ่ง" กับอิหร่าน เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทั้งหมดหรือเปล่า? หรือว่าท่าทีใหม่ (รวมการประชุมอินเตอร์หลายฝ่ายที่อิรัก 10 มีนาคมนี้) จะเป็นแค่ "เกมสร้างภาพ" ที่ต้องเล่นไปพร้อมๆ กัน? อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์อีกครั้ง - หรือแม้แต่ยูเทิร์นไปเลย - เป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ เพราะเบื้องหลังนโยบาย "ผชิญหน้ากับอิหร่าน" เวอร์ชันนีโอคอนอย่างที่เป็นอยู่นี้ ยังคงมีเสียงแตกเสียงค้านจากอีลิตและกลุ่มอำนาจอื่นๆ ดังขึ้นตลอด รวมทั้งนายทหารบิ๊กๆ หลายรายที่ไม่อยากเปิดศึกกับอิหร่านแม้แต่น้อย เพราะงั้น งานนี้...จึงต้องจับตากันต่อไปในระยะกระชั้นชิด - - แม้ว่านักวิเคราะห์บางรายในหมู่ปัญญาชนซ้ายจะค่อนข้างชัวร์ว่า มันเป็นเรื่องของฉากหน้าที่ "ไร้ความหมาย" เหมือนๆ กับ...การพบกันระหว่างอาห์มาดิเนจัดกับกษัตริย์อับดุลลาห์เมื่อเสาร์ที่ผ่านมาน่ะแหละ ]

 

0 0 0

 

 

 

THE REDIRECTION  

หรือว่านโยบายปรับใหม่ของอเมริกาคือการเอิ้อประโยชน์ให้ "ซาลาฟี/อัล-ไคดา" ?

 

ซีมัวร์ เอ็ม. เฮิร์ช

25 กุมภาพันธ์ 2007

 

 

 

 

 

การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์

 

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ขณะที่สถานการณ์ในอิรักเข้าขั้นทรุดหนัก คณะผู้บริหารบุชก็ได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ตะวันออกกลางครั้งใหม่ โดยใช้ทั้งวิถีทางการทูตและปฏิบัติการลับเข้าช่วย ยุทธศาสตร์ใหม่หรือ "Redirection"  - คำที่บางคนในทำเนียบขาวเรียกกัน - กำลังชักนำอเมริกาให้ขยับเข้าใกล้การเผชิญหน้าโดยตรงกับอิหร่าน ขณะที่ในหลายๆ พื้นที่ของตะวันออกกลาง มันยังเป็นตัวโหมสร้างกระแสความขัดแย้งระหว่างซุนนี-ชีอะต์ให้ลุกลามไปด้วย

 

เพื่อที่จะบั่นทอนทำลายอิทธิพลอิหร่าน-ชาติที่ชีอะต์มีอำนาจ บุชได้จัดลำดับภารกิจสำคัญของเขาใหม่ ในเลบานอน คณะผู้บริหารได้ร่วมมือกับรัฐบาลของซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็นชาติซุนนี เคลื่อนไหวปฏิบัติการลับโดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายความแข็งแกร่งของเฮซบอลเลาะห์ พร้อมกันนั้น อเมริกายังมีส่วนในปฏิบัติการลับอื่นๆ ซึ่งพุ่งเป้าไปที่อิหร่านและซีเรียเช่นกัน ผลลัพธ์ที่แถมมาด้วยของงานนี้ก็คือ อเมริกากำลังปลุกปั้นส่งเสริมมุสลิมซุนนีสุดขั้วกลุ่มต่างๆ ให้ผงาดขึ้นมา ซึ่งก็ได้แก่พวกที่สนับสนุนแนวทางใช้กำลังต่อสู้ของอิสลาม เป็นปฏิปักษ์ต่ออเมริกา และเห็นอกเห็นใจอัล-ไคดานั่นเอง

 

ยุทธศาสตร์ใหม่นี้ยังมีความขัดแย้งในตัวเองอีกแง่หนึ่ง นั่นก็คือ ในกรณีของอิรัก ความรุนแรงส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นกับกองทัพอเมริกามาจากกองกำลังซุนนี ไม่ใช่ชีอะต์ ยิ่งกว่านั้น สำหรับคณะผู้บริหารบุชแล้ว ผลลัพธ์ทางยุทธศาสตร์จากสงครามอิรักที่พวกเขาไม่ได้ตั้งใจแต่กลายเป็นเรื่องใหญ่ส่งผลสะเทือนมากที่สุดก็คือ...การทำให้อิหร่านมีอำนาจมากขึ้น

 

หลังการปฏิวัติในปี 1979 ที่ส่งให้ผู้นำศาสนาขึ้นมามีอำนาจ อเมริกาได้ตัดความสัมพันธ์กับอิหร่านและหันไปผูกมิตรใกล้ชิดกับผู้นำรัฐซุนนีมากขึ้น อาทิ จอร์แดน อียิปต์ และซาอุดิอาระเบีย แต่แล้วการคิดคำนวณเรื่องผลประโยชน์ต่างๆ ก็ชักจะซับซ้อนขึ้นหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน โดยเฉพาะในกรณีของซาอุดิอาระเบีย เพราะอัล-ไคดาคือซุนนี และผู้ปฏิบัติการของมันจำนวนมากมาจากแวดวงลัทธิสุดขั้วในซาอุดิอาระเบีย - - ก่อนอเมริกาบุกยึดอิรักในปี 2003 เจ้าหน้าที่ของฝ่ายบริหารภายใต้การครอบงำของนีโอคอนคาดการณ์ว่า รัฐบาลชีอะต์ที่จะเกิดขึ้นตามมา จะเป็นฝ่ายโปร-อเมริกาและจะช่วยเสริมดุลอำนาจระหว่างอเมริกากับพวกซุนนีสุดขั้ว เนื่องจากชาวชีอะต์ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศคือฝ่ายที่ถูกกดขี่ข่มเหงมาก่อนในยุคของซัดดัม ฮุสเซน คนพวกนั้นไม่สนใจคำเตือนจากเจ้าหน้าที่ข่าวกรองหลายฝ่ายในเรื่องโยงใยสัมพันธ์ระหว่างเหล่าผู้นำชีอะต์ในอิรักกับอิหร่าน และปัจจุบันนี้เอง ท่ามกลางความไม่สบายใจของทำเนียบขาว อิหร่านก็ได้สานสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลของ นูรี อัล-มาลิกี ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ชีอะต์เป็นใหญ่ไปเรียบร้อย

 

นโยบายใหม่ของอเมริกา เฉพาะในส่วนของแนวทางกว้างๆ เป็นส่วนที่ผ่านการอภิปรายต่อสาธารณะมาแล้ว ในการให้ปากคำต่อหน้าคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของวุฒิสภา เดือนมกราคม รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ คอนโดลีซซา ไรซ์ กล่าวว่า มี "การแบ่งฝักฝ่ายทางยุทธศาสตร์ใหม่สำหรับตะวันออกกลาง" โดยเธอได้แยก "พวกหัวปฏิรูป" (reformer) กับ "พวกแนวคิดสุดขั้ว" (extremist) ออกจากกัน ไรซ์พูดถึงรัฐซุนนีทั้งหลายว่าเป็นศูนย์กลางของแนวทางสายกลาง-ประนีประนอม พร้อมกับกล่าวว่า อิหร่าน ซีเรีย และเฮซบอลเลาะห์ "อยู่ฝั่งตรงข้ามของการแบ่งฝ่ายที่ว่านี้" (ซีเรียเป็นชาติที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นซุนนี แต่อยู่ภายใต้การนำของพวก "อลาวี") ไรซ์ยังกล่าวอีกว่า อิหร่านและซีเรีย "ได้ตัดสินใจเลือกแล้ว และสิ่งที่พวกเขาเลือกก็คือการทำลายเสถียรภาพ"

 

อย่างไรก็ตาม ยุทธศาสตร์ใหม่ Redirection ในส่วนของยุทธวิธีหรือแทคติกหลักๆ ยังคงเป็นเรื่องที่พ้นหูพ้นตาสาธารณะ ในหลายๆ กรณี ปฏิบัติการลับถูกเก็บไว้เป็นเรื่องลึกลับ โดยปล่อยให้ซาอุดิเป็นผู้ดำเนินการหรือบริหารงบต่างๆ ของอเมริกาแทน หรือไม่ก็โดยการพลิกแพลงหาช่องทางอื่นๆ ที่ไปพ้นจากกระบวนการจัดสรรงบประมาณของคองเกรสตามปกติ - - เจ้าหน้าที่ที่ใกล้ชิดกับคณะผู้บริหารทั้งในอดีตและปัจจุบันกล่าว

 

สมาชิกระดับสูงในคณะกรรมาธิการจัดสรรงบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรบอกกับผมว่า เขาได้ยินเรื่องยุทธศาสตร์ใหม่อยู่เหมือนกัน แต่กลับรู้สึกว่า...สมาชิกในคณะกรรมาธิการฯ จะไม่ได้ "รับบริ๊ฟ" หรือรับฟังคำอธิบายสรุปในเรื่องนี้สักเท่าไหร่

 

"เราไม่ได้ข้อมูลในเรื่องนี้เลย" เขาพูด "เราถามว่ามีการดำเนินการอะไรไปบ้าง...พวกเขาบอกว่าไม่มี พอเราถามคำถามที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น...พวกเขาก็บอกว่า-เอาไว้เราจะกลับมาหาคุณใหม่ เรื่องนี้ทำให้เราอึดอัดใจมาก"

 

ผู้เล่นสำคัญที่อยู่เบื้องหลังยุทธศาสตร์ใหม่ ได้แก่ รองประธานาธิบดี ดิก เชนีย์, รองที่ปรึกษาประธานาธิบดีด้านความมั่นคง เอลเลียต เอเบริมส์, ทูตอเมริกาประจำอิรักซึ่งกำลังจะหมดวาระ (ได้รับการเสนอชื่อเป็นทูตประจำยูเอ็น) ซัลเมย์ คาลิลสาด, และ เจ้าชายบันดาร์ บิน สุลตาน (Prince Bandar bin Sultan) ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของซาอุดิอาระเบีย - - ขณะที่ไรซ์มีส่วนอย่างมากในการผลักดันและกำหนดแนวทางนโยบายด้านที่เปิดเผย ด้านลับของนโยบายกลับตกอยู่ภายใต้การนำของเชนีย์ เจ้าหน้าที่ในอดีตและปัจจุบันกล่าว (ทีมงานของเชนีย์และทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเรื่องนี้ ส่วนเพนตากอนไม่ตอบคำถามที่ถามไป แต่พูดกว้างๆ ว่า "อเมริกาไม่ได้วางแผนจะทำสงครามกับอิหร่าน")

 

การปรับนโยบายครั้งนี้ ได้ชักนำให้ซาอุดิอาระเบียและอิสราเอลเข้ามาเป็นแนวร่วมสำคัญทางยุทธศาสตร์ใหม่ไปด้วย เหตุผลหลักคือทั้งสองประเทศต่างก็เห็นอิหร่านเป็นภัยคุกคามที่มีอยู่จริง พวกนั้นยังเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในเรื่องการพูดคุยเจรจาโดยตรง ในส่วนของซาอุดิอาระเบีย พวกเขาเชื่อว่า การทำให้เกิดเสถียรภาพมากขึ้นในอิสราเอล-ปาเลสไตน์ จะทำให้อิหร่านมีอำนาจกำกับควบคุมลดลงในภูมิภาคนี้ ซาอุดิจึงพยายามที่จะเข้าไปมีบทบาทมากขึ้นในการเจรจาต่อรองระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์

 

ยุทธศาสตร์ใหม่ "เป็นการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในนโยบายอเมริกัน - เรียกได้ว่า sea change ไปเลย" ที่ปรึกษารัฐบาลอเมริกาซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอิสราเอลกล่าว รัฐซุนนี "กลัวการฟื้นขึ้นมาเรืองอำนาจของชีอะต์ และเริ่มจะไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เราไปเล่นพนันอยู่ข้างชีอะต์สายกลางในอิรัก" เขากล่าว "เราไม่สามารถทำให้เหตุการณ์พลิกกลับหรือเรียกคืนสิ่งที่ชีอะต์ในอิรักได้ไปแล้ว แต่เราสามารถควบคุมจำกัดไม่ให้พวกนั้นมีอำนาจมากขึ้นได้"

 

"ดูเหมือนว่า มันจะมีการถกเถียงกันในรัฐบาลว่า อะไรเป็นอันตรายมากกว่า...อิหร่านหรือว่าซุนนีลัทธิสุดขั้ว" วาลี นัสเซอร์ (Vali Nasr) สมาชิกอาวุโสของ Council on Foreign Relations เจ้าของงานเขียนมากมายเกี่ยวกับชีอะต์ อิหร่าน อิรัก กล่าวกับผม "ซาอุดิและบางส่วนในคณะผู้บริหารเป็นฝ่ายที่โต้แย้งว่า ภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดคืออิหร่าน ซุนนีหัวรุนแรงเป็นศัตรูที่น่ากลัวน้อยกว่า และนี่ก็คือชัยชนะของสายซาอุดิ"

 

มาร์ติน อินไดก์ (Martin Indyk) เจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงต่างประเทศในยุคบิล คลินตัน ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งทูตประจำอิสราเอลด้วยเช่นกัน กล่าวว่า "ตะวันออกกลางกำลังมุ่งหน้าไปสู่สงครามเย็นแบบเอาจริงระหว่างซุนนีกับชีอะต์"

 

อินไดก์ ประธานสถาบัน Saban Center for Middle East Policy/Brookings Institution กล่าวเสริมอีกว่า ในทัศนะของเขา มันไม่ชัดเจนว่าทำเนียบขาวจะตระหนักถึงผลกระทบทางยุทธศาสตร์จากนโยบายใหม่นี้อย่างรอบด้านหรือไม่ "ำเนียบขาว...ไม่ใช่แค่ทุ่มพนันในอิรักเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า" เขาพูด "แต่มันเป็นการทุ่มพนันลงไปในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นอีกสองเท่า เรื่องนี้อาจจะนำไปสู่ความยุ่งยากซับซ้อนอย่างมาก ทุกอย่างกลับหัวกลับหางไปหมด"

 

§

 

นโยบายจำกัดควบคุมอิหร่านดูจะสร้างความยุ่งยากให้กับยุทธศาสตร์เพื่อชัยชนะในสงครามอิรักไปด้วย อย่างไรก็ตาม แพทริก คลอว์ซัน (Patrick Clawson) ผู้เชี่ยวชาญด้านอิหร่านและรองประธานฝ่ายวิจัยของสถาบัน Washington Institute for Near East Policy กลับเห็นว่า สายสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างสหรัฐอเมริกาและซุนนีสายกลาง หรือแม้กระทั่งซุนนีลัทธิสุดขั้ว สามารถสร้าง "ความกลัว" ให้กับรัฐบาลของมาลิกี และ "ทำให้เขาวิตกว่าฝ่ายซุนนีอาจจะชนะขึ้นมาจริงๆ" ในสงครามกลางเมืองของอิรัก คลอว์ซันบอกว่า มันอาจจะเป็นแรงจูงใจให้มาลิกีร่วมมือกับอเมริกามากขึ้นในการปราบปรามกองกำลังติดอาวุธชีอะต์หัวรุนแรง อย่างเช่น กองทัพมาห์ดีของ มุกตาดาร์ อัล-ซาเดอร์

 

แต่ถึงกระนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้กลับกลายเป็นว่า อเมริกายังเป็นฝ่ายที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้นำชีอะต์อย่างมาก กองทัพมาห์ดีอาจจะเป็นปฏิปักษ์ต่อผลประโยชน์ของอเมริกาอย่างเปิดเผย แต่กองกำลังติดอาวุธอื่นๆ ของชีอะต์ยังถูกนับว่าเป็นพันธมิตรกับอเมริกาอยู่ นอกจกานี้ ทั้งมุกตาดาร์ อัล-ซาเดอร์ และทำเนียบขาว ต่างก็หนุนหลังมาลิกีเหมือนกัน ในบันทึกของที่ปรึกษาประธานาธิบดีด้านความมั่นคง สตีเฟน แฮดลีย์ (Stephen Hadley) เมื่อปลายปีที่แล้ว ได้แนะนำให้คณะผู้บริหารพยายามแยกมาลิกีออกจากพันธมิตรชีอะต์สุดขั้วของเขา โดยการสร้างฐานสนับสนุนจากเคิร์ดและซุนนีสายกลาง แต่จนถึงเดี๋ยวนี้ แนวโน้มดูจะออกไปในทางตรงข้ามมากกว่า กองทัพของทางการอิรักเองยังคงล้มเหลวในการสู้รบกับฝ่ายต่อต้าน ขณะที่กองกำลังติดอาวุธของชีอะต์กลับมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ฟลินต์ เลฟเวอเรต (Flynt Leverett) อดีตเจ้าหน้าที่สภาความมั่นคงแห่งชาติของคณะผู้บริหารบุช กล่าวกับผมว่า "ไม่ใช่เรื่องพ้องกันโดยบังเอิญ และไม่มีอะไร ironic (ผลลัพธ์ออกมาตรงข้ามแบบประชดประชัน)" สำหรับยุทธศาสตร์ใหม่ของเราในส่วนที่เกี่ยวกับอิรัก "คณะผู้บริหารพยายามจะสร้างเรื่องว่าอิหร่านเป็นอันตรายมากกว่าและสร้างความเดือดร้อนมากกว่าฝ่ายต่อต้านซุนนีในอิรัก ทั้งๆ ที่ - ถ้าเราดูจากตัวเลขความเสียหายจริงๆ - สิ่งฝ่ายต่อต้านซุนนีกระทำต่ออเมริกา เมื่อเทียบกันแล้ว มันมากกว่า...มันมีขนาดมหาศาลกว่า" เขากล่าว "และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญกระตุ้นยั่วยุเพื่อที่จะสร้างความกดดันให้อิหร่านมากขึ้น ความคิดเบื้องหลังมีอยู่ว่า ถึงจุดๆ หนึ่งอิหร่านจะตอบโต้ และตอนนั้นเองช่องทางก็จะเปิดให้คณะผู้บริหารโจมตีอิหร่าน"

 

ในสุนทรพจน์วันที่ 10 มกราคม ประธานาธิบดีจอร์จ บุช ได้สะท้อนบางส่วนของแนวทางนี้ออกมา "ระบอบปกครองทั้งสอง" หมายถึงอิหร่านและซีเรีย "ได้ปล่อยให้ผู้ก่อการร้ายและผู้ก่อความไม่สงบใช้ดินแดนของมันในการเคลื่อนไหวเข้าออกอิรัก" บุชกล่าว "อิหร่านได้ให้การสนับสนุนด้านวัสดุอุปกรณ์ในการโจมตีทหารอเมริกา เราจำเป็นจะต้องหยุดยั้งขัดขวางการโจมตีนี้ เราจำเป็นจะต้องขัดขวางความช่วยเหลือที่ไหลเข้ามาจากอิหร่านและซีเรีย เราจะค้นหาและทำลายเครือข่ายที่ฝึกอบรมและจัดส่งอาวุธร้ายแรงมาให้ศัตรูของเราในอิรัก"

 

ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ก็มีข้อกล่าวหาตามมาเป็นระลอกจากรัฐบาลบุชว่าอิหร่านเข้าไปยุ่งเกี่ยวในสงครามอิรัก 11 กุมภาพันธ์ มีการนำระเบิดไออีดีชนิดที่พัฒนาไปอีกระดับมาโชว์นักข่าว เป็นระเบิดที่พบในอิรักและคณะผู้บริหารอ้างว่ามาจากอิหร่าน โดยสรุป สารจากคณะผู้บริหารมีอยู่ว่า สถานการณ์เลวร้ายในอิรักไม่ได้เป็นผลมาจากความล้มเหลวในการวางแผนและดำเนินการของตน...แต่เป็นผลมาจากการแทรกแซงของอิหร่าน

 

กองทัพอเมริกาได้จับกุมและสอบสวนชาวอิหร่านในอิรักหลายร้อยคน "ตั้งแต่สิงหาคมปีที่แล้ว มีคำสั่งให้กองทัพรวบตัวชาวอิหร่านในอิรักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้" อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงฝ่ายข่าวกรองกล่าว "มีช่วงหนึ่งเราขังไว้ถึงห้าร้อยคน เราสอบสวนหาข้อมูลจากคนพวกนั้น เป้าหมายของทำเนียบขาวก็คือการหาหลักฐานมาสนับสนุนประเด็นที่ว่า ชาวอิหร่านเข้ามาส่งเสริมปลุกปั่นขบวนการก่อความไม่สงบในอิรัก โดยมีการทำกันมานานแล้ว และนั่นย่อมหมายถึงว่า จริงๆ แล้ว อิหร่านนั่นเอง คือผู้สนับสนุนให้ฆ่าทหารอเมริกัน"

 

ที่ปรึกษาของเพนตากอนยืนยันว่า ไม่กี่เดือนมานี้ มีชาวอิหร่านหลายร้อยที่ถูกทหารอเมริกันจับมา แต่เขาบอกว่ายอดนี้รวมไปถึงชาวอิหร่านที่ทำงานด้านบรรเทาทุกข์ให้ความช่วยเหลือจำนวนมาก "ซึ่งถูกอุ้มมาและปล่อยไปในช่วงเวลาสั้นๆ" หลังจากนำตัวมาสอบสวนแล้ว

 

"เราไม่ได้วางแผนจะทำสงครามกับอิหร่าน" รอเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ประกาศเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ แต่ถึงกระนั้น บรรยากาศของการเผชิญหน้าก็ถลำลึกเข้าไปทุกที ตามคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ในกองทัพและฝ่ายข่าวกรองทั้งในอดีตและปัจจุบัน มีการดำเนินการด้านปฏิบัติการลับในเลบานอนไปพร้อมกับปฏิบัติการลับเพื่อโจมตีอิหร่าน ทีมปฏิบัติการพิเศษและกองทัพอเมริกากำลังเดินหน้าเคลื่อนไหวหนักขึ้นในอิหร่านเพื่อสนับสนุนด้านการข่าว และตามคำของที่ปรึกษาเพนตากอนด้านการก่อการร้ายรวมทั้งอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองระดับสูงนายหนึ่ง ทีมปฏิบัติการลับเหล่านั้นยังได้ข้ามพรมแดนอิรักเข้าไปไล่ล่าตามหาฝ่ายปฏิบัติการของอิหร่าน

 

ความวิตกของคณะผู้บริหารเรื่องบทบาทของอิหร่านในอิรัก เกิดขึ้นควบคู่ไปกับความตื่นตระหนกที่มีมานานในเรื่องโปรแกรมนิวเคลียร์อิหร่าน ในรายการข่าวของฟ็อกซ์นิวส์ 14 มกราคม เชนีย์ได้กล่าวเตือน ถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ไม่กี่ปีข้างหน้า ที่ว่า "อิหร่านซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์ ยืนคุมแหล่งน้ำมันของโลก สามารถสร้างผลสะเทือนต่อเศรษฐกิจโลก พร้อมที่จะใช้องค์กรก่อการร้าย และ/หรือ อาวุธนิวเคลียร์ของมัน เพื่อข่มขู่คุกคามเพื่อนบ้านไปทั่ว" เขายังกล่าวด้วยว่า "ถ้าคุณไปคุยกับรัฐต่างๆ บริเวณอ่าวเปอร์เซีย ไปคุยกับซาอุดิ หรืออิสราเอล จอร์แดน ทั่วทั้งภูมิภาคกำลังวิตกกังวล......ภัยคุกคามจากอิหร่านกำลังโตวันโตคืน"

 

คณะผู้บริหารกำลังตรวจสอบข่าวกรองใหม่ๆ เกี่ยวกับโครงการอาวุธของอิหร่าน เจ้าหน้าที่อเมริกันทั้งอดีตและปัจจุบันบอกว่า ในส่วนของข่าวกรองซึ่งได้มาจากเจ้าหน้าที่อิสราเอลที่ปฏิบัติการอยู่ในอิหร่าน มีข้อกล่าวหาหนึ่งที่ระบุว่า อิหร่านกำลังพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีปชนิดเชื้อเพลิงแข็ง-หลายหัวรบ ระยะยิงไกลถึงยุโรป อย่างไรก็ตาม ความน่าเชื่อถือของข่าวกรองนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่

 

ในอดีต ข้อกล่าวหาแบบเดียวกันในเรื่องภัยคุกคามที่ล่อแหลมใกล้ตัวอันเนื่องมาจากอาวุธทำลายล้างสูง ถูกนำมาใช้เป็นบทโหมโรงเพื่อการโจมตีอิรักมาแล้ว ด้วยเหตุนี้สมาชิกจำนวนมากของสภาคองเกรสจึงเกิดความคลางแคลงใจตามมาเมื่อได้ยินได้ฟังข้อกล่าวหาเกี่ยวกับอิหร่าน 14 กุมภาพันธ์ ในวุฒิสภา ฮิลลารี คลินตัน พูดว่า "เราทั้งหมดต่างก็ได้เรียนรู้บทเรียนจากกรณีความขัดแย้งกับอิรักมาแล้ว เราควรจะนำมันมาใช้กับข้อกล่าวหาใดๆ ก็ตามเกี่ยวกับอิหร่าน เหตุผลก็เพราะว่า...ท่านประธานาธิบดีที่เคารพ...สิ่งที่เราได้ยินอยู่ตอนนี้มันฟังคุ้นหูเหลือเกิน เราจึงจำเป็นต้องระแวดระวัง ว่าเราจะไม่ตัดสินใจบนข้อมูลข่าวกรองที่ผิดพลาดอีกครั้งหนึ่ง"

 

แต่ถึงกระนั้น เพนตากอนก็ยังคงคร่ำเคร่งจริงจังกับการวางแผนโจมตีอิหร่านซึ่งอาจจะมีขึ้น กระบวนการทั้งหมดเริ่มต้นตั้งแต่ปีที่แล้วภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดี และระยะหลัง ไม่กี่เดือนมานี้ ตามที่อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองคนหนึ่งบอกกับผม มีการจัดตั้งทีมงานพิเศษขึ้นมาในสำนักงานของ หัวหน้าเสนาธิการทหารร่วม (Joint Chiefs of Staff) เพื่อทำหน้าที่วางแผนเตรียมพร้อมสำหรับการบอมบ์อิหร่าน "แผนเผชิญเหตุ" (contingency plan) ที่ว่านี้ จะเป็นแผนพร้อมปฏิบัติการทันทีภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากประธานาธิบดีมีคำสั่งออกมา

 

เดือนที่แล้ว ที่ปรึกษากองทัพอากาศด้านการโจมตีเป้าหมายและที่ปรึกษาเพนตากอนด้านการก่อการร้าย ได้ให้ข้อมูลกับผมว่า ทีมวางแผนอิหร่านได้รับมอบหมายงานชิ้นใหม่เพิ่มเติม นั่นก็คือ ให้กำหนดเป้าหมายในอิหร่านที่เกี่ยวข้องกับการซัพพลายอาวุธยุทโธปกรณ์หรือให้ความช่วยเหลือกลุ่มต่างๆ ที่ต่อสู้อยู่ในอิรักไปด้วย ก่อนหน้านี้ภารกิจหลักของทีมงานมุ่งไปที่การทำลายโรงงานนิวเคลียร์และการเปลี่ยนระบอบปกครองหรือ regime change ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา

 

ขณะนี้ เรือบรรรทุกเครื่องบินทั้งสองกลุ่ม - ไอเซนฮาวร์กับสเตนนิส - ต่างก็พร้อมหน้าอยู่ในทะเลอาหรับแล้ว ตามแผนที่ร่างขึ้นมาแผนหนึ่ง เรือทั้งสองจะหมดหน้าที่ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็มีความวิตกภายในกองทัพว่า มันอาจจะต้องอยู่ต่อไปแม้จะมีเรือบรรทุกเครื่องบินลุ่มใหม่เข้ามารับหน้าที่ต่อก็ตาม ทั้งนี้จากคำบอกเล่าของแหล่งข่าวหลายฝ่าย - - อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองระดับสูงคนหนึ่งกล่าวว่า แผนเตรียมพร้อมฉบับปัจจุบันนี้ เป็นแผนที่พร้อมสำหรับคำสั่งโจมตีถ้าจะมีขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ อย่างไรก็ตาม เขาเสริมว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงในสำนักงานของหัวหน้าเสนาธิการทหารร่วมต่างก็หวังใจว่า ทำเนียบขาวจะไม่ "โง่พอที่จะทำมัน ทั้งๆ ที่อิรักยังเป็นแบบนี้ และทั้งๆ ที่มันจะ สร้างปัญหาตามมาอีกมากให้กับรีพับลิกันในปี 2008"

 

 

เกมของเจ้าชายบันดาร์

 

ความพยายามของคณะผู้บริหารที่จะลดอำนาจอิหร่านในตะวันออกกลาง ต้องเกี่ยวข้องขึ้นอยู่กับซาอุดิอาระเบีย และ เจ้าชายบันดาร์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของซาอุดิอาระเบียอย่างมาก ก่อนหน้านี้ บันดาร์เป็นทูตซาอุดิประจำอเมริกามา 22 ปี จนถึงปี 2005 หลังจากนั้นเขายังคงรักษาสายสัมพันธ์กับประธานาธิบดีบุชและรองประธานาธิบดีเชนีย์อยู่ ในตำแหน่งใหม่ เขายังคงพบปะเป็นส่วนตัวกับผู้นำอเมริกาทั้งสอง ไม่นานนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงในทำเนียบขาวได้เดินทางไปซาอุดิอาระเบียหลายครั้ง และบางครั้งการเดินทางของพวกเขาก็ไม่เป็นที่เปิดเผย

 

พฤศจิกายนปีที่แล้ว เชนีย์เดินทางไปซาอุดิอาระเบีย เพื่อพบกับ กษัตริย์อับดุลลาห์ และเจ้าชายบันดาร์ ไทมส์รายงานว่า กษัตริย์ซาอุดิเตือนเชนีย์ว่า ซาอุดิอาระเบียจะหนุนหลังซุนนีในอิรักซึ่งเป็นซุนนีเหมือนกัน ถ้าอเมริกาถอนทหารจากอิรัก เจ้าหน้าที่ข่าวกรองยุโรปบอกผมว่า นอกจากนี้ การพบปะกันยังมีประเด็นเกี่ยวกับควาหวาดหวั่นของซาอุดิในเรื่อง "กระแสที่พุ่งขึ้นของชีอะต์" รวมอยู่ด้วย และเพื่อเป็นการรับมือกับกระแสนี้ "ซาอุดิกำลังจะเริ่มใช้อำนาจต้านทานของมันแล้ว - อำนาจเงิน"

 

ในราชวงศ์ซาอุดซึ่งเต็มไปด้วยการแข่งขันชิงดีชิงเด่น หลายปีที่ผ่านมา บันดาร์ได้สร้างฐานอำนาจมาจากความใกล้ชิดสนิมสนมกับอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อราชวงศ์ซาอุดิ หลังบันดาร์พ้นจากตำแหน่งทูต ผู้ที่มารับหน้าที่ต่อจากเขาคือ เจ้าชายเทอร์กี อัล-ไฟซาล (Prince Turki al-Faisal) หลังจากนั้น 18 เดือน เทอร์กีลาออกและถูกแทนที่ด้วย อเดล เอ. อัล-จูเบียร์ (Adel A. al-Jubeir) ข้าราชการที่เป็นคนของบันดาร์ อดีตทูตซาอุดิคนหนึ่งบอกผมว่า ระหว่างที่เทอร์กีเป็นทูตอยู่ เขาไปรู้มาว่ามีการพบปะกันเป็นส่วนตัวเกิดขึ้นหลายครั้งระหว่างบันดาร์กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาว ซึ่งรวมไปถึงเชนีย์ และ เอลเลียต เอเบริมส์ ด้วย "ผมเดาว่าเทอร์กีคงไม่แฮ็ปปี้กับสิ่งที่เกิดขึ้น" อดีตทูตกล่าว แต่--เขาเสริมว่า "ผมไม่คิดว่าบันดาร์อยากจะทิ้งตำแหน่งนี้ไปไหน" และแม้ว่าเทอร์กีจะไม่ชอบบันดาร์ แหล่งข่าวชาวซาอุดิคนนี้ยืนยันว่า ทั้งสองต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันในเรื่องการรับมือกับอำนาจชีอะต์ในตะวันออกกลาง

 

การแตกแยกแบ่งฝ่ายระหว่างซุนนี-ชีอะต์ มีที่มาย้อนหลังไปได้ถึงศตวรรษที่ 7 จากประเด็นขัดแย้งที่ว่า...ใครควรจะเป็นผู้นำโลกมุสลิมสืบต่อจากศาสดาโมฮัมเหม็ด ในอาณาจักรปกครองของอิสลามสมัยกลางรวมทั้งในจักรวรรดิออตโตมัน ซุนนีคือฝ่ายที่อยู่ศูนย์กลางของอำนาจและมีอิทธิพลครอบงำโลกมุสลิมมากกว่า ขณะที่ชีอะต์ถูกมองว่าเป็นเพียงพวกที่อยู่วงนอกมาแต่ไหนแต่ไร ปัจจุบัน มีการประเมินว่ามุสลิมทั่วโลกเป็นชาวซุนนีถึง 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ถึงกระนั้น ชีอะต์ก็นับเป็นประชากรส่วนใหญ่ของอิหร่าน อิรัก และบาห์เรน รวมทั้งเป็นมุสลิมกลุ่มใหญ่ที่สุดในเลบานอนด้วย และความหนาแน่นของชุมชนชีอะต์ในภูมิภาคที่อุดมไปด้วยน้ำมันและมีความผันผวนทางการเมืองสูงเช่นนี้เอง ก็ได้ทำให้ผู้นำฝ่ายซุนนีและตะวันตกต้องเป็นกังวลเรื่องการขึ้นมามีอำนาจของดินแดน "จันทร์เสี้ยวชีอะต์" (

Shiite Crescent
) ไปตามๆ กัน - โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่อิหร่านกำลังมีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มขึ้น

 

"ซาอุดิยังคงมองโลกแบบหลงอยู่ในยุคอาณาจักรอ็อตโตมัน ช่วงที่ซุนนีเป็นใหญ่ และชีอะต์อยู่ในสถานะต่ำสุด" เฟดเดอริก ฮอฟ (Frederic Hof ) นายทหารผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางที่เกษียณแล้วกล่าวกับผม ถ้าบันดาร์ได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้ที่ทำให้นโยบายของอเมริกาหันมาตอบสนองความต้องการของซาอุดิมากขึ้น ฮอฟกล่าวว่า มันจะช่วยส่งเสริมสถานภาพของเขาภายในราชวงศ์อย่างมาก

 

ซาอุดิไม่เพียงกลัวว่าอิหร่านจะทำลายดุลอำนาจเดิมที่มีอยู่ในภูมิภาค แต่พวกเขายังห่วงเรื่องดุลอำนาจในประเทศของตนด้วย ในซาอุดิอาระเบีย มีชนกลุ่มน้อยชีอะต์รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนพอสมควรอยู่ในจังหวัดทางด้านตะวันออก พื้นที่ที่มีบ่อน้ำมันหลักๆ ตั้งอยู่และสถานการณ์ระหว่างสองนิกายมีความตึงเครียดสูง ราชวงศ์ของซาอุดิเชื่อว่า มีหน่วยปฏิบัติการลับของอิหร่านร่วมเคลื่อนไหวกับชาวชีอะต์ในท้องถิ่น โดยอยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายหลายครั้งในซาอุดิอาระเบีย วาลี นัสเซอร์ ให้ความเห็นว่า "วันนี้ กองทัพเดียวที่สามารถจำกัดควบคุมอิหร่านได้" เขาหมายถึงกองทัพอิรักเดิม "ก็ถูกอเมริกาทำลายไปแล้ว ตอนนี้เราก็เลยต้องรับมือเองกับอิหร่าน - ชาติที่มีความสามารถที่จะมีอาวุธนิวเคลียร์และมีกองทัพประจำการอยู่ 450,000 นาย" (ซาอุดิอาระเบีย มี 75,000)

 

นัสเซอร์กล่าวต่อไปว่า "ซาอุดิมีวิธีการใช้เงินที่ได้ผลมหาศาล พวกนี้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับทาง Muslim Brotherhood และพวก ซาลาฟี" หมายถึงพวกซุนนีลัทธิสุดขั้วที่มองว่าชีอะต์เป็นพวกละทิ้งหลักการหรือนอกรีต "ครั้งที่แล้วที่อิหร่านทำท่าว่าเป็นภัยคุกคาม ซาอุดิสามารถระดมกำลังพวกหัวรุนแรงซุนนีชนิดที่สยองขวัญสุดๆ ให้ออกมาเคลื่อนไหวแทนมันได้ แต่ก็นั่นแหละ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเอาคนพวกนี้ออกมาจากกล่องแล้วล่ะก็....คุณไม่มีทางจับมันยัดกลับที่เดิมได้หรอก"

 

และนี่เอง ผลที่ตามมาก็คือ เหล่าผู้นำในราชวงศ์ซาอุดิ จึงตกที่นั่งเป็นทั้งสปอนเซอร์และเป็นเป้าโจมตีของพวกซุนนีลัทธิสุดขั้วไปพร้อมๆ กัน อันเนื่องมาจากในอีกด้านหนึ่งนั้น คนเหล่านั้นก็ต่อต้านการคอรัปชันและความเสื่อมทรามทางศีลธรรมของบรรดาเจ้าชายทั้งหลายไปด้วย ปัจจุบัน ราชวงศ์ของซาอุดิกำลังเล่นเกมพนันที่ว่า ตราบเท่าที่พวกเขายังให้การอุปถัมภ์ค้ำจุนโรงเรียนศาสนา องค์กรการกุศล หรือสถาบันบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ ที่มีโยงใยกับพวกสุดขั้วเหล่านี้แล้ว พวกเขาจะไม่ถูกโค่นล้ม และนโยบายใหม่ของผู้บริหารในวอชิงตันก็เป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับเกมพนันต่อรองที่ว่านี้อย่างมาก

 

นัสเซอร์ได้หยิบยกสถานการณ์ปัจจุบันไปเปรียบเทียบกับยุคที่อัล-ไคดาถือกำเนิดขึ้นมาเป็นครั้งแรก ในยุค 1980 จนถึงต้นยุค1990 รัฐบาลซาอุดิได้เสนอตัวให้ความช่วยเหลือซีไอเออเมริกาในการทำสงครามตัวแทนกับสหภาพโซเวียตในอัฟกานิสถาน ยุคนั้น ชายหนุ่มชาวซาอุดิมากมายลายร้อยถูกส่งไปยังบริเวณพรมแดนปากีสถาน เพื่อจัดตั้งโรงเรียนสอนศาสนา ค่ายฝึกนักรบ และปัจจัยพื้นฐานต่างๆ สำหรับผลิตคนเข้าร่วมขบวนการ นักรบหรือผู้ปฏิบัติการที่ได้รับเงินอุดหนุนจากซาอุดิในตอนนั้น - ซึ่งก็เหมือนกับตอนนี้ - ก็คือพวกซาลาฟีสุดขั้วนั่นแหละ และแน่นอนว่าในจำนวนนี้ย่อมรวมไปถึง โอซามา บิน ลาเดน และพรรคพวกของเขา ผู้ก่อตั้งขบวนการ อัล-ไคดา ขึ้นในปี 1988

 

ครั้งนี้ ที่ปรึกษารัฐบาลอเมริกาเล่าว่า บันดาร์และผู้นำซาอุดิรายอื่นๆ ได้ยืนยันให้ความมั่นใจกับทำเนียบขาวว่า "พวกเขาจะระแวดระวังจับตาพวกหัวรุนแรงทั้งหลายไว้อย่างดี ความหมายที่พวกซาอุดิต้องการจะสื่อถึงอเมริกาก็คือ "เราเป็นคนสร้างขบวนการนี้ขึ้นมา เราคุมมันได้" และแน่นอน...มันไม่ใช่ว่าเราไม่อยากเห็นพวกซาลาฟีโยนระเบิดนะ แต่ที่สำคัญคือ พวกนั้นจะโยนใส่ ใคร ต่างหากล่ะ - เฮซบอลเลาะห์ มุกตาดาร์ อัล-ซาเดอร์ อิหร่าน รวมไปถึงซีเรีย ถ้ามันยังไม่เลิกช่วยเหลือเฮซบอลเลาะห์กับอิหร่าน"

 

อดีตทูตชาวซาอุดิกล่าวว่า สำหรับมุมมองของคนในประเทศ การเข้าร่วมกับอเมริกาเพื่อท้าทายอำนาจของอิหร่าน ก่อให้เกิดความเสี่ยงตามมา นั่นก็คือ ตอนนี้บันดาร์ถูกโลกอาหรับมองว่าเขาใกล้ชิดกับคณะผู้บริหารบุชมากเกินไปแล้ว "เรากำลังเจอฝันร้ายสองอย่าง" อดีตทูตกล่าว "ทั้งเรื่องที่อิหร่านจะมีอาวุธนิวเคลียร์ และเรื่องที่อเมริกาจะโจมตีอิหร่าน ผมอยากให้อิสราเอลเป็นฝ่ายบอมบ์อิหร่านมากกว่า เราจะได้โทษอิสราเอลได้ เพราะถ้าอเมริกาเป็นคนทำเมื่อไหร่ พวกเราจะถูกตำหนิไปด้วย"

 

§

 

ปีที่แล้ว ซาอุดิ อิสราเอล และคณะผู้บริหารบุช ได้พัฒนาข้อตกลง-ทำความเข้าใจร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการขึ้นมาชุดหนึ่งเกี่ยวกับทิศทางของยุทธศาสตร์ใหม่ ที่ปรึกษาของรัฐบาลอเมริกาบอกผมว่า ข้อตกลงดังกล่าวมีองค์ประกอบหลักๆ อย่างน้อย 4 ข้อ

 

ข้อแรก อิสราเอลสามารถวางใจได้ว่า ปัญหาด้านความมั่นคงของมันสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด วอชิงตัน ซาอุดิ ตลอดจนรัฐซุนนีอื่นๆ ต่างก็มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับอิหร่านไม่ต่างกัน

 

ข้อสอง เกี่ยวกับการเมืองในปาเลสไตน์ ซาอุดิจะเคลื่อนไหวผลักดันให้ฮามาส-ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากอิหร่าน ลดท่าทีต่อต้านอิสราเอลลง และเริ่มการเจรจาจริงจังเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ร่วมกับฟาตาห์ (กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซาอุดิประสบผลสำเร็จในการเข้าไปช่วยเหลือเจรจาจนนำไปสู่ข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายที่เมืองเมกกะ อย่างไรก็ตาม ทั้งอิสราเอลและอเมริกากลับแสดงความไม่พอใจในเรื่องรายละเอียดเงื่อนไขบางอย่าง)

 

ข้อสาม คณะผู้บริหารบุช จะจับมือทำงานร่วมกับรัฐซุนนีโดยตรง เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่ชีอะต์กำลังทะยานขึ้นมามีอำนาจในภูมิภาค

 

ข้อสี่ รัฐบาลซาอุดิ โดยความเห็นชอบของอเมริกา จะสนับสนุนเงินทุนและความช่วยเหลือด้านส่งกำลังบำรุงแก่ฝ่ายตรงข้ามของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อาสัด แห่งซีเรีย เพื่อที่จะทำให้รัฐบาลของเขาอ่อนแอลง อิสราเอลเชื่อว่าการกดดันเช่นนี้จะทำให้ผู้นำซีเรียมีท่าทีที่เปิดกว้างสำหรับการเจรจาต่อรองมากขึ้น ซีเรียคือท่อส่งอาวุธหลักของเฮซบอลเลาะห์ และรัฐบาลซาอุดิยังไม่พอใจซีเรียเรื่องการลอบสังหารอดีตนายกฯ เลบานอน ราฟิก ฮาริรี ในเบรุตปี 2005 ที่ผ่านมาด้วย เพราะพวกเขาเชื่อว่ารัฐบาลของอาสัดเป็นผู้รับผิดชอบความตายครั้งนี้ ฮาริรีเป็นเศรษฐีพันล้านชาวซุนนีและมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับเหล่าผู้นำซาอุดิ รวมทั้งกับเจ้าชายบันดาร์

 

แพทริก คลอว์ซัน พูดถึงความร่วมมือระหว่างซาอุดิและทำเนียบขาวครั้งนี้ว่าเป็นเสมือนพัฒนาการใหม่ที่มีความหมายสำคัญอย่างมาก "ซาอุดิมองว่า ถ้าพวกเขาอยากให้คณะผู้บริหารบุชออฟเฟอร์ในสิ่งที่ดีกว่าเดิม-ใจกว้างกว่าเดิมสำหรับชาวปาเลสไตน์ พวกเขาก็ต้องโน้มน้าวให้รัฐอาหรับทั้งหลายพร้อมจะให้สิ่งที่ดีกว่าสำหรับอิสราเอลด้วย" คลอว์ซันกล่าวเสริมว่า แนวทางใหม่ที่ว่านี้ "แสดงถึงความพยายามและความเจนจัดทางความคิดอย่างแท้จริง รวมทั้งความรวดเร็วทันสถานการณ์แบบที่เราไม่ได้เห็นบ่อยนักในคณะผู้บริหารชุดนี้อีกด้วย ใครมีความเสี่ยงมากกว่ากัน—เราหรือซาอุดิ? ในช่วงเวลาที่สถานะของอเมริกาในตะวันออกกลางตกต่ำถึงขีดสุด ซาอุดิกลับให้การยอมรับสนับสนุนเราเต็มที่ แบบนี้...คงต้องนับว่าเป็นโชคดีของเรา"

 

ที่ปรึกษาเพนตากอนกลับมองต่างมุม เขากล่าวว่า คณะผู้บริหารหันไปหาบันดาร์ในฐานะ "การล่าถอย-กลับไปหาที่พึ่งสุดท้าย" เพราะมันค้นพบแล้วว่า ความล้มเหลวในอิรักจะทำให้ตะวันออกกลาง "พร้อมสำหรับคนที่แข็งแรงกว่ามาคว้าเอาไป"

 

 

 

จิฮัดดิสต์ในเลบานอน

 

ถัดจากอิหร่าน จุดสนใจร่วมกันของอเมริกา-ซาอุดิอยู่ที่เลบานอน โดยซาอุดิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยอย่างลึกซึ้งในเรื่องที่คณะผู้บริหารบุชได้ทุ่มเทความพยายามเพื่อสนับสนุนรัฐบาลเลบานอนมาตลอด นายกรัฐมนตรี ฟูอัด ซินยอรา กำลังดิ้นรนอย่างหนักเพื่อจะอยู่ในอำนาจต่อไป ท่ามกลางการต่อต้านที่ยืดเยื้อยาวนานนำโดยเฮซบอลเลาะห์ องค์กรของฝ่ายชีอะต์ที่มี ฮัสซัน นัสราลลาห์ เป็นผู้นำ เฮซบอลเลาะห์เป็นองค์กรที่มีโครงสร้างพื้นฐานครอบคลุมกว้างขวาง มีนักรบที่ประจำการพร้อมรบประมาณ 2,000-3,000 คน ร่วมกับสมาชิกแบบสมทบเพิ่มเติมอีกหลายพัน

 

ฤดูร้อนปีที่แล้ว หลังสงครามกับอิสราเอลจบลง ประธานาธิบดีบุชได้ประกาศให้ความช่วยเหลือหนึ่งพันล้านดอลลาร์แก่รัฐบาลซินยอรา มกราคมปีนี้ ในการประชุมที่ปารีสซึ่งมีอเมริกาเป็นโต้โผ มีการระดมเงินบริจาคจากประเทศต่างๆ เพื่อช่วยรัฐบาลเลบานอนเพิ่มเติมได้อีกเกือบ 8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจำนวนนี้รวมถึงกว่าหนึ่งพันล้านจากรัฐบาลซาอุดิไว้ด้วย ความช่วยเหลือในส่วนที่อเมริกาสัญญาไว้ปีที่แล้ว ได้ครอบคลุมความช่วยเหลือทางด้านการทหารถึง 200 ล้าน และด้านความมั่นคงภายในประเทศอีก 40 ล้าน

 

ไม่เพียงเท่านี้ ตามคำบอกเล่าของอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองระดับสูงและที่ปรึกษาของรัฐบาลอเมริกา คณะผู้บริหารบุชยังให้ความช่วยเหลือในทางลับกับรัฐบาลซินยอราด้วยเช่นกัน

 

"ตอนนี้เราอยู่ระหว่างโครงการเสริมเขี้ยวเล็บซุนนีเพื่อให้ต้านกับชีอะต์ เรากำลังอัดฉีดเงินออกไป...ให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้" อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองกล่าว แต่ปัญหาก็คือว่า เงินพวกนั้น "มักจะไหลไปเข้ากระเป๋าใครต่อใคร...เลยเถิดเกินกว่าที่เราคิดเอาไว้" เขาเล่าต่อ "และตามขั้นตอนที่ว่ามานี้  จึงเท่ากับว่าเรากำลังให้ทุนพวกเดนมนุษย์กลุ่มใหญ่อยู่ พวกที่อาจจะก่อเรื่องเลวร้ายชนิดที่เราไม่ได้ตั้งใจตามมาได้ เพราะเราไม่มีปัญญาจะไปกำหนดกฎเกณฑ์ว่า...คนที่เซ็นชื่อรับเงินเราไปจะต้องเป็นคนที่เราพอใจเท่านั้นนะ มันเป็นโครงการที่เสี่ยงสุดยอดไปเลย"

 

เจ้าหน้าที่อเมริกา ยุโรป อาหรับที่ผมคุยด้วย เล่าให้ฟังว่า รัฐบาลซินยอราและพันธมิตรของเขาต่างก็รู้เห็นเป็นใจ ปล่อยให้ความช่วยเหลือบางส่วนตกไปถึงมือของกลุ่มซุนนีหัวรุนแรงกลุ่มใหม่ๆ ที่กำลังผุดขึ้นมาแถบเลบานอนตอนเหนือ เทือกเขาบีกา และรอบๆ ค่ายผู้อพยพปาเลสไตน์ทางตอนใต้ กลุ่มเหล่านี้ ถึงแม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็ถูกมองว่าเป็นแนวป้องกันเฮซบอลเลาะห์ที่ดี และช่วยไม่ได้ ที่อุดมคติความเชื่อของคนเหล่านี้จะเป็นแบบเดียวกับอัล-ไคดา

 

อลัสแตร์ ครูก (Alastair Crooke) ผู้ซึ่งผ่านงานในหน่วยข่าวกรองของอังกฤษ MI6 มาเกือบ 30 ปี และปัจจุบันทำงานให้กับ Conflicts Forum - think tank ในเบรุต บอกผมว่า "รัฐบาลเลบานอนเปิดพื้นที่ให้คนพวกนี้เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก" ครูกเล่าให้ฟังว่า กลุ่มซุนนีสุดขั้ว Fatah al-Islam ได้แยกตัวมาจากองค์กรแม่ของมันที่โปร-ซีเรีย ชื่อ Fatah al-Intifada ในค่ายผู้อพยพ Nahr al-Bared ทางตอนเหนือของเลบานอน สมาชิกตอนที่แยกมามีจำนวนไม่ถึง 200 คน "ผมเพิ่งได้รับแจ้งว่า ภายใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา คนกลุ่มนี้เพิ่งจะได้รับข้อเสนอให้ความช่วยเหลือด้านเงินทองและอาวุธ จากคนที่แสดงตัวว่าเป็นผู้แทนมาจากรัฐบาลเลบานอน - คาดได้ว่าจะถูกใช้ให้ต่อสู้กับเฮซบอลเลาะห์" เขากล่าว

 

Asbat al-Ansar คือกลุ่มใหญ่สุด ตั้งมั่นอยู่ในค่ายผู้อพยพปาเลสไตน์  Ain al-Hilweh กลุ่มนี้ได้รับอาวุธและความช่วยเหลืออื่นๆ จากกองกำลังความมั่นคงภายในประเทศของเลบานอนและกลุ่มติดอาวุธที่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับรัฐบาลซินยอรา

 

ในปี 2005 ตามรายงานของ International Crisis Group (ICG) ซาอัด ฮาริรี ผู้นำเสียงข้างมากในรัฐสภาเลบานอน และลูกชายของราฟิก ฮาริรี ซึ่งได้รับมรดกถึงสี่พันล้านดอลลาร์หลังการเสียชีวิตของพ่อ ได้จ่ายเงิน 48,000 ดอลลาร์ เพื่อประกันตัวสมาชิกสี่คนของกลุ่มต่อสู้เพื่ออิสลามจากดินนิยา (Dinniyeh) คนพวกนั้นถูกจับจากกรณีที่พยายามจะจัดตั้งรัฐอิสลามขนาดเล็กขึ้นมาทางตอนเหนือของเลบานอน รายงานชิ้นนี้ระบุว่า สมาชิกจำนวนมากของกลุ่มต่อต้านนี้ "ได้รับการฝึกในค่ายของอัล-ไคดา ในอัฟกานิสถานมาแล้ว"

 

ตามรายงานของไอซีจี ต่อมา ซาอัด ฮาริรี ได้ใช้อำนาจของเสียงข้างมากในสภาที่เขาคุมอยู่ เพื่อโหวตนิรโทษกรรมให้กับกลุ่มอิสลามมิสต์จากดินนิยา 22 คน รวมทั้งผู้ต้องสงสัยว่าวางระเบิดสถานทูตอิตาลีและยูเครนในปีก่อนหน้านั้นอีก 7 คน (เขายังผลักดันการอภัยโทษให้กับ ซามีร์ จาจา ผู้นำกลุ่มติดอาวุธคริสเตียนมารอนไนท์ ซึ่งถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดจากการก่อเหตุฆาตกรรมศัตรูทางการเมืองสี่ครั้ง ซึ่งรวมไปถึงการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี ราชิด คารามี ในปี 1987 ด้วย) ซาอัด ฮาริรี พูดถึงการเคลื่อนไหวเรื่องนิรโทษกรรมของเขาให้นักข่าวฟังว่า มันเป็นเรื่องของมนุษยธรรม

 

ในการสัมภาษณ์ในเบรุต เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลซินยอรา ยอมรับว่ามีพวกจิฮัดดิสต์ซุนนีปฏิบัติการอยู่ในเลบานอนจริง "เรามีทัศนคติแบบเสรีนิยมซึ่งเปิดโอกาสให้พวกที่มีแนวทางแบบอัล-ไคดาอยู่ที่นี่ได้" เขากล่าว พร้อมกับแสดงความเป็นห่วงว่า ด้วยเหตุนี้ อิหร่านหรือซีเรียอาจจะทำให้เลบานอนกลายเป็น "สมรภูมิของความขัดแย้ง" ขึ้นมา

 

คณะผู้บริหารบุชได้วาดภาพว่า การให้ความช่วยเหลือรัฐบาลซินยอรา คือตัวอย่างที่แสดงถึงความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยและความปรารถนาของบุชที่จะปกป้องเลบานอนไม่ให้อำนาจอื่นใดเข้ามาแทรกแซงได้ ในเดือนธันวาคม เฮซบอลเลาะห์เป็นผู้นำการประท้วงรัฐบาลบนท้องถนนในเบรุต จอห์น โบลตัน ซึ่งตอนนั้นยังเป็นทูตอเมริกาประจำยูเอ็น เรียกเหตุการณ์ประท้วงนั้นว่า เป็น "ส่วนหนึ่งของรัฐประหารที่ได้แรงบันดาลใจจากอิหร่าน-ซีเรีย"

 

เลสลี เฮช. เกลบ์ (Leslie H. Gelb) ประธานของ Council on Foreign Relations คนที่แล้ว กล่าวว่า นโยบายของอเมริกาไม่ได้ส่งเสริมประชาธิปไตยของเลบานอนมากไปกว่า "ส่งเสริมกิจการความมั่นคงของอเมริกาเอง ความจริงก็คือว่า มันจะเป็นอันตรายร้ายแรงสำหรับเรามาก ถ้าเฮซบอลเลาะห์มีอำนาจปกครองเลบานอน" เกลบ์กล่าวว่า การล้มลงของรัฐบาลซินยอราจะถูกมองว่า "เป็นสัญญาณของการเสื่อมถอยของอเมริกา และการพุ่งขึ้นของภัยคุกคามการก่อการร้ายในภูมิภาคตะวันออกกลาง เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เป็นการจัดสรรอำนาจทางการเมืองใหม่ จะต้องได้รับการต่อต้านจากอเมริกา - และเราก็มีเหตุผลอันสมควรที่จะช่วยพรรคการเมืองที่ไม่ใช่ชีอะต์...ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนี้ เราควรจะพูดเรื่องนี้แบบเปิดเผยกับสาธารณชนไปเลย แทนที่จะมาพูดถึงประชาธิปไตย"

 

§

 

มกราคมต้นปีนี้ หลังเหตุการณ์รุนแรงปะทุขึ้นในท้องถนนเบรุตระหว่างฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลซินยอรากับฝ่ายสนับสนุนเฮซบอลเลาะห์ เจ้าชายบันดาร์บินไปเตหะรานเพื่อถกเรื่องการเมืองในเลบานอน และเพื่อพบกับ อาลี ลาริจานี ตัวแทนเจรจาปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่าน ตามคำบอกเล่าของทูตตะวันออกกลางคนหนึ่ง ภารกิจของบันดาร์ - ซึ่งทูตท่านนี้บอกว่าได้รับการรับรองจากทำเนียบขาวแล้ว - ยังมีอีกเป้าหมายหนึ่ง คือ "เพื่อสร้างปัญหาระหว่างอิหร่านกับซีเรียขึ้นมา" โดยก่อนหน้านี้มีความตึงเครียดของสองฝ่ายเกิดขึ้นแล้ว…จากกรณีที่ซีเรียมีการพูดคุยกับอิสราเอล เป้าหมายของซาอุดิจึงเป็นไปเพื่อกระตุ้นความไม่ลงรอยอันนี้ อย่างไรก็ตาม ทูตกล่าวว่า "มันไม่เวิร์ค ซีเรียกับอิหร่านไม่มีท่าทีว่าจะหักหลังกัน วิธีการของบันดาร์ไม่มีแนวโน้มว่าจะประสบความสำเร็จเอาเลย"

 

วาลิด จัมบลัต ผู้นำชาวดรูซในเลบานอนและเป็นผู้สนับสนุนซินยอราอย่างแข็งขัน ได้โจมตีนัสราลลาห์ว่าเป็นเอเจนต์ของซีเรีย และคอยตอกย้ำกับนักข่าวต่างประเทศบ่อยๆ ว่า เฮซบอลเลาะห์อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้นำศาสนาในอิหร่านโดยตรง ในการสนทนากับผมธันวาคมที่แล้ว เขาวาดภาพประธานาธิบดีซีเรีย บาชาร์ อาสัด ว่าเป็น "ฆาตกรต่อเนื่อง" เขาพูดถึงนัสราลลาห์ว่า "ผิดศีลธรรม" ในการลอบสังหารราฟิก ฮาริรี และฆาตกรรม ปิแอร์ จามายเยล รัฐมนตรีในรัฐบาลของซินยอรา เพราะนัสราลลาห์ให้การสนับสนุนซีเรีย

 

จัมบลัตบอกผมว่า ฤดูใบไม้ร่วงที่แล้ว เขาได้พบกับรองประธานาธิบดีเชนีย์ในวอชิงตัน เพื่อพูดคุยหารือกันในประเด็นต่างๆ และหนึ่งในนั้นก็คือ ความเป็นไปได้ที่จะบั่นทอนอำนาจของอาสัด เขาและคณะของเขาได้ให้คำแนะนำเชนีย์ว่า ถ้าอเมริกาคิดจะเคลื่อนไหวต่อต้านซีเรียแล้วละก็ สมาชิกของ Syrian Muslim Brotherhood จะเป็น "กลุ่มที่ต้องคุยด้วย" จัมบลัตกล่าว

 

Muslim Brotherhood แห่งซีเรีย คือสาขาของ Muslim Brotherhood ขบวนการซุนนีลัทธิสุดขั้วที่ก่อตั้งขึ้นในอียิปต์ตั้งแต่ปี 1928 ในซีเรีย องค์กรนี้ได้เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงต่อต้านระบอบปกครอง ฮาเฟซ อาสัด พ่อของบาชาร์ มากว่าทศวรรษ ในปี 1982 บราเธอร์ฮูดยึดเมืองฮามา (Hama) ได้ อาสัดเข้าถล่มเมืองนั้นเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ สังหารประชาชนไปประมาณ 6,000 - 20,000 คน การเป็นสมาชิกบราเธอร์ฮูดสามารถถูกลงโทษถึงตายในซีเรีย รวมทั้งมันยังจัดเป็นศัตรูที่ได้รับการประกาศชัดแจ้งของอเมริกาและอิสราเอลด้วยเช่นกัน แต่ถึงกระนั้น จัมบลัตกล่าวว่า "เราบอกเชนีย์ว่า ตัวเชื่อมสำคัญระหว่างอิหร่านกับเลบานอนคือซีเรีย - -  และถ้าจะเล่นงานอิหร่านหมดสภาพ คุณจำเป็นต้องเปิดประตูให้กับฝ่ายต่อต้านซีเรียที่มีฤทธิ์เดชจริงๆ"

 

มีหลักฐานว่ายุทธศาสตร์ปรับใหม่ของคณะผู้บริหารบุช ได้หยิบยื่นผลประโยชน์ให้กับบราเธอร์ฮูดแล้ว

Syrian National Salvation Front คือกลุ่มพันธมิตรกู้ชาติที่รวมตัวกันเพื่อต่อต้านรัฐบาลซีเรีย โดยสมาชิกหลักได้แก่กลุ่มบราเธอร์ฮูด และกลุ่มที่อยู่ภายใต้การนำของ อับดุล ฮาลิม คัดดัม (Abdul Halim Khaddam) อดีตรองประธานาธิบดีซีเรียที่หันหลังให้รัฐบาลมาเข้ากับฝ่ายตรงข้ามในปี 2005 อดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอระดับสูงบอกผมว่า "อเมริกาให้ความช่วยเหลือทั้งทางการเงินและทางการเมือง ซาอุดิรับบทนำเรื่องให้ทุน แต่อเมริกาก็มีเอี่ยวด้วย" เขาเล่าว่าคัดดัม ซึ่งตอนนี้อาศัยอยู่ในปารีส รับเงินจากซาอุดิอาระเบีย โดยมีทำเนียบขาวรู้เห็นเป็นใจด้วย (ในปี 2005 สื่อมวลชนรายงานว่า มีการพบปะกันระหว่างตัวแทนของกลุ่มฟรอนท์กับเจ้าหน้าที่จากสภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา) อดีตเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวบอกผมว่า ซาอุดิเป็นฝ่ายจัดหาเอกสารเดินทางให้กับสมาชิกของฟรอนท์

 

จัมบลัตบอกว่า เขาเข้าใจว่า ประเด็นนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับทำเนียบขาว "ผมบอกเชนีย์ว่า บางส่วนในโลกอาหรับ โดยเฉพาะหลักๆ คือชาวอียิปต์ คงจะไม่ชอบแน่ ถ้าอเมริกาช่วยเหลือบราเธอร์ฮูด" ในอียิปต์ ผู้นำซุนนีสายกลางได้ต่อสู้กับ Egyptian Muslim Brotherhood มาหลายทศวรรษ

 

"แต่ถ้าคุณไม่จัดการกับซีเรีย เรากับเฮซบอลเลาะห์ก็คงต้องเผชิญหน้ากันต่อ-ในศึกแบบยืดเยื้อ และกับการต่อสู้แบบนั้น…เราอาจจะไม่ชนะ" o

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท