บทบรรณาธิการ จดหมายข่าวขัดขืน ฉบับเดือนมีนาคม 2550
นักวิชาการที่อาศัยใบบุญ 14 ตุลา ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจากรัฐประหารใช้อำนาจเผด็จการมากขึ้น (ดู "ธีรยุทธ บุญมี" เหน็บ รบ."ฤๅษีเลี้ยงเต่า" - แนะสวมบท "ขุนพันธ์" ห้ำหั่น "แม้ว" ผู้จัดการออนไลน์ 25 กุมภาพันธ์ 2550 )
สื่อมวลชนออกมาสั่งสอนคณะรัฐประหารว่าการแทรกแซงสื่อไม่ควรกระโตกกระตาก (ดู อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ "คนชังทักษิณเริ่ม "หดหู่" คนรักทักษิณเริ่ม "เริงร่า""กรุงเทพธุรกิจ 14 มกราคม 2550 หน้า 2)
นักกฎหมายบอกว่าคณะรัฐประหารคือรัฐาธิปัตย์อย่างไม่ตั้งคำถาม (ดู สุรพล นิติไกรพจน์ "ผมมีความหวัง" ไทยโพสต์ 15 ตุลาคม 2549)
นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยร่วมงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จกับผู้นำรัฐประหาร (ดู "งานนี้ต้องฉลอง" จดหมายข่าวขัดขืน ประจำเดือนมกราคม 2550 หน้า 11)
นักวิชาการด้านสื่อบอกว่าช่วงเวลารัฐประหารคือโอกาสทองของการปฏิรูปสื่อ (ดู วิลาสินี พิพิธกุล (สัมภาษณ์) "ปีนี้เป็นปีทองของการปฏิรูปสื่อ ถ้าขับเคลื่อนต้องแรงและเร็ว" เนชั่นสุดสัปดาห์ 19 มกราคม 2550 หน้า 72-75)
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
คงป่วยการที่จะถามว่าทำไมพวกเขา/เธอ ถึงเปลี่ยนไป จากที่เคยเชื่อมั่นในสิ่งที่เรียกว่า ประชาธิปไตย/การมีส่วนร่วม/หลักนิติรัฐ หรืออย่างน้อยก็รังเกียจพฤติกรรมผูกขาด/อำนาจนิยม กลับมาเชิดชูระบอบรัฐประหารอย่างไม่ลืมหูลืมตา คำตอบเดียวที่ได้รับจากคนเหล่านี้คือ ไม่มีอะไรจะเลวร้ายกว่า "ระบอบทักษิณ" อีกแล้วและผู้นำรัฐประหารและนายกรัฐมนตรีล้วนแต่เป็น "คนดี"
สำหรับเราแล้วพฤติกรรมและการดำเนินนโยบายของ พ.ต.ท.
เราอาจจะไม่มีนักธุรกิจที่ขายหุ้น 73,300 ล้านโดยไม่เสียภาษี แต่งบประมาณกระทรวงกลาโหม
หลังรัฐประหารเพิ่มขึ้น 29,800 ล้านบาท, เราอาจจะไม่มีนักธุรกิจ-นักเลือกตั้ง มาบริหารประเทศ แต่เราได้ระบบราชการที่ล้าสมัยกลับมา, เราอาจจะไม่มีเอฟทีเอกับสหรัฐเอมริกา แต่เราได้เอฟทีเอกับญี่ปุ่น, เราอาจจะไม่มีการแทรกแซงสื่อ แต่เราได้สื่อมวลชนที่รับใช้/แก้ต่างให้ระบอบรัฐประหารอย่างเต็มใจ, เราอาจจะไม่มีรัฐธรรมนูญที่สร้างความเข้มแข็งให้นายกรัฐมนตรี แต่เราจะได้รัฐธรรมนูญที่มอบอำนาจกลับไปให้ข้าราชการและชนชั้นนำนอกรัฐธรรมนูญ ฯลฯ
เราจะสรุปได้หรือยังว่า 6 เดือนที่ผ่านมา มันเป็นเพียง สิ่งที่เรียกว่า "อัปปรีย์ไป จัญไรมา" เท่านั้นเอง
บทเรียนที่เกิดขึ้นนอกจากจะบอกว่ารัฐประหารไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องในการแก้ไขปัญหาทางการเมืองแล้ว ยังเป็นสิ่งย้ำเตือนสำหรับขบวนการประชาชนด้วยว่า การเคลื่อนไหวในแนวทาง "ประชาธิปไตยแบบพึ่งพิง" โดยโหนกระแส "ปรากฏการณ์สนธิ" (ซึ่งโหนกระแสพระราชอำนาจและรถถังอีกต่อหนึ่ง) นั้นไม่ได้สร้างความเข้มแข็งใด ๆ แก่ขบวนการประชาชนเลย แน่นอนว่าการสร้างความเข้มแข็งแก่ขบวนการประชาชน นั้นไม่ง่ายและต้องใช้เวลา แต่มันก็เป็นวิถีทางเดียวมิใช่หรือที่จะสร้างความเติบโตและดอกผลกลับคืนสู่ประชาชนอย่างแท้จริง
........
ภายใต้สภาวการณ์ที่นักวิชาการ สื่อมวลชน และผู้ที่กำลังอ้างตัวว่าเป็นนักประชาธิปไตยจำนวนมากกำลังประหน้าทาแป้งรัฐบาลเผด็จการทหารชุดนี้อยู่นั้น เราเห็นว่าข้อเขียนของ "ปรีชา อารยะ" ซึ่งเป็นนามปากกาของวรพุทธิ์ ชัยนาม ปัญญาชนผู้ล่วงลับก่อนวัยอันควร กลับสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง ในบทความที่มีความแหลมคมยิ่งนี้
บัดนี้ เรามีรัฐบาลของพระเจ้าอยู่หัว มีสมัชชาประชาชนของพระเจ้าอยู่หัว และต่อไปก็จะมีรัฐสภาของพระเจ้ายู่หัว สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องประกันประชาธิปไตยของราษฎรแน่หรือ ตรงกันข้าม นี่คือจุดเริ่มต้นของอำนาจมืดอีกลักษณะหนึ่งในยุคมืดที่เพิ่งสลายไปนั้น ใครที่ตำหนิติเตียนรัฐบาลดังเกินไปก็จะถูกตราหน้าว่าเป็น "ซ้ายจัด" บ้าง เป็น "คอมมิวนิสต์"บ้าง ซึ่งล้วนเป็นข้ออ้างที่จะทำลายผู้มีความผิดเพียงขัดขวางอำนาจทรราชย์ แต่ต่อไปใครที่ตำหนิรัฐบาลและระบบที่สร้างขึ้นมาใหม่ก็คงต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาอีกกระทงหนึ่งของบรรดาขันทีบ้าอำนาจว่าเป็นกระทำการ "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" ("อุบัติเหตุ
เอกสารประกอบ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)