Skip to main content
sharethis

การเมือง


 


ขู่ม๊อบพรึ่บสนามหลวงสนธิกำชับทหารคุมเข้ม


คมชัดลึก - นายจตุพร พรหมพันธุ์ รองประธานกรรมการบริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี กล่าวว่า จากการหารือของคณะผู้บริหารและทีมงานบางส่วนของพีทีวีวันที่ 15 มีนาคม เห็นตรงกันว่าพีทีวีจะทำการออกอากาศให้ได้ภายในเร็วๆ นี้ ขณะนี้ฝ่ายเทคนิคอยู่ระหว่างทดสอบความพร้อม แต่ตนยังไม่ขอเปิดเผยว่าจะใช้ช่องทางใด โดยเป็นการออกอากาศที่ถูกต้องตามกฎหมาย แม้ว่าจะไม่ได้รับการเชื่อมต่อสัญญาณจากทีโอที และแคท เทเลคอม แต่เทคโนโลยียุคปัจจุบันพัฒนาไปไกลมาก ซึ่งพีทีวีจะเปิดแถลงรายละเอียดวันและเวลาออกอากาศให้ทราบอย่างเป็นทางการอีกครั้ง หากการออกอากาศถูกขัดขวางอีกครั้งก็จะประกาศชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรมที่ท้องสนามหลวง พร้อมเชิญชวนประชาชนเข้าร่วม เพราะเราทำตามกระบวนการอย่างสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมช่องอื่นแต่ยังโดนรังแก จึงถือว่าเราไม่มีทางเลือกแล้ว


 



 "ยืนยันว่าพีทีวีมีช่องทางออกอากาศแน่ วันนี้ก็พร้อมเกือบ 100% ที่จริงก็มีมานานแล้วแต่เราชะลอเพื่อใช้มาตรการต่อสู้ทางคดีก่อน ถ้าเราถูกรังแกจนตรอก ก็ต้องใช้การชุมนุมเป็นเรื่องเป็นราวที่สนามหลวง ซึ่งรูปแบบการชุมนุมเราก็เตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน ซึ่งคนในพีทีวี อย่างนายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานกรรมการบริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี นายอุสมาน ลูกหยี ผู้ดำเนินรายการและผู้ก่อตั้งพีทีวีรวมทั้งผมต่างก็เคยผ่านประสบการณ์พฤษภาทมิฬมาแล้ว" นายจตุพร กล่าว


 



ก่อนหน้านี้ มีการแจกใบปลิวเชิญชวนให้มาชุมนุมที่ท้องสนามหลวงเพื่อต่อต้าน คมช. ของแกนนำสมาพันธ์ประชาธิปไตย ซึ่งมีนายวีระ มุสิกพงศ์ ผู้บริหารพีทีวี และอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย เข้าร่วมการชุมนุมด้วย


 



ส่วนกลุ่มพิราบขาว ซึ่งเคลื่อนไหวต่อต้าน คมช. และได้ปักหลักชุมนุมที่บริเวณท้องสนามหลวงเพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญ จนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล และเจ้าหน้าที่เทศกิจสำนักงานเขตพระนคร หลังจากที่เข้ารื้อเต็นท์ของกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อเปิดทางจัดงานเทศกาลกีฬาไทย ทำให้แกนนำ 5 คนถูกจับกุมไปเมื่อวันที่ 15 มีนาคมนั้น นายเริงศักดิ์ โหราเรือง ผู้อำนวยการเขตพระนคร กล่าวว่า เมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 15 มีนาคม กลุ่มพิราบขาวได้มารวมตัวประท้วงที่หน้าสำนักงานเขตพระนคร เพื่อเรียกร้องให้ทางเขตคืนของกลางที่ยึดไว้ เช่น เวที เต็นท์ และเครื่องขยายเสียง รวมถึงเรียกร้องให้ทางกลุ่มผู้ชุมนุมสามารถเข้าใช้พื้นที่ในวันที่ 17 มีนาคม ซึ่งจะมีการนัดชุมนุมใหญ่


 



ทั้งนี้จากการหารือได้ข้อสรุปร่วมกันว่า เขตยอมที่จะคืนของกลางให้แก่กลุ่มผู้ชุมนุม และหากกลุ่มผู้ชุมนุมมีการชุมนุมอย่างสงบ โดยไม่มีการตั้งเวทีหรือใช้เครื่องขยายเสียง และมีการจัดสรรพื้นที่ในท้องสนามหลวงโดยไม่ให้กระทบต่อการจัดงานเทศกาลกีฬาไทยก็ไม่น่าจะมีปัญหา ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมยอมสลายตัวจากหน้าสำนักงานเขตในเวลา 01.00 น.


 



นายเริงศักดิ์ กล่าวอีกว่า เขตได้ประสานงานไปยังสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) กรุงเทพมหานคร ให้นำแท่งปูนมากั้นปิดทางรถเข้าออกในพื้นที่ท้องสนามหลวงเพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มพิราบขาว รวมถึงเครือข่ายต่อต้าน คมช.นำเวทีหรือวัสดุอุปกรณ์ขนาดใหญ่เข้ามาติดตั้งภายในท้องสนามหลวง เพื่อไม่ให้กระทบต่อการจัดงานเทศกาลกีฬาไทย


 



สนธิสั่ง ทภ.1-กทม.ดูแลการชุมนุม


ด้าน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และประธาน คมช. กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 17-18 มีนาคม ที่ท้องสนามหลวง ว่า กองทัพภาคที่ 1 และกรุงเทพมหานคร ได้ประสานความร่วมมือและเตรียมการไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม ฝากบอกไปถึงผู้ที่จะเคลื่อนไหวว่า ขณะนี้บ้านเมืองต้องการความสามัคคี หากจะทำอะไรขอให้คำนึงกันให้ดีก็แล้วกัน


 



พล.ต.ท.อดิศร นนทรีย์ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รก.ผบช.น.) กล่าวยืนยันว่า ตำรวจนครบาลจะใช้วิธีการอะลุ้มอล่วยในการรักษาความสงบเรียบร้อยให้กับกลุ่มพิราบขาว และคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ที่นัดชุมนุมกันที่ท้องสนามหลวง รวมทั้งจะควบคุมไม่ให้มีการชุมนุมละเมิดกฎหมาย โดยจะใช้บรรทัดฐานเดียวกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเน้นวิธีการเจรจา ดูแลความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกด้านการจราจร


 



นอกจากนี้ การรักษาความปลอดภัยจะทำร่วมกับทหาร และเพิ่มมาตรการสืบสวนหาข่าวเชิงรุกมากขึ้น ภายใต้แผน มกรา 50 ที่มีมาตรการรับมือตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ หลังเกิดเหตุและการฟื้นฟู โดยยึดหลักป้องกันมากกว่าการปราบปราม อย่างไรก็ตาม รก.ผบช.น. ได้ดูการสาธิตแผนปฏิบัติการควบคุมฝูงชน การตรวจค้น และเก็บกู้วัตถุระเบิด ตลอดจนการใช้ม้า และสุนัข ในการควบคุมฝูงชน และตรวจค้นจับกุมของตำรวจปฏิบัติการพิเศษ หรือ 191 ที่สนามกีฬาบุณยะจินดา ย่านถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นการซ้อมเพื่อเตรียมรับมือในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน



 


ประธาน คมช. ระบุข้อเสนอ คมช. ไม่มีผลต่อ กมธ. ยกร่าง รธน.


สำนักข่าวเนชั่น -พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวในการปิดการสัมมนา "รัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัติรย์ทรงเป็นประมุข ในมุมมองของกองทัพ" ระหว่างวันที่ 14 - 16 มีนาคม ที่ พัทยา จ.ชลบุรี ตอนหนึ่งว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ การจัดทำรัฐธรรมนูญถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นการกำหนดกลไกกติกาในการปกครองประเทศ การที่ผู้แทนของกองทัพได้มีส่วนแสดงความคิดเห็น ตามกรอบรับฟังความคิดเห็นของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และประเด็นสำคัญด้านความมั่นคง ถือว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ปกป้องอธิปไตยของประเทศ ซึ่งเป็นภารกิจโดยตรงที่สำคัญยิ่งของทหาร


 


"ข้อเสนอแนะที่ได้จากการสัมมนาครั้งนี้ ทั้งกรอบรับฟังความคิดเห็นของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และเรื่องความมั่นคง คมช. จะนำไปพิจารณา เพื่อเสนอคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญต่อไป" พล.อ.สนธิ กล่าว


 


พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ตามกรอบระยะเวลา การร่างรัฐธรรมนูญจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2550 การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญตามข้อคิดเห็นจากสถาบัน และองค์กรที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการทำประชาพิจารณ์ จะเสร็จสิ้นในเดือนสิงหาคม จากนั้น จะมีการลงประชามติรับรองร่างรัฐธรรมนูญในต้นเดือนกันยายน แต่ในทางปฏิบัติทราบว่า สภาร่างรัฐธรรมนูญอาจจะดำเนินการให้แล้วเสร็จเร็วกว่าที่กำหนด


 


"ขั้นตอนการลงประชามติ ขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันรณรงค์ให้กำลังพลภายในหน่วย และประชาชนในพื้นที่ให้รับทราบ และตระหนักถึงความสำคัญ และไปใช้สิทธิอย่างพร้อมเพรียง" พล.อ.สนธิ กล่าว


 


จากนั้น พล.อ.สนธิ ให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดในการลดจำนวน ส.ส. - ส.ว. และที่มาของนายกรัฐมนตรี ในการระดมความเห็นของนายทหาร ซึ่งอาจจะมีผลกระทบว่า ขณะนี้เป็นการสัมมนา จะผิดหรือถูก ถือเป็นความคิดเห็นของคนกลุ่มหนึ่ง ผลการสัมมนาครั้งนี้ จะนำไปหารือใน คมช. ด้วยว่า อะไรควร อะไรไม่ควร เพื่อเป็นข้อมูลให้กับคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญประกอบการพิจารณา ไม่ต้องการวิจารณ์มาก ถือเป็นข้อคิดเห็นของคนกลุ่มหนึ่ง


 


"เท่าที่ฟัง ส่วนใหญ่เหมือนกับที่ประชาชนคิด คงไม่แตกต่าง เพียงแต่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะนำตรงไหนไปพิจารณาบ้าง ขึ้นอยู่กับคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่าจะนำผลการปฏิบัติที่ผ่านมาของการเมืองมาปรับแก้อย่างไร" พล.อ.สนธิ กล่าว


 


ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการสัมมนามีบางประเด็นที่เสนอให้ทหารเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง อาจจะทำให้เกิดปัญหา โดยเฉพาะวงจรปฏิวัติ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ไม่มี พร้อมกับยืนยันว่า ข้อเสนอของ คมช.ไม่มีบทบาทต่อการตัดสินใจของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพราะคณะกรรมการธิการฯ จะต้องนำไปพิจารณาในภาพรวม นี่เป็นเพียงข้อเสนอของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ จะต้องไประดมความเห็นจากส่วนอื่น ๆ รวบรวมมาพิจารณา


 


ต่อกรณีที่มีข้อเสนอให้กำหนดศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ จะทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม โดยเฉพาะในภาคใต้หรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ความจริงมีหลายประเทศที่กำหนดศาสนาประจำชาติ และเรื่องนี้อยู่ในแนวคิดของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญด้วย แต่ต้องฟังเสียงประชาชน


 


เมื่อถามว่า การเคลื่อนไหวของทหารในการร่างรัฐธรรมนูญ จะทำให้ถูกมองว่าจ้องล้มร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า อย่าคิดเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองจะถูกล้มตลอด ขอให้มองในสิ่งที่ดี และเชื่อว่ารัฐธรรมนูญจะเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งนักการเมืองต้องการให้มีการเลือกตั้งเร็ว ๆ


 


นอกจากนี้ พล.อ.สนธิ ยังกล่าวถึงการพบกับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) วานนี้ (15 มี.ค.) ว่า คตส. มารายงานผลการทำงาน และหารือเรื่องที่จะมีการแถลงข่าว ในวันที่ 20 มีนาคม นี้ ว่า คตส. จะนำเรื่องอะไรไปชี้แจงให้ประชาชนทราบบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เมื่อถามว่า การตรวจสอบของ คตส. จะช่วยลดความอึดอัดของประชาชนได้หรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า คงไม่ลด แต่หายอึดอัด


 


 


ชวน-อธิการธรรมศาสตร์หนุนที่มา"นายกฯ"คนนอก


กรุงเทพธุรกิจ - การเสวนาเรื่อง "ทิศทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ" มีนายสุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมอภิปรายว่า รัฐธรรมนูญทุกประเทศเขียนขึ้นเพื่อรองรับหรือแก้ไขสถานการณ์ของประเทศในขณะนั้น รัฐธรรมนูญไม่ใช่คัมภีร์ไบเบิล หรือพระไตรปิฎกเมื่อสถานการณ์ของประเทศเปลี่ยนไปรัฐธรรมนูญก็จะถูกปรับแก้ไข


 



ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญต้องตอบสนอง และแก้ไขปัญหาการจัดการสภาพการเมืองการปกครองของประเทศ โจทย์ข้อแรก ที่ผู้ร่างต้องคิดคือจะจัดระบบการปกครองอย่างไรที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนรัฐประหาร ที่ระบบการตรวจสอบไม่สามารถทำงานได้ ฝ่ายบริหารมีอำนาจเข้มแข็งมาก เกิดอำนาจรวมศูนย์ มีการคอร์รัปชัน หลายคนนิยามการปกครองตามชื่อผู้นำ ว่า "ทักษิณาประชาธิปไตย"


 



โจทย์ข้อสอง การแก้ไขหรือคลี่คลายสถานการณ์รัฐประหาร 19 กันยา ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่มีคนมอบดอกไม้และยินดีมาก แต่ก็เป็นการประหารรัฐด้วยกำลังที่ไม่ชอบธรรม ไม่ว่าจะมองจากสายตาต่างประเทศ นักวิชาการหรือคนไทยด้วยกันเอง ดังนั้นการแก้ปัญหาของรัฐธรรมนูญ ต้องแก้ปัญหาความไม่ไว้วางใจต่ออำนาจเบ็ดเสร็จที่มีอยู่ให้ได้


 



"รัฐธรรมนูญจะต้องตอบโจทย์ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้มีการทำรัฐประหารครั้งต่อไป และทำอย่างไรจะไม่ให้มีการสืบทอดอำนาจของตนเองในกลไกที่มีการตรวจสอบ นี่คือโจทย์ข้อที่สองที่ยังไม่เห็นชัดเจนนักในความเห็นหรือทัศนะของผู้ร่างรัฐธรรมนูญขณะนี้ เห็นแต่ประเด็นแรกที่มองว่าการเมืองการปกครองมีปัญหาต้องกลับไปแก้ไข"


 



นายสุรพล กล่าวด้วยว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องวางหลักแก้สถานการณ์ทั้งสองให้ได้ โดยคำนึงถึงบริบททางการเมืองที่เป็นอยู่ และมองให้ออกว่าสังคมไทยเป็นอย่างไร โดยผู้ร่างต้องตระหนักว่า 1.รัฐบาลไม่ประสบความสำเร็จในการบริหารประเทศ ความนิยมตกลง คนไทยรู้สึกว่าไม่มีรัฐบาลมาปกครอง เป็นความรู้สึกที่อันตรายมาก 2.คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ไม่สามารถผลักดันเหตุผลทำรัฐประหารได้ชัดเจน 3.ผู้ร่างรัฐธรรมนูญต้องตระหนักว่าผู้เสียหายจากการถูกยึดอำนาจพยายามกลับเข้ามาโดยใช้วิธีต่างๆ 4.สังคมไทยยังมีความขัดแย้งสูง 5.รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นฉบับแรกของไทยที่มีการทำประชามติทั้งฉบับ ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นฉบับแรกของโลกหรือไม่


 



"ผมขอยก 2 ประเด็นที่สังคมไทยพูดกันมาก คือ เรื่องที่มาของนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้ต้องพูดให้ชัดว่าโดยทฤษฎีไม่ควรกำหนดให้นายกฯ ต้องมาจากส.ส.เท่านั้น ประเทศประชาธิปไตยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้กำหนดเช่นกัน เป็นการปิดช่องไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาเป็นนายกฯ ท้ายที่สุดก็จะนำไปสู่ภาวะสังคมไทยไร้ทางออก และเป็นประเด็นให้เกิดเหตุการณ์เช่น 19 กันยา แต่ในทางวิชาการเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเขียนผูกมัดไว้เช่นนั้น แต่ถ้าผู้ร่างคำนึงถึงบริบททางการเมืองและข้อเท็จจริง 5 ประการที่ได้กล่าวไว้ และโจทย์ข้อแรกของรัฐธรรมนูญที่ต้องการป้องกันอำนาจเบ็ดเสร็จ ก็ไม่มีทางอื่นนอกจากจะกำหนดให้นายกฯ มาจากส.ส."


 



ประเด็นที่สองแนวคิดตุลาการภิวัตน์ มีการเสนอในการแต่งตั้งนายกฯ รักษาการณ์ เมื่อมีการยุบสภา และนำไปสู่การพิจารณาประเด็นการเมืองอื่นๆ ศาลไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะแต่งตั้งคนมาบริหารประเทศ แต่แนวคิดที่เชื่อว่าศาลเป็นผู้วิเศษคือทำหน้าที่ชี้ขาดอรรถคดี ด้วยเหตุนี้ศาลจึงเป็นหน่วยงานสุดท้ายที่ถูกการเมืองแทรกแซง แต่เมื่อศาลเข้ามาสู่การเมือง ศาลก็จะถูกแทรกโดยการเมือง


 



"ชวน"หนุนรธน.เปิดช่องนายกฯคนนอก


นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นักการเมืองมีบทบาทสำคัญ มีผลกระทบต่อส่วนรวมมาก หากใช้คุณธรรมจริยธรรมในทางที่ดีจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม แต่หากขาดคุณธรรมจริยธรรม จะเป็นผลลบต่อบ้านเมือง เพราะนักการเมืองเป็นทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร บทบาทของนักการเมืองจึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกสถาบันมาก ดังนั้น จึงมีคำถามว่า ต้องมีคุณธรรมจริยธรรมมากกว่าคนอื่นหรือไม่ วันนี้ภาพของนักการเมืองเป็นในทางลบ ทุกประเทศเป็นอย่างนี้ เพราะเป็นกลุ่มคนที่วิจารณ์ได้ง่าย จึงได้ยินความชั่วร้ายของนักการเมืองมากกว่าเรื่องดี


 



นายชวน กล่าวตอบข้อถามที่ผู้เข้าร่วมฟังการบรรยายถึงประเด็นที่มานายกฯ คนนอกว่า ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องเขียนบังคับไว้ เพราะเป็นที่รู้กันโดยอัตโนมัติ และไม่มีรัฐบาลที่บ้าพอที่จะไปนำคนนอกมาเป็นนายกฯ แต่สำหรับประเทศไทย ที่ประชาธิปไตยมีปัญหา มีคนคอยจ้องเข้ามาแสวงหาประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง คนกล้าที่เข้ามาทำงานเพื่อส่วนรวมมีน้อย จึงเห็นว่าการเขียนเปิดช่องไว้ไม่น่าจะมีปัญหา



 


สั่งฟ้อง6แกนนำล็อม"คม ชัด ลึก"เจอ3ข้อหาหนัก!เต้นขอประกันตัว


คมชัดลึก -เป็นคดีความฟ้องร้องกันมากว่า 1 ปี หลังจากกลุ่มคาราวานคนจนนำพวกกว่าพันคนปิดล้อมอาคารสำนักงานเนชั่น ย่านบางนา ที่ทำการของหนังสือพิมพ์ "คม ชัด ลึก" เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2549 ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้ผู้ที่อยู่ในอาคารได้รับความเดือดร้อน จึงเข้าร้องทุกข์ต่อตำรวจ สน.บางนา จนกระทั่งพนักงานสอบสวนได้ทำสำนวนส่งให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้อง ล่าสุดพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องกลุ่มแกนนำคาราวานคนจนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว


 



เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 16 มีนาคม นายคำตา แคนบุญจันทร์ อดีตแกนนำสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน (สกยอ.) นายอรรถฤทธิ์ สิงห์ลอ เลขาธิการคาราวานคนจน นายชูพงษ์ ถี่ถ้วน นายธนวิชญ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา แกนนำร่วมคาราวานคนจน นายชินวัฒน์ หาบุญพาด นายกสมาคมพิทักษ์ผลประโยชน์ผู้ขับรถแท็กซี่ที่กรุงเทพฯ และนายสำเริง อดิษะ แกนนำร่วมคาราวานคนจน ผู้ต้องหาที่ 1-6 คดีปิดล้อมอาคารเนชั่น ถ.บางนา-ตราด เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2549 เข้ารายงานตัวต่อนายอดิเรก ลุยวิกกัย อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 เพื่อฟังการสั่งคดี


 



ทั้งนี้ อัยการมีความเห็นให้สั่งฟ้อง นายคำตากับพวกรวม 6 คน ในความผิดฐานร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดๆ โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพและทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว กักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย มาตรา 310 และร่วมกันใช้ทำการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน อันเป็นการทำผิด พ.ร.บ.ควบคุมอาคารการโฆษณาโดยใช้เครื่องกระจายเสียง พ.ศ. 2493



หลังแจ้งคำสั่งฟ้องให้ผู้ต้องรับทราบแล้ว นายขวัญชัย ควรคิด อัยการจังหวัดประจำกรม ฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ นำตัวนายคำตา กับพวก พร้อมคำฟ้องไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ตามคำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2549 เวลากลางวัน นายคำตา จำเลยที่ 1 นายอรรถฤทธิ์ ที่ 2 นายชูพงษ์ ที่ 3 นายธนวิชญ์ ที่ 4 นายชินวัฒน์ ที่ 5 และนายสำเริง ที่ 6 กับพวกซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัด ร่วมกันเป็นผู้นำกลุ่มมวลชนประชาชนจำนวน 1,000-3,000 คน เรียกตัวเองว่า "คาราวานคนจน" ร่วมกันใช้ไมโครโฟนพร้อมลำโพงหลายตัวทำการโฆษณาประกาศให้ประชาชนกลุ่มดังกล่าวมาร่วมกับจำเลยทั้งหก ทำการปิดล้อมอาคารเนชั่นทาวเวอร์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน


 



โดยจำเลยทั้งหกกับพวกปิดล้อมทางเข้าออกอาคารเนชั่นทุกด้านแล้วประกาศผ่านไมโครโฟนบนหลังคารถบรรทุก ขนาดเล็กให้ประชาชนมาร่วมกับจำเลยกับพวกเพื่อเรียกร้องให้นายประเสริฐ ศรีสืบ นายจักร์กฤษ เพิ่มพูล และนายภาคภูมิ เตมะสิริ ผู้บริหาร นสพ."คม ชัด ลึก" ส่งตัวผู้สื่อข่าวที่รายงานข่าว ที่จำเลยทั้งหกกับพวกอ้างว่าหมิ่นเบื้องสูง ให้ออกมาพบเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงในข้อความที่ นสพ."คม ชัด ลึก" ตีพิมพ์ลงฉบับวันที่ 24 มีนาคม 2549 หากไม่ยินยอมตามข้อเรียกร้องดังกล่าว จำเลยทั้งหกกับพวกและประชาชนจะทำการปิดล้อมอาคารเนชั่นเพื่อไม่ให้พนักงานเนชั่นเข้าออกได้


 



นอกจากนี้ จำเลยทั้งหกกับพวกยังร่วมกันขู่ว่าจะทำร้ายนายจักร์กฤษ ผู้เสียหายที่ 1 นายสุรชัย มูฮำหมัด ผู้เสียหายที่ 2 และพนักงานเนชั่นอีกประมาณ 211 คน โดยสั่งให้ผู้เสียหายทั้งสองและพนักงานเนชั่นดังกล่าวอยู่เฉพาะภายในอาคารเนชั่น โดยการกระทำของจำเลยทั้งหกกับพวกเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด ด้วยทำให้เกิดความกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกาย จนผู้บริหาร นสพ."คม ชัด ลึก" ต้องจำยอมทำตามข้อเรียกร้องด้วยการนำผู้สื่อข่าวออกมาพบจำเลยทั้งหกกับพวก และกระทั่งผู้บริหาร นสพ."คม ชัด ลึก" จำต้องยอมประกาศว่า นสพ."คม ชัด ลึก" และผู้สื่อข่าว ยืนยันว่า "ข้อความที่ลงพิมพ์นั้นตรงกับคำให้สัมภาษณ์ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล โดยสรุปจริง เพื่อแสดงความสำนึกและความรับผิดชอบในการนำเสนอข่าวนี้ กองบรรณาธิการ "คม ชัด ลึก" จะปิดตัวเองเป็นเวลา 5 วัน คือวันที่ 31 มีนาคม และวันที่ 1-2 เมษายน และวันที่ 8-9 เมษายน 2549" โดยจำเลยทั้งหก ได้มอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สน.บางนา เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2549 ซึ่งชั้นสอบสวนจำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ


 



หลังศาลประทับรับคำฟ้องไว้เป็นคดีดำหมายเลข 1877/2550 โดยศาลสอบคำให้การแล้ว จำเลยทั้งหกยืนยันให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ศาลจึงนัดพร้อมคู่ความเพื่อกำหนดวันสืบพยานในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ เวลา 09.00 น.


 



หลังอัยการยื่นฟ้องนายคำตา กับพวกรวม 6 คน เป็นจำเลยต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ และสอบคำให้การจำเลยแล้ว ต่อมานายประกัน จึงได้ยื่นคำร้องประกันตัวพร้อมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดิน จ.พระนครศรีอยุธยา มูลค่าประเมิน 2.9 ล้านบาท เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งหก โดยศาลพิจารณาคำร้องและหลักทรัพย์แล้ว จึงอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งหก โดยตีราคาประกันคนละ 1 แสนบาท


 



นายสุเมธ ชัยช่วงโชค อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ กล่าวว่า คดีนี้แตกต่างจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร เนื่องจากเป็นการใช้กำลังปิดล้อมสถานที่ ทำให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบ ขณะที่กลุ่มพันธมิตรชุมนุมโดยใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ส่วนการยื่นคำร้องของผู้ต้องหา ขอให้พนักงานอัยการใช้ดุลพินิจ ตามแนวทางสมานฉันท์นั้น จะมีการพิจารณาภายหลัง แต่วันนี้จะต้องส่งตัวผู้ต้องหาพร้อมสำนวนฟ้องต่อศาล เพื่อตกเป็นจำเลยกันไปก่อน จากนั้นจะพูดคุยกับเจ้าทุกข์เพื่อหาแนวทางไกล่เกลี่ยต่อไป


 


 


ความมั่นคง


ชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามทั้ง จ.ยะลา ร่วมละหมาดฮายัติขอความสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่


กรมประชาสัมพันธ์ - หลังเกิดปัญหาความไม่สงบขึ้นอย่างต่อเนื่องในจังหวัดยะลานั้น โดยเฉพาะเหตุการณ์คนร้ายลอบยิงรถตู้โดยสารสายเบตง หาดใหญ่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 8 คนนั้น เป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญเป็นอย่างยิ่ง นายธีระ มินทราศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา จึงจัดให้มีการรวมพลังของกลุ่มพี่น้องประชาชนในพื้นที่โดยเฉพาะประชาชนชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาได้กำหนดให้อิหม่ามประจำมัสยิดในจังหวัดยะลาทั้ง 456 มัสยิด จัดพิธีละหมาดฮายัติขึ้น โดยการละหมาดฮายัติดังกล่าวได้กระทำหลังจากพิธีละหมาดวันศุกร์ของพี่น้องชาวไทยมุสลิมโดยจะมีสรรพบุรุษหรือผู้นำละหมาดในแต่ละมัสยิดนำละหมาดฮายัติของพรให้เกิดความสันติสุขขึ้นในพื้นที่


 



ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา กล่าวว่า ประชาชนในพื้นที่ทุกคนไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวของกลุ่มคนร้าย และขอให้ประชาชนทุกคนมีความอดทนอย่าหวั่นไหวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนนำไปสู่ความแตกแยกในพื้นที่


 



ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ได้ร่วมเข้าร่วมพิธีละหมาดฮายัติกับประชาชนที่มัสยิดเบอร์เส้ง อำเภอเมือง จังหวัดยะลา โดยได้ขอให้เหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ยุติลง พร้อมเรียกร้องให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบหยุดสร้างสถาน การณ์ความไม่สงบในพื้นที่



 


เผาอาคารไม้เก่า ร.ร.ปายอ เสียหายทั้งหลัง


สำนักข่าวเนชั่น - พ.ต.ท.สะการียา ยูโซ๊ะ รอง ผกก.สภ.อ. สายบุรี จ.ปัตตานี รับแจ้งมีเหตุลอบเผาอาคารเรียนโรงเรียนบ้านปายอ ม.3 บ้านปายอ ต.กะดูนง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยรถดับเพลิงของอำเภอสายบุรี ร่วมอำนวยการดับเพลิง


 


พบอาคารไม้ชั้นเดียว สภาพเก่า ทำให้กลายเป็นเชื้อเพลิงอยางดี กำลังถูกเพลิงเผาไหม้ โดยมีชาวบ้านกำลังช่วยกันดับเพลิงอยู่ ปรากฎว่าไฟได้ลุกไหม้ประมาณ 1 ชั่วโมง อาคารเสียหายหมดทั้งหลัง


 


จากการสอบสวนทราบว่า อาคารเรียนดังกล่าว เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวสภาพเก่า จำนวน 1 หลัง แบ่งเป็น 4 ห้อง มีห้องละหมาด ห้องอนุบาล1 และอนุบาล 2 และชั้น ประถม 6 ขณะที่ยามโรงเรียนกำลังดูแลบริเวณโรงเรียนอยู่ ก็ได้เห็นเปลวไฟลุกไหม้ บริเวณภายในห้องละหมาด จึงได้แจ้งผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านมาช่วยกันดับ แต่ปรากฏว่า ไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว เพราะเป็นไม้เก่า จนกระทั่งไฟได้ไหม้ลามไปแต่ละห้องๆ จนเสียหายหมดทั้ง4 ห้อง 1 หลัง เชื่อว่าเป็นการลอบวางเพลิงของคนร้ายที่สร้างสถานการณ์


 


 


"ป๋าเปรม"ลั่น!ไม่ยอมให้ใครแบ่งแยกดินแดนเด็ดขาด


ผู้จัดการ- พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ กล่าวถึงสถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จ.ชายแดนภาคใต้ว่า การที่ทำอะไรให้กับคนในชาติเรา เป็นเรื่องที่สำคัญ และสมควร คนที่ได้รับการกล่าวถึงย่อมมีขวัญ และกำลังใจเพิ่มขึ้นกว่าที่มีอยู่เดิม ตอนนี้ในประเทศของเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นทหาร ต้องการขวัญ และกำลังใจมาก พวกที่อยู่ทางใต้ตั้งแต่ พล.ท.วิโรจน์ บัวจรูญ แม่ทัพภาค 4 ไปจนถึงเด็กคนสุดท้ายที่อยู่ทางใต้ต้องการขวัญ และกำลังใจ ต้องการให้ผู้บัญชาการอย่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ลงไปจนถึงผู้บังคับบัญชาท่านอื่นที่อยู่ในกรุงเทพฯ ได้ให้ขวัญ และกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ก็เหมือนกัน ก็ต้องการกำลังใจจากพวกเราซึ่งเป็นคนไทยในประเทศนี้


 


"ผมคิดว่าการกระทำอย่างนี้ จะช่วยให้เป็นเรื่องดี และทำให้เกิดขวัญและกำลังใจ ที่ผมได้สั่งนายกฯ สุรยุทธ์ พูดว่าบ้านเมืองของเรากำลังวิกฤติอย่างทำไม่เคยปรากฏมาก่อน พวกเราต้องสังวร และจดจำ และพร้อมที่จะให้กำลังใจกับรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ ในขณะเดียวกัน นายกฯ ก็น่าจะต้องให้กำลังใจกับพวกเราที่ปฏิบัติงานอยู่ทางภาคใต้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของการเป็นเพื่อนร่วมตายกัน ระหว่างผู้บังคับบัญชา และผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่ากำลังใจที่ทำให้เกิดความรักสามัคคี ทำให้เราหยิ่งในเกียรติศักดิ์ของทหาร กำลังใจที่จะทำให้พวกเราหันหน้าเข้าหากัน คิดช่วยกัน และกำลังใจที่พวกเราจะเผื่อแผ่ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา พวกเราเคยบังคับบัญชาหน่วยมาแล้วทั้งนั้น รู้ดีว่าเราควรที่จะพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่าอย่างไร เขาถึงจะมีกำลังใจในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเขาเพื่อชาติบ้านเมือง"พล.อ.เปรม กล่าว


 


พล.อ.เปรม กล่าวอีกว่า ตอนนี้เป็นภาวะวิกฤติอย่างที่นายกฯ ว่าจริงๆ จึงเป็นโอกาสที่จะพูดให้พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่ทั้ง 3 กองทัพ รวมทั้งตำรวจด้วยว่า เด็กๆ ทางภาคใต้ต้องการขวัญ และกำลังใจจากพวกเรา จากประชาชนชาวไทย จากผู้ที่เขาหวังว่าจะมองผลการเสียสละของเขา จะมองเห็นการต่อสู้อย่างทรหดอดทนของเขา และก็ช่วยปรบมือให้กำลังใจเขาว่า เขากำลังทำหน้าที่แทนพวกเราเพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อคนไทย


 


"ก็เพียงแต่ขอร้องให้พวกเราว่าช่วยกันคิด ช่วยกันทำ เพื่อท่านนายกฯ ผบ.ทบ. ผบ.ทร. ผบ.ทอ. และ ผบ.สส. รวมทั้งแม่ทัพภาค 4 ที่มีหน้าที่อยู่ทางใต้ จะได้มีกำลังใจในการต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมืองโดยไม่ย่อท้อ ไม่ท้อถอย และจะต้องทำให้สำเร็จ จะต้องไม่ยอมให้ใครมาแบ่งแยกดินแดนเด็ดขาด จะต้องไม่ยอมให้ใครมาแบ่งแยกดินแดนของเราไปได้ อาจจนอกเรื่องไปหน่อย แต่ก็หวังว่าคงจะเข้าใจ ผมจึงต้องพูด" พล.อ.เปรม ระบุ


 


 


"ทัพบก"ประกาศจับมือบึ้ม"ยะลา" 36 คน


แนวหน้า - พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ หน.ศปช.พ.ต.ท.43 กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามจับกุมคนร้ายที่ลอบวางระเบิดเมื่อวันที่ 18 ก.พ.ว่าขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้ออกประกาศจับหมายจับคนร้ายที่ลอบวางระเบิดป่วนเมืองยะลา แล้วจำนวน 36 คน โดยขอให้ประชาชนที่พบเห็นในประกาศและทราบเบาะแสก็ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ได้รับทราบเพื่อที่จะไปจับกุมตัวมาดำเนินคดี ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งได้ที่หมายเลข 1341 ตลอด 24 ชั่วโมง แล้วจะมีเจ้าหน้าที่ไปพิสูจน์ทราบทันที


 



นอกจากนี้ ทางกองทัพบกจะทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ที่ประกาศเคอร์ฟิวส์ ว่าเป็นมาตรการควบคุมในระยะสั้นหรือมาตรการควบคุมชั่วคราวเพื่อที่จะแยกคนบริสุทธิ์ออกจากคนเลว เพื่อปกป้องคนบริสุทธิ์ ซึ่งทหารจะไปทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่แบบตัวต่อตัว โดยจะมีการประชุมชี้แจงจากนายอำเภอ ผู้นำศาสนาในพื้นที่ และสื่อมวลชนในพื้นที่ พร้อมกับแจกใบปลิวชี้แจงให้กับประชาชนได้ทราบตามจุดตรวจจุดสกัดต่างๆและทางอากาศ เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนได้ปฏิบัติตนได้ถูกต้อง


 



ทั้งนี้ หากประชาชนท่านใดไม่เข้าใจก็ขอให้โทรศัพท์สอบถามได้ที่ที่หมายเลข 1881 กองอำนวยการด้านความมั่นคงภายใน และหากเจ้าหน้าที่ได้ประเมินแล้วว่าเหตุการณ์ดีขึ้น ก็จะยกเลิกการประกาศใช้ได้ทันที


 


 


เล็งเคอร์ฟิวเพิ่ม2อำเภอดักถล่มรถนักเรียนเผาโรงเรียนปัตตานี


คมชัดลึก -หลังเหตุคนร้ายยิงรถตู้สายเบตง-หาดใหญ่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตคารถ 8 คน และไปตายที่โรงพยาบาลเพิ่มอีก 1 คน จนทางการต้องสั่งห้ามชาวบ้านออกจากเคหสถาน (เคอร์ฟิว) ในบางพื้นที่ แต่สถานการณ์ใน จ.ยะลา ก็ยังไม่สงบ ล่าสุด มีเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงรถรับส่งนักเรียนอีก



เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 16 มีนาคม ร.ต.ท.สมศักดิ์ รัตนพันธุ์ ร้อยเวรฯ สภ.อ.กาบัง จ.ยะลา รับแจ้งเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธสงครามยิงรถบัสรับส่งนักเรียนของโรงเรียนรุ่งภิญโญ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ในพื้นที่บ้านลูโบ๊ะปันยัง ต.กาบัง อ.กาบัง จ.ยะลา หลังรับแจ้งจึงนำกำลังเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบรถบัสของโรงเรียนดังกล่าวถูกยิงจนกระจกด้านหน้าและล้อหน้าด้านข้างคนขับแตก แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ


 



จากการสอบสวนทราบว่า รถบัสคันเกิดเหตุมี นายปรีชา ดำผอม อายุ 35 ปี เป็นผู้ขับ และนายธีระ แก้วขวัญ อายุ 28 ปี เป็นครูเวรฯ ที่ต้องตระเวนส่งนักเรียนกลับบ้านในช่วงเย็น และขณะเกิดเหตุ เป็นช่วงเดินทางกลับหลังจากส่งนักเรียนจำนวน 35 คน กลับบ้านพักในพื้นที่ ต.บาโหย อ.สะบ้าย้อย และบางตำบลของพื้นที่ อ.กาบัง ซึ่งเป็นเขตรอยต่อกัน เสร็จสิ้นแล้ว ครูและคนขับรถขับรถผ่านจุดเกิดเหตุ มีคนร้ายใช้อาวุธปืนกราดยิงใส่ทันที เคราะห์ดีที่นายปรีชาสามารถประคับประคองรถเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัย ก่อนแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจรับทราบและเข้าตรวจสอบทันที


 



อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกติดตามไล่ล่าคนร้ายแล้ว ในเบื้องต้นคาดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่ต้องการสร้างสถานการณ์ในพื้นที่อย่างแน่นอน ทั้งนี้เพื่อต้องการสร้างความหวาดกลัวให้แก่ราษฎรในพื้นที่


 



เล็งเคอร์ฟิว อ.ระแงะ-อ.รือเสาะ


ส่วนกรณีที่แม่ทัพภาคที่ 4 ได้ออกมาตรการควบคุมการก่อเหตุความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 4 ฉบับ โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.บันนังสตา-ยะหา จ.ยะลา ที่มีการประกาศเคอร์ฟิว ห้ามออกนอกบ้าน ตั้งแต่เวลา 20.00-04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น พร้อมห้ามแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ ให้พกบัตรประชาชน และห้ามครอบครองวิทยุสื่อสารนั้น พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ โฆษกกองทัพบก ในฐานะหัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์กองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) กล่าวว่า ทำให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดำเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะการปิดล้อมตรวจค้นกลุ่มผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบ ซึ่งสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้หลายหลาย โดยเฉพาะที่ ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัย เป็นเยาวชนได้ 7 คน ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบ และระบุว่า พื้นที่ใดที่ยังเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็อาจจะประกาศใช้เคอร์ฟิวได้ เช่น อ.ระแงะ และ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ซึ่งมีเหตุรุนแรงรายวัน


 



 "ยืนยันว่าในการออกมาตรการ เป็นการควบคุมเหตุการณ์ไม่ให้รุนแรงเท่านั้น ส่วนหนึ่งจะทำให้ง่ายต่อการปฏิบัติยุทธศาสตร์แยกปลาออกจากน้ำ ภายใต้การดำเนินงานดูแลความสงบ ควบคุมเหตุการณ์ร้าย ควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ" โฆษกกองทัพบก กล่าว และว่า ประชาชนได้ให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากข้อมูลข่าวสารทั้งหมดอาจส่งไปถึงประชาชนไม่ทั่วถึงทำให้ชาวบ้านในบางพื้นที่ประมาณ 20% ไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจน ซึ่งเบื้องต้น กองทัพภาคที่ 4 ได้แก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ด้วยการออกมาตรการ 7 อย่างเพื่อประชาสัมพันธ์เชิงรุก รวมทั้งกำหนดเบอร์โทรศัพท์กลางเพื่อรับแจ้งข้อมูล 1881 และ 08-1897-9720



 


ระดมสมองผุดโรงพักในฝันตร.ชั้นประทวนขานรับปรับโครงสร้าง


คมชัดลึก - คณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจ ได้จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นในการปรับปรุงสถานีตำรวจ โดยมีตำรวจจากทั่วประเทศประมาณ 500 นาย เข้าร่วมแสดงความเห็น เพื่อพัฒนาสถานีตำรวจให้เป็นโรงพักในฝันที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์


 



 พล.ต.อ.ไกรสุข สินศุข ประธานคณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างและการบริหาร กล่าวว่า คณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจได้เสนอระบบงานของสถานีตำรวจ 10 ด้าน เป็นกรอบให้ตำรวจร่วมตัดสินใจ และนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี โดยเนื้อหาหลักจะแยกงานที่ไม่ใช่งานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ออกไปอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของหน่วยงานอื่น เช่น งานรับแจ้งความเอกสารหาย งานกักขังแทนค่าปรับ งานตอบรับโทรศัพท์ งานเสมียนต่างด้าว และงานอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจหลักของตำรวจ เพื่อให้โครงสร้างของตำรวจกระชับขึ้น


 



 พล.ต.อ.ไกรสุข กล่าวว่า ต่อไปจะมีการแบ่งมาตรฐานโรงพักออกเป็น 3 ขนาด ได้แก่ ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดย่อย โดยไม่มีการแบ่งสายงานของรองผู้กำกับสถานี เพื่อให้ทุกคนทำงานเหมือนๆ กัน ในส่วนของผู้กำกับสถานีก็จะเปลี่ยนไปเป็นผู้จัดการสถานี ซึ่งจะส่งผลให้สถานีตำรวจไม่มีผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา แต่จะเปลี่ยนเป็นเพื่อนร่วมงาน อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการสถานียังมีอำนาจในแต่งตั้งโยกย้าย



 ประธานคณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างฯ กล่าวต่อว่า โครงสร้างสถานีตำรวจใหม่จะกำหนดให้มีอัตราพนักงานสอบสวนหญิงอย่างน้อยโรงพักละ 1 คน เพื่อให้รับผิดชอบงานคดีที่เกี่ยวกับผู้หญิงและเด็ก สำหรับงานจราจรตำรวจจะต้องดูแลต่อไป เพราะมีเรื่องการบังคับใช้กฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่จะเปิดกว้างให้หน่วยงานอื่นๆ อาทิ กทม.เข้ามาร่วมจัดระบบการจราจรได้


 



 "ในส่วนของภาพลักษณ์ที่ตำรวจจราจรไปหาเงินกับค่าปรับ ผมได้ทำความเข้าใจให้เร่งแก้ไข โดยยอมรับว่าการเพิ่มสวัสดิการให้ตำรวจจะช่วยยกระดับการทำงานบริการประชาชนให้ดีขึ้น ซึ่งกระแสตอบรับจากตำรวจชั้นประทวนค่อนข้างมั่นใจว่า หลังปรับโครงสร้างพวกเขาจะมีอนาคตที่ก้าวหน้าในอาชีพ และจะมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ส่วนตำรวจสัญญาบัตรจะวิตกเรื่องทิศทางการทำงาน" พล.ต.อ.ไกรสุข กล่าว



 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมได้เปิดให้แสดงความคิดเห็น โดยตำรวจต่างจังหวัดส่วนใหญ่มีความสับสนว่า จะมีการถ่ายโอนตำรวจไปขึ้นกับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจยืนยันว่า จะไม่มีการถ่ายโอนไปสังกัดหน่วยงานอื่นแน่นอน แต่รูปแบบใหม่จะดึงงบประมาณจากหน่วยงานท้องถิ่นมาสนับสนุนงานสถานีตำรวจ


 


 


เศรษฐกิจ


ซัดกม.ต่างด้าว ขัดกติกาWTO พาณิชย์โต้อียู


ไทยโพสต์ - นายเกริกไกร จีระแพทย์ รมว.พาณิชย์ กล่าวภายหลังการเข้าพบของนายเฟรดดิช แฮมเบอเกอร์ เอกอัคราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ว่า ทูตยุโรปได้แสดงความกังวลว่าการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ.2542 อาจจะขัดต่อข้อตกลงองค์กรการค้าโลก (WTO) ซึ่งตนได้อธิบายให้ทูตอียูเข้าใจว่าไม่ได้ขัดตามข้อตกลง WTO รวมทั้งไทยไม่เคยมีข้อผูกพันเรื่องสิทธิการออกเสียง (โหวตติ้ง ไรท์) อันเป็นเนื้อหาสำคัญของกฎหมายนี้ไว้กับ WTO และกฎหมายนี้ไม่ได้เป็นการจำกัดอิสรเสรีของการประกอบธุรกิจของคนต่างชาติ


 



นอกจากนี้ ทูตอียูยังกังวลต่อการออก พ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่งฯ ซึ่งได้ชี้แจงว่าการออกกฎหมายนี้ก็เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ที่ได้แบ่งแยกว่าเป็นคนไทยหรือต่างชาติ และเนื้อหากฎหมายนี้ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในประเทศยุโรปหลายประเทศ เช่น อังกฤษ เยอรมนี เบลเยียม และสวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น


 



ทางด้านนายการุณ กิตติสถาพร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า รมว.พาณิชย์ ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด เพื่อพิจารณาคำนิยาม "คนต่างด้าว" เพราะฉบับของกระทรวงพาณิชย์ และของ สนช.มีความแตกต่างกัน โดยร่างของ สนช.ได้ปรับนิยามคนต่างด้าว โดยผ่อนปรนให้กับบริษัทที่คนต่างด้าวถือหุ้นไม่เกิน 50% แต่มีสิทธิออกเสียงเกินกึ่งหนึ่งสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด


 


 


นักกม.ค้านพรบ.หลักทรัพย์ ให้อำนาจกรรมการกำกับตลาดทุนรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ


แนวหน้า - นายพิจารณ์ สุภารังสี กล่าวในฐานะที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ว่า ขณะนี้ได้ตรวจพบข้อพิรุธหลายเรื่องในหลักการสำคัญของการร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฉบับใหม่ โดยก่อนหน้านี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ในขณะที่ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้เสนอพ.ร.บ.ดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)ชุดรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ พิจาร ณาแล้ว และอยู่ระหว่างการนำเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)พิจารณา


 



 "สิ่งที่ผิดปกติในกฎหมายฉบับนี้พบว่า มีการมอบอำนาจให้คณะกรรมการกำกับตลาดทุนแบบรวบอำนาจ และเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และที่สำคัญเป็นการให้อำนาจแบบครอบจักรวาล ทั้งการให้อำนาจในการบังคับใช้กับผู้บริหาร และกรรมการในบริษัทมหาชนจำกัด ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และการให้อำนาจบังคับใช้กับบริษัทมหาชนจำกัดที่ไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้อีกด้วย ทั้งนี้เห็นว่าบริษัทมหาชนที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ คณะกรรมการกำกับตลาดทุนจะไปควบคุมอย่างไร ถือว่าผิดหลักการของกฎหมาย"นายพิจารณ์ กล่าว


 



 นอกจากนี้ในกรณีที่คณะกรรมการตลาดทุนทำผิดเสียเอง แต่ไม่มีการกำหนดบทลงโทษ หรือการลาออกแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน คณะกรรมการกำกับตลาดทุนกลับมีอำนาจ และหน้าที่ไปบังคับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนแบบรวมอำนาจ ซึ่งเป็นการขัดหลักการของขบวนการยุติธรรมที่ต้องมีการตรวจสอบรวจสอบข้อเท็จจริง และถ่วงดุลอำนาจ


 



 "ข้อพิรุธสำคัญอีกเรื่องจะเป็นการให้คณะกรรมการกำกับตลาดทุนขึ้นตรงกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้คณะกรรมการก.ล.ต.ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี เสมือนเป็นการบริหารแบบลอยตัวไม่มีบทลงโทษ เพราะมีการใช้ คณะกรรมการกำกับนโยบายตลาดทุนเป็นตัวแทน (นอมินี)ซึ่งพบข้อเท็จจริงว่า กรรมการในคณะกรมการตลาดทุนก็เป็นเพียงเจ้าหน้าที่เท่านั้น และจะเป็นผู้ถูกฟ้องร้องลำดับแรก หากมีการกระทำผิดกฎหมาย และความผิดไม่ถึงคณะกรรมการก.ล.ต.แต่อย่างใด"นายพิจารณ์ กล่าว


 


 


คุณภาพชีวิต


 


จัดเสวนาล้มโรงไฟฟ้าเมืองไผ่ยันทำลายสวล./ใช้อิทธิพลมืดข่มขู่ชาวบ้าน-นักข่าว


แนวหน้า -จากกรณีที่ชาวเมืองบ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ออกมาโวยการสร้างโรงงานไฟฟ้าพลังแกลบ โดยมีองค์กรต่างๆ ออกมาเคลื่อนไหวอย่างมากมาย ทำให้สร้างความไม่พอใจแก่ผู้เสียประโยชน์เป็นเหตุให้มีการใช้อิทธิพลมืดคุกคามแกนนำชาวบ้าน และสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าว และล่าสุดกลุ่มคัดค้นได้จัดประชุมเสวนาคัดค้านโรงไฟฟ้าดังกล่าวอีกครั้ง


 



 นายวิพัฒนาชัย พิมพ์หิน ประธานคณะกรรมการประสานงานเพื่อการพัฒนาองค์กรเอกชน (กป.อพช.) ภาคอีสาน กล่าวว่า ตน และนายอภิชาติ สิงคลีบุตร ประธานเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์สิ่งแวดล้อมหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ จ.ขอนแก่น นายภานุมาศ หล้ามณี ประธานเครือข่ายคณะกรรมการชุมชนเมืองบ้านไผ่ พร้อมกับชาวบ้านในชุมชนเมืองบ้านไผ่ 26 ชุมชน ประมาณ 1,200 คน ร่วมจัดชุมนุมเสวนาคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังแกลบ อ.บ้านไผ่ เพื่อแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการคัดค้านโรงไฟฟ้าดังกล่าว


 



 ด้านนายนพดล โฆษิตวัฒนาพานิชย์ รองนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ ฝ่ายการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ได้เดินทางมาร่วมงานเสวนาเรื่องสิ่งแวดล้อมและมลพิษของโรงงานไฟฟ้าพลังแกลบ กล่าวว่า ทางเทศบาลยังไม่ได้อนุมัติให้ผู้ประกอบการก่อสร้างโรงงานพลังแกลบตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด เพราะจะต้องมีการจัดทำประชาพิจารณ์ สอบถามประชาชนก่อนที่จะดำเนินการ ทางเทศบาลยังไม่อนุญาตให้ดำเนินการใดๆ ใน


 



 ทางด้านนายภาณุมาศ ผู้แทนเครือข่ายชุมชนเทศบาลเมืองบ้านไผ่ กล่าวว่า ขณะนี้ทางผู้ประกอบการโรงงาน ได้ถมดินปรับพื้นที่เตรียมดำเนินการก่อสร้างและและทราบว่ามีการกว้านซื้อที่ดินของชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงเพื่อขยายโรงงานแล้ว หากเทศบาลยังไม่อนุญาตให้ก่อสร้างเอกชนจะถมที่ขุดสระน้ำทำไมเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามกันต่อไป และนอกจากนี้ยังมีกลุ่มอิทธิพลมืด ได้ออกมาข่มขู่แกนนำที่ร่วมกันคัดค้านโรงไฟฟ้าดังกล่าว รวมทั้งยังขู่ทำร้ายสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวในเรื่องนี้ด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ต้องขอให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลคุ้มครองชาวบ้าน แกนนำ และสื่อมวลชนในพื้นที่ด้วย


 


 


"สิริกร"ชิงลาออกประธาน"ทีเคปาร์ค"


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ -ดร.สิริกร มณิรินทร์ ประธานคณะกรรมการอุทยานการเรียนรู้ เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการอุทยานการเรียนรู้ หรือ Thai Knowledge Park (TK Park) แล้ว ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2550 ซึ่งเป็นการลาออกต่อคณะกรรมการคบริหารสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (สบร. )ต้นสมัคร โดยระบุว่าเป็นการลาออกโดยสมัครใจ ทั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับดูแลทีเคพาร์ค ที่ต้องการเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปสมัครเข้าสู่กระบวนการสรรหาในตำแหน่งดังกล่าวใหม่ ซึ่งตนยอมรับในกติกาและพร้อมสมัครเข้าสู่กระบวนการสรรหาในครั้งใหม่ด้วย


 


ผู้สื่อข่าวถามว่า การลาออกครั้งนี้มีสาเหตุจากการถูกกดดันหรือบีบคั้นทางการเมืองหรือไม่นั้น ดร.สิริกร กล่าวว่า ตนไม่ขอตอบคำถาม และขอไม่เรียกว่าการกดดัน แต่ในลักษณะของการทำงานเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องมีความกดดันบ้าง แต่ตนเชื่อในสิ่งที่ทำและทำในสิ่งที่เชื่อ มีทีมงานที่ดี จึงผ่านพ้นปัญหาอุปสรรคมาได้ แต่ตนบอกได้อย่างเดียวว่า การลาออกครั้งนี้ไม่รู้สึกเสียใจ หรือเสียดายอะไร เพราะทำงานด้วยใจ ไม่ได้ยึดติด แต่ใจหายบ้างเพราะทำงานกับคณะกรรมการและทีมงานมานานกว่า 2 ปีจึงมีความผูกพันเหมือนพี่น้อง และได้ทำดีที่สุดแล้ว ส่วนการดำรงตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการสำนักงานอุทยานการเรียนรู้อีกตำแหน่งหนึ่งนั้น เมื่อลาออกจากประธานคณะกรรมการทีเคพาร์คแล้ว จึงหมดวาระไปโดยปริยาย ซึ่งตนคิดว่าคุณหญิงทิพาวดีคงเห็นว่าเป็นการควบหลายตำแหน่ง จึงถึงจุดแล้วที่จะมีผู้ปฎิบัติงานแต่ละหน่วยงานในสบร.เต็มตัว


 


ทั้งนี้ คณะกรรมบริหารสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (สบร. )ได้แต่งตั้งให้ คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช ดำรงตำแหน่งแทน ดร.สิริกร ซึ่ง ดร.สิริกร ได้เข้ามาทำงานที่ทีเคพาร์คโดยการแต่งตั้งของรัฐบาลในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งทีเคพาร์คเป็น 1 ใน 7 องค์การมหาชน ภายใต้การบริหารงานของ สบร.


 


 


ไอซีทีดันกฎหมายล้างอำนาจกทช. ทรูสนซื้อหุ้นดาวเทียมชินแซท


ไทยโพสต์ - นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยในการสัมมนา "ทิศทางและนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศ" ว่าต้องการให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แก้กฎหมายหน่วยงานองค์กรอิสระ โดยเฉพาะคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ที่มีอำนาจผูกขาด ทำให้มีนักการเมืองหลายรุ่นเข้ามาตักตวงผลประโยชน์จากอุตสาหกรรมโทรคมนาคมได้ง่าย ซึ่งหากไม่เปลี่ยนแปลงกฎหมาย จะทำให้ กทช.กลายเป็นหน่วยงานอิสระที่ออกใบอนุญาตประเภทต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ เพราะเดิมบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจผูกขาด แต่ปัจจุบัน กทช.กลับมีอำนาจ ซึ่งนักการเมืองเข้ามาตักตวงผลประโยชน์ได้



 


นอกจากนี้ การที่ กทช.ได้ออกใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมประเภทที่ 3 หรือแบบมีโครงข่ายเป็นของตนเอง) ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) นั้น เหมือนทำผิดวัตถุประสงค์ เพราะการไฟฟ้าฯ ไม่เคยดำเนินธุรกิจด้านโทรคมนาคม อาจไม่มีความเชี่ยวชาญ



 


"ที่ผ่านมาสัมปทานมีความลักลั่นและถูกแก้ไขโดยไม่ผ่านคณะรัฐมนตรี เกิดจากความไม่โปร่งใสของคนในภาครัฐ ทำให้เกิดระบบเงินใต้โต๊ะ กลายเป็นแหล่งหาผลประโยชน์ของนักการเมือง ซึ่งในรัฐบาลชุดนี้ที่เป็นรัฐบาลชั่วคราวจะจัดสัญญาสัมปทานให้เป็นธรรมก่อน ส่วนเรื่องอื่นอาจดำเนินการไม่ทัน" รมว.ไอซีทีกล่าว และว่า โครงข่ายโทรคมนาคมคือความมั่นคงของชาติ ซึ่งทีโอทีและ กสท ควรเป็นเจ้าของร่วมกัน และบริหารให้เอกชนเช่าใช้ เพราะในที่สุด 2 องค์กรนี้ต้องควบรวมกิจการกัน



 


นายสมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ผู้อำนวยการวิจัยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า เห็นด้วยกับรัฐบาลที่จะปรับปรุงสัญญาสัมปทาน แต่ควรกวาดล้างเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริตด้วย เพื่อให้เป็นกรณีตัวอย่าง โดยต้องนำผู้เกี่ยวข้องจากการทำผิดมาลงโทษอย่างรวดเร็ว และให้ระวังความอ่อนไหวของบริษัทโทรคมนาคมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อย่างไรก็ตามหากรัฐจะผูกขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมอาจทำให้รัฐไม่มีเงินลงทุน และผลประโยชน์ตกอยู่กับนักการเมืองที่จะเข้ามาบริหารประเทศอีกครั้ง จึงเห็นควรเปิดเสรีให้มีผู้ประกอบการหลายราย



 


ด้านนายธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายพาณิชย์ ดีแทค กล่าวว่า ปัญหาการปรับเปลี่ยนคือ ความล่าช้าทำให้เกิดความไม่แน่นอน เอกชนตัดสินใจไม่ได้ จึงขอให้รัฐบาลดำเนินการให้เร็วและเสร็จในรัฐบาลชุดนี้ หากรอรัฐบาลจากการเลือกตั้งจะมีปัญหากลุ่มทุนการเมืองที่มีประโยชน์ทับซ้อนอีก


 



นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในทางธุรกิจแล้วสนใจกิจการดาวเทียม ซึ่งที่ผ่านมามีธนาคารบางแห่งทาบทามทรูฯ ให้ซื้อหุ้น บมจ.ชิน แซทเทลไลท์ โดยธนาคารพร้อมปล่อยเงินกู้ แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนทั้งเรื่องสัมปทานและการขายหุ้นของกลุ่มเทมาเส็ก ซึ่งถ้ามีการขายหุ้นจริง ในฐานะธุรกิจของคนไทยก็สนใจ เพราะในยุคปัจจุบันเทคโนโลยีมีความจำเป็น เนื่องจากผู้บริโภคไม่ได้ใช้บริการเพียงเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่ง แต่ใช้หลายเทคโนโลยี หากการขายหุ้น บมจ.ชิน แซทเทลไลท์ มีความชัดเจน กลุ่มทรูฯ จะตัดสินใจอีกครั้ง


 


 


ต่างประเทศ


นักเคลื่อนไหวในสหรัฐเตรียมชุมนุมประท้วงต่อต้านการทำสงครามอิรักในโอกาสครบรอบ 4 ปีที่สหรัฐนำกำลังบุกอิรัก


กรมประชาสัมพันธ์ - นักเคลื่อนไหวเตรียมชุมนุมประท้วงในกรุงวอชิงตันและตามเมืองต่างๆทั่วสหรัฐในวันพรุ่งนี้ เพื่อแสดงการต่อต้านการทำสงครามในอิรัก เนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปีที่สหรัฐนำกำลังบุกยึดอิรักเมื่อวันที่ 20 มีนาคมปี 2546 โดยในกรุงวอชิงตัน ผู้ประท้วงได้เริ่มตั้งเต้นท์บริเวณใกล้กับอาคารรัฐสภาแล้ว การประท้วงต่อต้านสงครามอิรักจะมีขึ้นในขณะที่วุฒิสภาสหรัฐลงมติด้วยคะแนนเสียง 50 ต่อ 48 ไม่ยอมรับร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการถอนทหารอเมริกันออกจากอิรักภายในปลายเดือนมีนาคมปีหน้า ซึ่งเป็นเสมือนการกำหนดตารางเวลาในการปฏิบัติภารกิจของกองกำลังสหรัฐในอิรัก โดยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช กล่าวว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นการทรยศต่อทหารสหรัฐที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในอิรัก และว่าการถอนทหารออกจากอิรักเท่ากับเป็นการเชิญชวนให้กลุ่มติดอาวุธหันมาโจมตีสหรัฐ.



 


 


ผลสำรวจชี้อินเดียรั้ง4ปีซ้อน ขึ้นเงินเดือนเร็วสุดในเอเชีย


กรุงเทพธุรกิจ - อินเดียมีแนวโน้มขึ้นเงินเดือนเร็วกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน หลังบริษัททั่วภูมิภาคยังตกอยู่ท่ามกลางแรงกดดันในการดึงตัวแรงงานที่มีทักษะไว้


 



 ฮิววิตต์ แอทโซสิเอทส์ บริษัทสำรวจข้อมูลด้านทรัพยากรบุคคลทั่วโลก เปิดเผยผลสำรวจประจำปีว่าด้วยเรื่องเงินเดือนในประเทศแถบเอเชีย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (15 มี.ค.) ว่า อัตราเงินเดือนในอินเดีย ในปี 2550 มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 14.5% เร็วกว่าประเทศอื่นในเอเชีย ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 โดยมีภาคบริการการเงิน และธนาคาร เป็นกลุ่มที่ขึ้นเงินเดือนมากที่สุด


 



 อันดับ 2 คาดว่าจะตกเป็นของฟิลิปปินส์ ที่ตามมาห่าง ด้วยอัตราการขึ้นเงินเดือนเฉลี่ย 8.3% และจีน ในลำดับที่ 3 มีแนวโน้มว่าจะมีค่าเฉลี่ยที่ 8.1% ส่วนประเทศอื่นๆ ในเอเชียนั้น ฮิววิตต์ประเมินว่าจะมีการปรับขึ้นเงินเดือนในระดับพอสมควร


 



 นายชารัด วิศวะนาถ ผู้บริหารฮิววิตต์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสำรวจข้างต้น ระบุว่า การแย่งชิงตัวแรงงานมีฝีมือในอินเดีย รุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้การจ่ายค่าตอบแทนมีบทบาทเพิ่มขึ้น ในการดึงดูดแรงงานกลุ่มนี้ และยังเป็นการสร้างความแน่ใจว่าสามารถผูกมัดลูกจ้างไว้ได้


 



 นอกจากนี้ ยังคาดว่า เมื่อถึงที่สุดแล้ว การจ่ายค่าตอบแทนในอินเดีย จะปรับตัวขึ้นจนมาอยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วของเอเชีย อาทิเช่น ญี่ปุ่น และสิงคโปร์


 



 ผลสำรวจดังกล่าว จัดทำขึ้นจากการพิจารณาข้อมูลจากเงินเดือนของพนักงานตั้งแต่ระดับผู้บริหารระดับสูง ผู้จัดการ พนักงานระดับกลางพนักงานธุรการและพนักงานระดับแรงงาน จากบริษัทจำนวน 1,500 แห่งของประเทศต่างๆ ในเอเชีย ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเก๊า มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน และไทย


 


  


'โอเปก'คงเพดานผลิตตามคาด


ผู้จัดการ - องค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ตกลงกันในที่ประชุมระดับรัฐมนตรีเมื่อวันพฤหัสบดี(15) ให้คงเพดานการผลิตน้ำมันของพวกตนเอาไว้ตามเดิม เพื่อเป็นการสร้างสมดุลระหว่างสภาพที่น้ำมันตามคลังเก็บของบรรดาชาติผู้บริโภคกำลังลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว แต่ในอีกด้านหนึ่งตลาดหุ้นทั่วโลกก็ตกฮวบในระยะหลังๆ นี้อันอาจเป็นลางบ่งบอกถึงการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย


 


โอเปกซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันเป็นจำนวนมากกว่าหนึ่งในสามของน้ำมันทั่วโลกเวลานี้ ได้เคยตกลงลดเพดานการผลิตลงมาแล้ว 2 ระลอกในการประชุม 2 ครั้งก่อนของพวกเขา รวมเป็นปริมาณตัดลดทั้งสิ้น 1.7 ล้าน บาร์เรลต่อวัน หรือเท่ากับ 6% ของซัปพลาย เวลานี้พวกเขาดูจะต้องการมุ่งโฟกัสที่การให้เหล่าสมาชิกได้ทำตามมติคราวก่อนๆ อย่างเต็มที่


 


ทางด้านราคาน้ำมันในตลาดโลกเมื่อวันพฤหัสบดี ผลการประชุมโอเปกที่ให้คงเพดานการผลิตเอาไว้ ได้ทำให้ราคาลดต่ำลงมา สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูด ของตลาดไนเม็กซ์แห่งนิวยอร์ก ปิดถอยลงมา 61 เซ็นต์ อยู่ที่ 57.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบชนิดเบรนต์ของตลาดลอนดอน ปิดต่ำลง 8 เซ็นต์ อยู่ที่ 60.98 ดอลลาร์


 


 


อันวาร์ได้ทีเย้ยมหาธีร์ แค่คนแก่ที่ขมขื่นกับทุกอย่างในชีวิต


คมชัดลึก -อันวาร์เผยใจเหตุที่เตรียมหวนคืนการเมือง ยันมาเลเซียพร้อมที่จะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง เย้ยมหาธีร์แค่คนแก่ที่ขมขื่นกับชีวิต


 



นายอันวาร์ อิบรอฮิม อดีตรองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งประกาศหวนคืนสู่วงการเมืองอีกครั้งได้เปิดตัวให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ โดยประเดิมด้วยบีบีซีเมื่อวันพฤหัสบดี (15 มี.ค.) ก่อนจะให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอัล จาซีราห์ของกาตาร์ในปลายเดือนนี้ว่า มาเลเซียพร้อมที่จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง หลังจากสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่การทุจริตคอรัปชั่นแพร่กระจายไปทั่วอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นอกเหนือจากเกิดปัญหาตึงเครียดด้านเชื้อชาติและในส่วนของตัวเองนั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องกลับคืนสู่วงการการเมืองอีกครั้งเท่านั้น


 



นายอันวาร์ยังได้กล่าวชมนายอับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวี นายกรัฐมนตรี ว่าเป็นคนสุภาพและรักสงบมาก แต่กลับสืบทอดระบบชั่วร้ายต่อจากนายมหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรี โดยไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงระบบให้ดีขึ้นแต่อย่างใด โดยเฉพาะระบบการทุจริตฉ้อฉลที่แพร่ระบาดไปทั่ว ด้านสื่อในประเทศเองก็ไม่มีสิทธิเสรีภาพ ขณะที่การตัดสินของกระบวนการทางตุลาการ มักจะออกมาในทางประนีประนอมมากกว่า



ระหว่างให้สัมภาษณ์บีบีซีครั้งนี้ นายอันวาร์ กล่าวว่า นายมหาธีร์ ผู้เปรียบเสมือนราชา เจ้านายและผู้เชี่ยวชาญในการคุมเกม เคยรู้สึกหวาดระแวงว่ากำลังถูกตัวเองคุกคาม อย่างไรก็ดี ขณะนี้นายมหาธีร์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เป็นแค่คนแก่ที่รู้สึกขมขื่นกับสิ่งต่างๆ รอบตัว


 



เมื่อต้นปีที่แล้ว นายอันวาร์ได้ฟ้องนายมหาธีร์ หลังให้สัมภาษณ์ว่าไม่มีวันยอมให้นายมหาธีร์ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีเนื่องจากเป็นพวกรักร่วมเพศ นอกจากนี้ระหว่างที่ตระเวนสอนตามมหาวิทยาลัยในอังกฤษ สหรัฐและออสเตรเลียนายอันวาร์ได้โจมตีรัฐบาลนายบาดาวีซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าปล่อยให้การทุจริตฉ้อฉลลามไปทั่วประเทศ


 



ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ฝ่ายค้านหลายคนให้ความเห็นว่ารัฐบาลอาจจะพยายามปิดช่องทางไม่ให้นายอันวาร์ มีโอกาสลงสมัครรับเลือกตั้งซึ่งตามกำหนดการเดิมจะมีขึ้นในปี 2552 โดยอาจจะเลื่อนการเลือกตั้งให้เร็วขึ้นเป็นภายในเดือนตุลาคมนี้ เนื่องจากนายอันวาร์จะยังไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้จนกว่าจะถึงเดือนเมษายน ปีหน้า อันเนื่องจากความผิดคดีทุจริต ที่ถูกฟ้องสมัยที่เป็นทายาททางการเมืองของนายมหาธีร์ ก่อนจะถูกปลดออกจากตำแหน่งเมื่อปี 2541 ยังมีผลอยู่ แม้ว่าจะพ้นผิดในข้อกล่าวหาว่ามีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกันแล้วก็ตามหลังถูกจองจำนาน 6 ปี


 



นักการเมืองฝ่ายค้านหลายคนยืนด้วยว่าก้าวแรกในการหวนคืนสู่การเมืองครั้งใหม่ นายอันวาร์มีแผนจะสมัครชิงตำแหน่งประธานพรรคยุติธรรมของประชาชน ซึ่งขณะนี้บริหารงานโดยนางวาน อาซีซะห์ อิสเมล ภรรยา


 


 


 


จอมบงการ9/11รับ ลงมือฆ่าตัดหัวนักข่าวมะกันเอง


ผู้จัดการ - กอห์ลิด เชค โมฮัมหมัด แกนนำกลุ่มอัลกออิดะห์ซึ่งสารภาพเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุวินาศกรรมสหรัฐฯ 11 กันยา ยอมรับด้วยว่า เขาเป็นผู้ฆ่าตัดศีรษะแดเนียล เพิร์ล นักข่าวนสพ.วอลสตรีทเจอร์นัลชาวอเมริกัน ในปี 2002 บันทึกการให้ปากคำที่เพนตากอนนำออกเผยแพร่ระบุ


 


ในระหว่างให้ปากคำที่ค่ายกักกันที่อ่าวกวนตานาโม ประเทศคิวบา โมฮัมหมัดกล่าวว่า เขามีส่วนเกี่ยวข้องในการวางแผนหรือการจู่โจม 31 เหตุการณ์ โดยทางเพนตากอนบอกว่า เหตุที่ต้องตัดส่วนที่เกี่ยวกับการสังหารเพิร์ลออกจากบันทึกส่วนซึ่งเผยแพร่ก่อนหน้านี้ 1 วัน เพราะต้องรอให้ทางหน่วยงานแจ้งกับครอบครัวของเพิร์ลเสียก่อน


 


โมฮัมหมัดพูดถึงการสังหารเพิร์ลขึ้นมาเองระหว่างการให้ปากคำ และบอกว่ามันไม่เกี่ยวกับปฏิบัติการของกลุ่มอัลกออิดะห์


 


"มันก็เหมือนกับการตัดหัวแดเนียล เพิร์ล มันไม่เกี่ยวกับอัลกออิดะห์" บันทึกการให้ปากคำอ้างคำพูดของเขา


 


อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงบางคนเชื่อว่า โมฮัมหมัดยกความสำคัญของตนเกินความจริง และตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของเขาหลังจากถูกคุมตัวและสอบสวนอย่างหนักนานหลายปี


 


 


"ฮิลลารี่" คะแนนนำ เป็นผู้แทนพรรคเดโมแครต ชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐ


ศูนย์ข่าวแปซิฟิค - ซีเอ็นเอ็นโพลล์รายงานว่า วุฒิสมาชิก ฮิลลารี คลินตัน ยังคงเป็นตัวเต็งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2551 หลังพบว่า สมาชิกพรรคเดโมแครตกว่าร้อยละ 37 ยืนยันว่า จะสนับสนุนเธอเพื่อเป็นตัวแทนพรรค ลงชิงชัยการเลือกตั้งประธานาธิบดี ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ว่า คะแนนสนับสนุนฮิลลารี่ ได้รับสูงกว่าคู่แข่งอย่างวุฒิสมาชิก แบแรค โอบามา ที่ได้ร้อยละ 15 ตามมาด้วยอดีตประธานาธิบดีอัล กอร์ และอดีตวุฒิสมาชิก จอห์น เอ็ดเวิร์ดส์ ผลจากโพลล์ชี้ให้เห็นว่า ถ้ากอร์ยังไม่คิดที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ฮิลลารีก็จะยิ่งมีคะแนนทิ้งห่างคู่แข่งคนอื่นๆมากขึ้น


 


ส่วนโพลล์ของซีบีเอส นิวส์ และนิวยอร์ก นิวส์ยังแสดงให้เห็นว่า ประชาชนคาดหวังให้ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งในปี 2551 ด้วยอัตราส่วนที่มากกกว่า 2 ต่อ 1 ซีเอ็นเอ็นโพลล์ระบุว่า พรรคเดโมแครตมั่นใจมากว่าจะได้รับชัยชนะ โดยมีความเป็นไปได้ถึงร้อยละ 78 สำหรับ การสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้ มาจากการสัมภาษณ์ ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงกว่า 447 คนที่ระบุว่าตัวเองเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต ระหว่างวันที่9-11มีนาคม


 


 


ผลวิจัยกองทัพสหรัฐระบุการอดนอนทำให้ความรู้สึกชั่วดีเสื่อมลง


สำนักข่าวเนชั่น - ผลการศึกษาในสหรัฐพบว่า การอดนอนเพียงไม่กี่คืน ทำให้ประสิทธิภาพการตัดสินใจด้านความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเสื่อมลงได้


 


สถาบันวิจัยวอลเตอร์ รีด ของกองทัพสหรัฐ ศึกษาพบว่า ทหารที่อดนอนมา 2 คืน จะมีปัญหาในการตัดสินใจเกี่ยวกับสถานการณ์ที่มีอารมณ์ความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง จากเดิมที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การอดนอนจะส่งผลเสียต่อสมาธิและความจำ บางคนนอนหลับเพียงวันละ 3 ชั่วโมง ก็รู้สึกว่าเพียงพอ ขณะที่บางคนต้องนอนมากถึงวันละ 11 ชั่วโมง ผู้เชี่ยวชาญแนะว่า โดยทั่วไปแล้วควรนอนหลับสนิทวันละ 8 ชั่วโมง นักวิจัยให้ทหารสุขภาพแข็งแรง 26 นาย ตัดสินว่า การกระทำบางอย่างมีความเหมาะสมหรือไม่ มีตั้งแต่การกระทำที่ส่งผลต่อผู้อื่นเล็กน้อย ไปจนถึงผลร้ายแรง ทหารส่วนใหญ่รู้สึกว่าตัดสินใจยากขึ้น หลังจากอดนอนมานานติดต่อกัน 53 ชั่วโมง บางคนถึงกับเปลี่ยนทัศนะเรื่องความเหมาะสมไปจากเดิม


 


นักวิจัยระบุว่า สิ่งที่พบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออาชีพที่ต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วในยามวิกฤติ เช่น ทหาร แพทย์ อย่างไรก็ดี พวกเขาย้ำว่า ผลการวิจัยไม่ได้หมายความว่า การอดนอนจะทำให้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีลดลง แต่ดูเหมือนจะทำให้ตัดสินใจเรื่องนี้ได้ช้าลง ขณะนี้ทางกองทัพสหรัฐกำลังศึกษาว่า ทหารอดนอนในระดับใดจึงจะไม่เป็นอันตราย และมียาขนานใดที่จะช่วยให้ทหารมีความตื่นตัวทั้งที่อดนอน


 


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net