ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 3 เมษายน 2550

การเมือง

กกต. ยื่นยกเลิกประกาศคปค.แลกผ่านประชามติรัฐธรรมนูญ

กรุงเทพธุรกิจ -- นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคการเมืองเรียกร้องให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 15 และ 27 ให้เร็วขึ้น เพื่อให้พรรคการเมืองมีโอกาสเตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้งว่า กกต.กำลังมีแนวคิดที่จะเป็นเจ้าภาพเชิญพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง และทหารมาหารือ เพื่อหาทางออก ซึ่งน่าจะเป็นการปลดล็อกได้ทางหนึ่ง ทั้งนี้กกต.มีความเห็นตรงกันว่า ควรยกเลิกประกาศคปค.ทั้ง 2 ฉบับให้เร็วขึ้น ซึ่ง กกต.ในฐานะองค์กรกลางคิดว่าน่าจะหาทางสมานฉันท์โดยทั้ง 2 ฝ่ายควรมาพูดคุยกัน

 

ต่อข้อถามว่า กลุ่มการเมืองบางกลุ่ม เช่น กลุ่มมัชฌิมา กังวลเกี่ยวกับกรอบเวลาสังกัดพรรคการเมืองที่จะบัญญัติไว้ในร่างรัฐธรรมนูญจะทำให้มีผลต่อการลงเลือกตั้ง นางสดศรี กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นกรรมาธิการยกร่างฯในส่วนของกรอบเวลาสังกัดพรรคการเมืองยังคงเป็นกรอบเวลาเดิมคือ 90 วัน

 

สำหรับกลุ่มของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ต้องตรวจสอบดูช่วงเวลาที่ลาออกจากพรรคไทยรักไทย และตรวจสอบว่านายสมศักดิ์เป็นกรรมการของพรรคอื่นด้วยหรือไม่ เพราะพรรคการเมืองบางพรรค เมื่อดูแล้วอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของพรรคไทยรักไทยก็ได้ โดยเบื้องต้นยังตรวจสอบไม่ได้ว่า นายสมศักดิ์สังกัดพรรคอื่นหรือไม่ แต่เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาในเรื่องกรอบเวลาสังกัดพรรคการเมือง

 

นางสดศรี กล่าวต่อว่า ส่วนที่กลุ่มการเมืองยังตั้งพรรคการเมืองไม่ได้ เพราะยังติดประกาศคปค.ทั้ง 2 ฉบับอยู่นั้นกกต.จะหาทางออกด้วยการเชิญตัวแทนของกลุ่มการเมืองมาร่วมหารือด้วย หากที่ประชุมมีความเห็นให้ยกเลิกประกาศ คปค.ทั้ง 2 ฉบับ น่าจะยื่นให้คมช.ยกเลิกประกาศได้ก่อนการทำประชามติ ทั้งนี้เพราะการทำประชามติต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยนักการเมืองจะต้องลงพื้นที่เพื่อชักชวนให้ประชาชนมาทำประชามติ

 

เมื่อถามว่าการชุมนุมคัดค้านที่เกิดขึ้นจะมีผลต่อการล้มประชามติหรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า คมช.ต้องพิจารณาสถานการณ์ทุกอย่างว่าสมควรปลดล็อกได้หรือยัง โดยหากยังมีการชุมนุมอยู่การปลดล็อกคงทำได้ยากมาก ส่วนจะปลดล็อกหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองด้วย โดยหากพรรคการเมืองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมที่เกิดขึ้น การปลดล็อกน่าจะทำได้เร็วขึ้น

 

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายนรนิติ เศรษฐบุตร ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เป็นห่วงว่าหากปลดล็อกเร็วเกินไปจะเป็นการเปิดช่องให้พรรคการเมืองไปหาเสียงได้ นางสดศรี กล่าวว่า เราคงไม่มองพรรคการเมืองในแง่ร้าย เพราะหากมีการปลดล็อกในสภาวะที่สงบเรียบร้อย คมช.อาจจะพิจารณาปลดล็อกได้เร็วขึ้นก่อนการลงประชามติ คืออาจจะมีการปลดล็อกประมาณเดือนกรกฎาคม ทั้งนี้การหาเสียงเป็นเรื่องธรรมดาที่พรรคการเมืองจะต้องดำเนินการก่อนการเลือกตั้ง แต่ในการพิจารณาจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ของการเมืองควบคู่ไปกับความมั่นคง

 

นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต.ให้สัมภาษณ์กรณีที่พรรคไทยรักไทยระบุว่า การที่คมช.จะให้เวลาในการดำเนินการทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งเพียง 2 เดือนนั้นไม่พอและทำให้การเลือกตั้งไม่มีคุณภาพว่า ตนก็ได้ยินข่าวที่พรรคไทยรักไทยระบุเช่นนั้น แต่คมช.ก็คงมีความเห็นว่า มีความจำเป็นที่จะต้องควบคุมเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย เรื่องนี้อยู่ที่คมช. เมื่อให้เวลาเท่านี้ก็คงต้องทำในเวลาที่จำกัด แต่หากจะมีการดำเนินการใดๆ ก็ให้ขอไปทางคมช.

 

ในวันที่ตนไปหารือร่วมกับ คมช.และ ครม. ทุกคนก็เห็นตรงกันว่า ในหลวงทรงต้องการให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิ์ และยุติธรรม โดยดูจากพระราชดำรัสเมื่อปีที่แล้ว ถึงแม้ว่าการเลือกตั้งจะไม่ทันเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองพระชนมายุครบ 80 พรรษา แต่ก็ถือว่าทันในปลายปีนี้และยังอยู่ในเดือนธันวาคม

 

ค้านดึงองคมนตรีเกี่ยวข้องการเมือง

ผู้จัดการ -- นายนรนิติ เศรษฐบุตร ประธาน ส.ส.ร.กล่าวถึงรัฐธรรมนูญที่กำลังมีการยกร่างอยู่ในขณะนี้ว่า คงยังพูดถึงข้อดีได้ไม่เต็มปาก เพราะเนื้อหายังไม่ยุติ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ก็ไม่รู้ว่าซ่อนเร้นอะไรไว้ตรงไหน ภาพรวมหมวดสิทธิ เสรีภาพ เข้าถึงประชาชนมากขึ้น ได้รับการพัฒนาขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม ไม่เห็นด้วยที่การร่างรัฐธรรมนูญ จะนำองคมนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการต่างๆ เช่น การสรรหาองค์กรอิสระ

 

"ถ้าถามผมไม่เห็นด้วย ไม่ควรดึงองคมนตรีเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเป็นเรื่องตามพระราชอัธยาศัย เราไม่ควรไปดึงท่านให้ทำโน่นทำนี่"นายนรนิติ กล่าว

 

 

เลขาฯคมช.เชื่อมีเงินในประเทศสนับสนุนม็อบป่วน คมช.

ผู้จัดการ--พล.อ. วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม และเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวถึงกรณีมาตรการสกัดกั้นท่อน้ำเลี้ยงกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้าน คมช. และรัฐบาลว่า เรื่องการสกัดกั้นเป็นเรื่องยาก แต่หน่วยข่าวทำงานเต็มที่ เพื่อให้พิสูจน์ทราบได้ เพราะใครก็ตามที่สนับสนุนปัจจัยคงไม่ทิ้งร่องรอยที่จะให้ดูได้ง่าย คิดว่าเป็นหน้าที่ของหน่วยงานข่าวและหน่วยงานความมั่นคงที่จะหาต้นตอและเส้นทางเงิน ทั้งนี้ ไม่ทราบว่ามีเม็ดเงินจำนวนเท่าไหร่ และไม่จำเป็นต้องมาจากต่างประเทศ เพราะในประเทศก็มีจำนวนมาก หากจะช่วยสนับสนุนกันจริงๆ ส่วนกลุ่มกลุ่มอำนาจเก่าจะสนับสนุนหรือไม่นั้น ไม่ทราบ

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีมาตรการสกัดเม็ดเงินอย่างไรเพื่อไม่ให้ก่อม็อบมาชุมนุมอีก พล.อ.วินัย กล่าวว่า ประชาชนและสื่อมวลชนต้องช่วยกันขอร้อง รัฐบาลได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) และประกาศวันที่น่าจะมีการเลือกตั้งชัดเจน คือ ในวันที่ 16 หรือ 23 ธันวาคม 2550 ดังนั้น เมื่อขบวนการที่จะไปสู่ประชาธิปไตยค่อนข้างชัดเจนมีกรอบเวลาแน่นอน ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องต้องพยายามรักษาให้อยู่ในกรอบเวลาดังกล่าว

 

"ห้วงเวลาที่นายกรัฐมนตรีระบุนั้น ท่านไม่ได้คิดเอาเองแต่เป็นข้อมูลที่ กกต. และ สสร. ยืนยันว่าในวันดังกล่าวพร้อมแน่นอน และได้กำหนดกรอบเวลาว่ารัฐธรรมนูญเสร็จเมื่อไหร่ จะมีการกระจายให้ประชาชนได้ศึกษา ลงประชามติช่วงใด และเสร็จสมบูรณ์เมื่อใด ร่วมทั้งคิดเผื่อว่าหากเกิดอุบัติเหตุ ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านลงประชามติ ต้องให้เวลา คมช. ไปดำเนินการเท่าไหร่ ซึ่งคิดไว้พร้อมแล้วสำหรับห้วงเวลาที่เหมาะสม เป็นห้วงเวลาที่ กกต. และ สสร. เห็นร่วมกันและเสนอนายกรัฐมนตรี ทุกฝ่ายพยายามสร้างความปรองดอง เพื่อให้สถานการณ์เป็นปกติ"พล.อ.วินัย กล่าว

 

เมื่อถามว่า มีมาตรการดูแลเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะของกลุ่มผู้ชุมนุมที่เกิดขึ้นหรือไม่ พล.อ.วินัย กล่าวว่า เจ้าหน้าที่มีแนวทางและพยายามอย่างที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดขึ้น จึงได้พยายามโอนอ่อนผ่อนตาม เพื่อหวังว่ากลุ่มผู้ชุมนุมได้สามารถดำเนินในสิ่งที่ตนเองต้องการในระดับหนึ่ง แล้วน่าจะยุติและเลิกราเพื่อเห็นแก่ความสงบเรียบร้อย ทั้งนี้ คมช. ไม่วิตกว่าจะมีการปะทะของกลุ่มชุมนุม เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจได้หารือกันในระดับสูงทั้ง ผบ.ตร. และ ผบ.ตำรวจนครบาล ทุกท่านทราบสถานภาพและสถานการณ์ดี

 

พล.อ.วินัย กล่าวอีกว่า สื่อมวลชนต้องพยายามชี้แจงให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจขั้นตอนต่างๆให้เข้าใจ เพราะไม่เป็นการดีที่จะให้บ้านเมืองย้อนไปสู่เหตุการณ์ก่อน 19 กันยายน 2549 หากเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นกระบวนการต่างๆก็จะสะดุด ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้มีการลงไปทำความเข้าใจกับประชาชนมีความเข้าใจ แต่คงไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งประธาน คมช. พยายามเต็มที่

 

เมื่อถามถึงการยกเลิกประกาศ คปค. ฉบับที่ 15 และ 27 ได้มีการหารือในที่ประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีสรุปเบื้องต้นอย่างไร พล.อ.วินัย กล่าวว่า ในที่ประชุมวันนั้นไม่ได้มีการหารือเรื่องนี้ เราคุยกันอยู่ 2 ประเด็นหลัก คือ กรอบเวลาของขบวนการนำไปสู่ประชาธิปไตย และความเป็นไปได้ในการใช้ประกาศพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พรก.) ทั้งนี้ คิดว่าใน 1-2 วันนี้ประธาน คมช. คงจะหาหนทางมีโอกาสประสานงานกับพรรคการเมือง เพื่อรับทราบความต้องการและพิจารณาอุปสรรค

 

เมื่อถามว่า ข้อดีข้อเสียหากยกเลิกคำสั่ง คปค. ก่อนเลือกตั้ง พล.อ.วินัย กล่าวว่า เป็นธรรมดาที่พรรคการเมืองอยากให้ยกเลิกโดยเร็ว แต่ คมช. เห็นว่ารัฐธรรมนูญยังไม่อยู่ในขั้นตอนที่เกิดความชัดเจน คิดว่าปลายเดือนเมษายนหลังที่ต้นร่างรัฐธรรมนูญออกมาแล้ว คงมีการพิจารณากันอีกที ทั้งนี้ เราใช้ความพร้อมของสถานการณ์เป็นตัวกำหนด

 

"อภิสิทธิ์"เปิดตัวหนังสือ "เขียนรัฐธรรมนูญอย่างไร ไม่ถูกฉีก"

แนวหน้า -- ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วันนี้ (2 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้เปิดตัวหนังสือ "เขียนรัฐธรรมนูญอย่างไร ไม่ถูกฉีก" โดยได้กล่าวว่า หนังสืเล่มดังกล่าได้ระบุถึงกระบวนการที่จะส่งเสริมบรรยากาศประชาธิปไตยและการจะมีกระบวนการที่ทำให้ได้รัฐธรรมนูญที่ดีเป็นอย่างไร พร้อมทั้งนำเสนอประเด็นสำคัญ ๆ ของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ผู้ที่สนใจนำมาอ้างอิงได้

 

ทั้งนี้ตนมองว่าสิ่งที่สำคัญของการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือความเป็นระบบและความสอดคล้องต้องกัน และหากสังคมอยากจะเห็นระบอบประชาธิปไตยในประเทศยั่งยืน ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการที่จะปกป้องเจตนารมณ์ที่เป็นประชาธิปไตย ในทุกครั้งที่เกิดวิกฤติขึ้นในประเทศ เนื่องจากสังคมปล่อยปละยอมให้คนที่มีอำนาจมาใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง และพอถึงจุดหนึ่งก็สายเกินไป ดังนั้นประเด็นเรื่องห้ามปฏิวัติหรือห้ามฉีกรัฐธรรมนูญ ไม่จำเป็นต้องเขียนไว้

 

"วันนี้เห็นมาเถียงกันมากว่าจะเขียนป้องกันการปฏิวัติรัฐประหารอย่างไร อันนั้นมันปลายเหตุ แต่ต้นเหตุก็คือ เวลาคนมาละเมิดหลักประชาธิปไตย เราจะยอมให้เขาทำต่อไปหรือไม่ เขาจะต้องรับผิดชอบหรือไม่ ถ้าทำตรงนั้นได้ตั้งแต่ต้น ก็ไม่จำเป็นต้องมีกรรมการในภาวะวิกฤติ ไม่ต้องมาเขียนว่าฉีกรัฐธรรมนูญแล้วเป็นความผิดหรือไม่เป็นความผิด ประชาธิปไตยจะยั่งยืนในตัวของมันเอง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเขียนไว้ว่าห้ามปฏิวัติ เขียนไปก็เท่านั้น ฉบับที่แล้วก็เขียนให้สิทธิคนต่อต้านการรัฐประหารด้วย แต่สุดท้ายก็เกิดวิกฤติอยู่ดี เพราะที่เกิดขึ้นมีวิกฤติเกิดขึ้นสะสมมา แทนที่เราจะดูตอนปลายว่าจะแก้อย่างไรในช่วงวิกฤติ เราต้องป้องกันวิกฤติไม่ให้เกิดขึ้น" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

 

โพลชู "สุรยุทธ์" นั่งนายกฯ ต่อ! เซ็งการเมือง-ยี้นักเลือกตั้ง

ผู้จัดการ--ศูนย์วิจัยเอแบค มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง "บรรยากาศการเมือง ความสมานฉันท์ และความคิดเห็นต่อการลงทุนในประเทศไทย" โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 1,259 ตัวอย่าง

 

จากผลสำรวจประชาชนส่วนใหญ่ หรือกว่าร้อยละ 80 ยังคงสนใจติดตามข่าวการเมืองประจำทุกสัปดาห์ แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ อารมณ์ความรู้สึกของประชาชนต่อสถานการณ์การเมืองขณะนี้ เกิดความวิตกกังวลต่อเหตุการณ์การเมือง เครียดเรื่องการเมือง และเบื่อหน่ายการเมือง เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจช่วงเดือนเมษายนปีที่แล้ว พบว่า ความวิตกเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 46.1 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 70.3 ร้อยละ 29.3 เครียดเรื่องการเมืองเพิ่มขึ้น เป็น 40.0 และเบื่อหน่ายการเมืองจากเดิมร้อยละ 69.1 เพิ่มเป็นร้อยละ 74.9

 

จากผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 50.0 ระบุการแบ่งพรรคแบ่งพวก เป็นตัวทำลายความสมานฉันท์ของคนในชาติ ขณะที่ร้อยละ 43.4 การเห็นแก่ตัวทำลายความสมานฉันท์ และร้อยละ 18.3 คิดว่าปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำลายความสมานฉันท์ของคนในชาติ

 

เมื่อสอบถามถึงบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่คิดว่ามีความจริงใจจะทำให้ประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ ไปได้ พบว่า ร้อยละ 51.7 คิดว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จริงใจ ร้อยละ 46.0 พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน จริงใจ

 

เป็นที่น่าสังเกตว่า มีเพียงร้อยละ 18.8 และร้อยละ 17.9 คิดว่า นักการเมืองที่ไม่ใช่กลุ่มอำนาจเก่า และนักการเมืองกลุ่มอำนาจเก่า จริงใจที่จะทำให้ประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ ไปได้

 

เมื่อสอบถามว่า คิดว่าควรเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 62.0 คิดว่า ไม่ควรเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี เพราะเวลาเหลือน้อย เปลี่ยนไปก็มีปัญหาเหมือนเดิม

 

ประเด็นที่น่าพิจารณา คือ การเปรียบเทียบคะแนนนิยมสนับสนุน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ระหว่างคนที่ใช้ชีวิตพอเพียง กับคนที่ใช้ชีวิตแบบไม่พอเพียง ผลสำรวจพบว่า ประชาชนที่ใช้ชีวิตพอเพียงแท้จริงมีสัดส่วนของคนที่นิยมสนับสนุน พล.อ.สุรยุทธ์ มากกว่าประมาณสามเท่า คือ ร้อยละ 41.6 ในขณะที่นิยมสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ร้อยละ 11.9 อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตแบบ "ไม่พอเพียง" พบว่า นิยมสนับสนุน พล.อ.สุรยุทธ์ ร้อยละ 33.3 แต่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ร้อยละ 28.7 ที่เหลือไม่มีความเห็น

 

ต่อแบบสอบถามว่าหากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง ประชาชนคิดเห็นอย่างไร ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 56.4 ระบุยังไม่มีพรรคที่ชอบ ร้อยละ 20.7 จะเลือกพรรคไทยรักไทย ร้อยละ 18.5 จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 4.4 จะเลือกพรรคอื่นๆ

 

ที่ประชุมคตส. มีมติเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นชินให้เทมาเสก

ศูนย์ข่าวแปซิฟิค -- ภายหลังการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. นายวิโรจน์ เลาหะพันธุ์ กรรมการคตส. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบการซื้อขายหุ้น บ.ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ชินคอร์ป เปิดเผยว่า ที่ประชุมคตส.มีมติส่งเรื่องให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากนายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา ชินวัตร จากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป กับบ.แอมเพิลริช วินเวสเมนท์ จำกัด ตามมาตรา 39 และ 40 (2) ของประมวลรัษฎากร รวมทั้งสิ้น จำนวน 5พัน 6 ร้อย 91 ล้าน 2 แสน 1 หมื่น 6 พัน 1 ร้อย 77 บาท โดยต้องชำระภายในวันนี้ ขณะเดียวกัน บ.แอมเพิลริช ยังต้องชำระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 27 ของประมวลรัษฎากร อีกจำนวน 4 พัน 8 ร้อย 84 ล้าน 5 แสน 1 หมื่น 3 พัน 3 ร้อย 41 บาท ภายในวันที่ 7 เมษายนนี้

 

"ของบริษัทเองก็ดี หุ้นของบริษัทอื่นที่ 5-6 ส่วนนั้นได้มาไม่ว่าจะเป็นหุ้นในบริษัทในประเทศ ต่างประเทศก็ดี หรือหุ้นในบริษัทอื่น ทั้งในตลาดหรือนอกตลาดหลักทรัพย์ก็ดี ย่อมเข้าลักษณะคำวินิจฉัยภาษีอากร ที่ 28/2538 เสมอไป ความเห็นของอนุกรรมการตรวจสอบก็มีความเห็นด้วย เพราะเห็นว่า การนำหุ้นไปขายให้กับกรรมการในโดยราคาต่ำกว่าราคาตลาดนั้น มันต้องเข้ากับคำวินิจฉัยดังกล่าวมาแล้ว ดังนั้น จึงเป็นการไม่ชอบและก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ"

 

ทั้งนี้ หากพ้นกำหนดการชำระภายในวันที่ 7 เมษายนนี้ โดยที่บริษัทยังคงไม่ชำระภาษีตามวงเงินดังกล่าว จะต้องเสียค่าปรับร้อยละ 1.5 อย่างไรก็ตาม สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคลของบ.แอมเพิลริช อินเวสเมนท์ จำกัด เนื่องมาจากการโอนขายหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด โดยไม่มีเหตุอันสมควร และความผิดทางอาญาฐานหลีกเลี่ยงภาษีอากร ตามประมวลรัษฎากร ทั้งในส่วนของบริษัทและกรรมการของบริษัท รวมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ในระหว่างการดำเนินการตรวจสอบของคตส.

 

 

คุณภาพชีวิต

พบปลาตายจำนวนมาก ที่ สตูล จากปรากฏการณ์เอลนีโญ

ไอ.เอ็น.เอ็น. -- ความคืบหน้าปลาในท้องทะเลอันดามัน บริเวณเกาะตะรุเตา และอ.เมืองสตูล รวมถึงหาดอ่าวนุ่น อ.ระงู ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นปลาหายใจติดขัดถูกคลื่นซัดมาเกยตื้นบริเวณริมชายหาดและลอยน้ำตายในท้องทะเล ส่วนสาเหตุปลาตายในทะเลอันดามันน่าจะเกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่ทำให้อุณหภูมิของน้ำเปลี่ยนไป ส่งผลให้กระแสน้ำอุ่นหมุนไหลเข้าแทนกระแสน้ำเย็นในท้องทะเลดังกล่าวกะทันหัน ทำให้ปลาหนีตายเพื่อขึ้นหายใจบนผิวน้ำและขาดออกซิเจนตายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณอ่าวนุ่นที่ทำให้ปลาตายเป็นจำนวนมากที่สุดในขณะนี้ ปรากฏว่าน้ำในท้องทะเลดังกล่าวขณะนี้เปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีแดงขุ่นคล้ายฝุ่นละอองซึ่งเป็นเพียงก้อนที่อาศัยอยู่ในท้องทะเลซึ่งถูกกระแสน้ำพัดพาไปขึ้นไปกับกระแสน้ำซึ่งชาวบ้านเรียกว่าคลีบปลาวาฬ อย่างไรก็ตามประชาชนในจ.สตูล กล่าวว่าหลังจากที่ประสบปัญหากับคลื่นยักษ์สึนามินั้น ในท้องทะเลเกิดแมงกะพรุนจำนวนมาก จนชาวบ้านไม่สามารถทำการประมงได้ ล่าสุดเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำให้เป็นสีแดงส่งผลให้ปลาตาย ทำให้ประชาชนที่เป็นชาวประมงได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ส่วนปลาที่ตายนั้นชาวบ้านบางรายยังนำมาเป็นอาหาร

 

"นครพนม"แล้งจัดประกาศพื้นที่ภัยพิบัติ

เดลินิวส์ -- เมื่อวันที่ 1 เม.ย. นายบุญสนอง บุญมี ผวจ.นครพนม เปิดเผยถึงสถานการณ์ภัยแล้งว่า ได้มีคำสั่งประกาศให้ จ.นครพนม เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินเฉพาะหน้าแล้งหลังเกิดภัยแล้ง เพื่อเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือและจัดตั้งศูนย์อำนวยการช่วยเหลือภัยแล้ง

 

จากข้อมูลของศูนย์ป้องกันและแก้ปัญหา ภัยแล้งจังหวัด ทราบว่าชาวบ้านจำนวน 11 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ กว่า 70,000 ครัวเรือน ประสบปัญหาภัยแล้ง ขาดแคลนน้ำดื่ม น้ำใช้ และน้ำเพื่อการเกษตร ไม่มีแหล่งน้ำประปาใช้ สำหรับพื้นที่ประสบปัญหามากที่สุด คือ อ.ศรีสงคราม เบื้องต้น ทางจังหวัด ทั้งหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ตั้งศูนย์แก้ไขและช่วยเหลือปัญหาภัยแล้งตามอำเภอ และตำบลทุกแห่ง โดยเร่ง ให้ความช่วยเหลือนำน้ำออกแจกจ่ายไปแล้วกว่า 800,000 ลิตร พร้อมทั้งนำเครื่องสูบจำนวน 15 ตัว ไปติดตั้งในพื้นที่เกษตรที่ขาดแคลนน้ำซึ่งคาดว่าจะเพียงพอต่อความต้องการของชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนขณะที่ชาวบ้านหนองยอ หมู่ 9 ต.พระ ซอง อ.นาแก จ.นครพนม ยังประสบภัยแล้งอย่างหนัก จนต้องนำรถไถนาบรรทุกถังออกตักเอาน้ำจากบ่อริมถนนห่างจากหมู่บ้าน 4 กิโลเมตร มาเก็บใส่ตุ่มไว้บริโภคระหว่างรอการช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐ เนื่องจากบ่อน้ำบาดาลในหมู่บ้านมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของ ชาวบ้าน

 

ยธ.คลอดกม.วัดแอลกอฮอล์คนขับบังคับตรวจทุกคัน/ไฟเขียว15ปีทำใบขับขี่

แนวหน้า -- เมื่อวันที่ 2 เมษายน นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ รมว.ยุติธรรม แถลงข่าวโครงการดื่มไม่ขับช่วงเทศกาลสงกรานต์ ว่า สาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุช่วงเทศกาลคือ การดื่มแอลกอฮอล์ขณะขับขี่ยานพาหนะ การละเลยไม่เคารพกฎจราจร ดังนั้นเพื่อกระตุ้นให้เกิดความตระหนักถึงปัญหา ทางกระทรวงยุติธรรม ได้เสนอให้แก้ไข พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ.2522 เพื่อบังคับผู้ขับขี่ต้องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ หากผู้ใดฝ่าฝืนการเป่าตรวจให้สันนิษฐานว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์สูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว

 

นายชาญชัย กล่าวว่า ได้เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 3 เมษายนนี้ เพื่อพิจารณาห้ามใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างขับขี่ยานพาหนะ เพื่อเป็นมาตรการลดอุบัติเหตุสำหรับโครงการรณรงค์ลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินช่วงเทศกาลสงกรานต์ และจะมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายนนี้ เป็นต้นไป

 

ขณะที่ นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า จากการศึกษาตัวเลขอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์ส่วนใหญ่เกิดกับกลุ่มวัยรุ่นซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์ขณะมึนเมาสุรา โดยมักจะเกิดขึ้นตามถนนสายรอง ดังนั้น จึงมีแนวทางเสนอไปยังกระทรวงคมนาคมและกรมการขนส่งทางบก ให้เข้มงวดและพิถีพิถันการออกใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งต่อไปจะเปิดให้ผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ปี ขึ่นไปมาสอบขอใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์โดยไม่กำหนดขนาดเครื่องยนต์

 

เสนอร่างก.ม.ชดเชยทางการแพทย์

กรุงเทพธุรกิจ -- กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เตรียมเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับค่าชดเชยสำหรับผู้รับบริการทางทางแพทย์ ซึ่งมีขึ้นมา 2 ฉบับ คือ 1.ร่างพ.ร.บ.กองทุนคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ.....และ 2.ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข เพื่อให้ปรับเป็นร่างเดียวก่อนจะนำเสนอต่อ น.พ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้นำเข้าสู่กระบวนการพิจารณากฎหมายต่อไป

 

น.พ.ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า การพิจารณาร่างกฎหมายทั้งสองร่างให้เหลือเพียงร่างเดียว เช่น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แพทยสภา เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ คณะทำงานโครงการปฏิรูประบบสาธารณสุข และจะมีการนำเสนอร่างที่พิจารณาแล้วให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขภายในสัปดาห์นี้

 

น.พ.ศุภชัยกล่าวว่า ประเด็นหลักที่มีการพิจารณาในการร่างกฎหมายนี้ คือการชดเชยความเสียหายโดยไม่มีการเพ่งเล็งว่ามีใครกระทำผิด และค่าชดเชยที่ได้ต้องรวดเร็วและเป็นธรรม รวมทั้งต้องอยู่ในกรอบที่กองทุนจะสามารถจ่ายให้ได้ โดยไม่เป็นภาระต่อการเงินการคลังของประเทศ และมีการกำหนดเงื่อนไขว่า ความเสียหายที่จะได้รับการชดเชยจะต้องเป็นความเสียหายจากการรักษาพยาบาลที่หลีกเลี่ยงได้ มีการสูญเสียสมรรถนะของร่างกายเท่านั้น และเมื่อรับค่าชดเชยแล้วจะต้องยุติการฟ้องร้องทางแพ่ง และกำหนดให้การให้บริการทางการแพทย์จะต้องไม่มีความผิดทางอาญา ยกเว้นในกรณีที่เจตนา

 

 "ส่วนข้อมูลข่าวสารของคนไข้นั้นในร่างกฎหมายนี้จะให้ผู้เสียหายทางการแพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลเวชระเบียนได้ แต่ต้องไม่กระทบกับบุคคลที่ 3 ซึ่งการหารือกันในครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ชนะกันทั้งสองฝ่าย" น.พ.ศุภชัยกล่าว

 

เศรษฐกิจ

จี้ถามนโยบายการค้า ชี้นโยบายรัฐส่งผลความเชื่อมั่น-การลงทุน

คมชัดลึก --นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้กรมอยู่ระหว่างการจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการทบทวนนโยบายการค้าของไทยประจำปี 2550 ภายใต้ความตกลงองค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) ที่กำหนดให้ประเทศสมาชิกจัดทำเอกสารดังกล่าวเพื่อส่งให้สมาชิกอื่นๆ พิจารณานโยบายด้านการค้าว่ามีผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ หรือไม่ ซึ่งไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนาจะต้องทบทวนทุก 4 ปี ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วต้องทำทุกๆ 2 ปี

 

ทั้งนี้ คาดว่าไทยจะจัดส่งเอกสารดังกล่าวให้สำนักงานเลขาฯ ของดับบลิวทีโอพิจารณาได้ประมาณกลางปีนี้ จากนั้นสำนักงานเลขาฯ จะทำเป็นหนังสือเวียนส่งต่อไปให้ประเทศสมาชิกและหากมีข้อสงสัยสามารถตั้งคำถาม เพื่อให้ตัวแทนของไทยเป็นผู้ตอบโดยจะนำออกเผยแพร่ในเอกสารภายในสิ้นปีนี้

 

"เชื่อว่าปีนี้ประเทศสมาชิกโดยเฉพาะสหภาพยุโรป (อียู) ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น จะต้องซักถามไทยอย่างมาก เพราะนโยบายของรัฐบาลส่งผลกระทบต่อต่างชาติทั้งด้านความเชื่อมั่นและการทำธุรกิจในไทย โดยเฉพาะการยกร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ร.บ.การค้าปลีกค้าส่ง การออกมาตรการกันสำรอง 30% รวมถึงการที่ไทยใช้สิทธิเหนือสิทธินำเข้าและผลิตยา ซึ่งตัวแทนไทยน่าจะตอบคำถามได้และถ้าตอบไม่เคลียร์ก็ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการดำเนินนโยบายด้านการค้าของไทย" นายวินิจฉัย กล่าว

 

ขณะที่นายสรพล เถรพัฒน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวว่า ขณะนี้กรมศุลกากรสหรัฐกำลังเพ่งเล็งสินค้าปลาจากประเทศไทย เช่น ปลาสวาย ปลาสวายโมง ปลาเพาะลูกผสม โดยตั้งข้อสังเกตว่าปลากลุ่มนี้ของไทยอาจจะมีแหล่งกำเนิดมาจากเวียดนาม ซึ่งสหรัฐได้ฟ้องว่ามีการทุ่มตลาดเมื่อปี 2549 และจะถูกเรียกเก็บภาษีการทุ่มตลาดระหว่าง 7-80% โดยส่วนใหญ่ถูกเรียกเก็บภาษีเกือบ 50%

 

"ปีที่ผ่านมาไทยมีปริมาณส่งออกปลากลุ่มนี้ในตลาดสหรัฐสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีก่อนทำให้ศุลกากรสหรัฐเพ่งเล็งว่า ผู้ส่งออกไทยอาจนำเข้าปลาจากเวียดนามเพื่อส่งออกอีกทอดหนึ่ง ซึ่งตามหลักแล้วสามารถทำได้แต่จะต้องติดฉลากระบุว่านำเข้าจากเวียดนามและแปรรูปในไทยต้องเสียภาษีในอัตราภาษีเดียวกับที่เวียดนามเสีย" นายสรพล กล่าว

 

 

ความมั่นคง

เล็งใช้10ข้อคำวินิจฉัยผู้นำศาสนาแก้ปัญหาใต้

คมชัดลึก ---นายพระนาย สุวรรณรัฐ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กล่าวว่า ขณะนี้ได้เตรียมหารือกับแม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อนำบทวินิจฉัยของผู้นำและผู้รู้ทางศาสนา 36 จังหวัดทั่วประเทศ ในเวที "อิสลามกับแนวทางในการสร้างสามัคคีและสันติสุข" ซึ่งจัดขึ้นโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อสอบสวนและศึกษาสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ร่วมกับสำนักจุฬาราชมนตรี กรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย กอ.รมน. และ ศอ.บต. เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวน 10 ข้อ ออกเผยแพร่แก่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อใช้แก้ไขปัญหาอันเกิดจากผู้ไม่หวังดี โดยจะมีการจัดทำเป็นเอกสาร ทั้งภาษายาวี ภาษาท้องถิ่นชายแดนภาคใต้ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาอาหรับ

 

ส่วนบทวินิจฉัยทั้ง 10 ข้อ ได้แก่ 1.ในยามที่เกิดวิกฤติ ผู้รู้และผู้นำศาสนาอิสลามต้องมีความกล้าหาญในทางจริยธรรม ในการชี้นำสังคมไปในทางที่ถูกต้อง ทั้งนี้ โดยรัฐให้การสนับสนุน ส่งเสริมให้ผู้นำและผู้รู้ทางศาสนาเข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาของสังคมมุสลิมและประเทศชาติโดยรวม

2.หลักคำสอนของศาสนาอิสลามยอมรับความแตกต่างและความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม ตลอดจนความหลากหลายทางชาติพันธุ์ การกระทำ หรือคำกล่าวใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ศาสนาอิสลามมีความเกลียดชังรังเกียจศาสนิกในศาสนาและชาติพันธุ์อื่นๆ ไม่ใช่หลักคำสอนของอิสลาม 3.อิสลามมีหลักคำสอน เรื่องจิฮัดชัดเจน และการจิฮัดมิได้หมายถึงการทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะนับถือศาสนาใด การอ้างคำสอนเรื่องจิฮัด เพื่อนำมาซึ่งการทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม

 

4.การเรียกว่า จิฮัด ใช่หรือไม่จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าถูกกดขี่และขับไล่อย่างอยุติธรรม ถูกลิดรอนด้านศาสนาและจะต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ทางจริยธรรมในการทำสงครามจิฮัด เพราะฉะนั้น การก่อความรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ย่อมไม่ถือเป็นการจิฮัด อนึ่ง รัฐจะต้องไม่สร้างเงื่อนไขใดๆ อันจะนำไปสู่การอ้างความชอบธรรมของผู้ไม่หวังดีในการกระทำความรุนแรง 5.การวินิจฉัยว่าบุคคลจะเป็นชะฮีดหรือไม่ จะต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และหลักเกณฑ์ของการทำจิฮัด แต่หากการเสียชีวิตที่อยู่นอกเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ดังกล่าว ย่อมไม่ถือเป็นชะฮีดตามบทบัญญัติอิสลาม

 

6.การสาบาน (ซุมเปาะ) จะสมบูรณ์ได้จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามบทบัญญัติของอิสลาม และมีเป้าหมายในสิ่งที่ไม่ขัดต่อหลักการของอิสลาม หากผู้กล่าวสาบานไม่ได้ดำเนินการตามบทบัญญัติของอิสลาม หรือมีเป้าหมายที่ขัดแย้งกับหลักคำสอนของอิสลาม การสาบานนั้นให้ถือเป็นโมฆะ 7.เงินที่ได้รับจัดสรรเยียวยาให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ถือว่าเป็นมรดก

 

8.การประกาศวันสำคัญในศาสนาอิสลาม (อีดิลฟิตรีและอีดิลอัฎฮา) ในประเทศไทย มีข้อเสนอให้จุฬาราชมนตรีประชุมร่วมกับประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการประกาศวันสำคัญของศาสนาอิสลามให้เป็นเอกภาพ 9.การผ่าศพและการขุดศพเพื่อชันสูตรหาข้อเท็จจริงความเป็นบุคคล สาเหตุการตาย เพื่อหาความเป็นธรรมให้แก่ผู้เสียชีวิต และเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม สามารถกระทำได้ ทั้งนี้ ต้องอยู่ภายใต้คำวินิจฉัยของผู้รู้ทางศาสนา และได้รับการอนุญาตจากญาติของผู้เสียชีวิต อนึ่ง ในกรณีศพนิรนาม การดำเนินการให้อยู่ในดุลพินิจของสำนักจุฬาราชมนตรี

 

และ 10.คำวินิจฉัยของอดีตจุฬาราชมนตรี (นายประเสริฐ มะหะหมัด) เกี่ยวกับปัญหาการปฏิบัติตามหลักศาสนาของมุสลิมกับทางราชการ ยังไม่ได้รับการเผยแพร่สู่หน่วยงานราชการ สาธารณชน และสู่การปฏิบัติอย่างทั่วถึง รัฐจะต้องกำหนดเป็นนโยบายสำคัญ เร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

 

ศอ.บต.ชี้มวลชนหนุนประกาศฉบับพิเศษ

นายพระนาย กล่าวอีกว่า จากการสำรวจความเห็นและเก็บข้อมูลของประชาชน หลังจากมีการประกาศมาตรการดูแลความสงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ออกมา 4 ฉบับ คือ การห้ามครอบครองเครื่องรับ-ส่งวิทยุ การแจ้งกรณีมีบุคคลนอกภูมิลำเนาเข้ามาพักอาศัยอยู่ด้วย ห้ามแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร รวมถึงการประกาศเคอร์ฟิวใน อ.ยะหา และ อ.บันนังสตา พบว่าได้รับเสียงตอบรับและสนับสนุนจากประชาชนอย่างดีมาก นอกจากนี้ยังพบว่า อัตราความรุนแรงในการก่อเหตุลดลงด้วย

 

ผอ.ศอ.บต.กล่าวว่า การเตรียมประกาศพิเศษเพิ่มอีก 2 ฉบับ ทั้งห้ามชายซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ และห้ามสตรีปกปิดอำพรางใบหน้าซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแม่ทัพภาคที่ 4 โดยศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้พร้อมเข้าไปสนับสนุนงานด้านมวลชนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประกาศดังกล่าว เพราะช่วงที่ผ่านมาพบว่า เมื่อชาวบ้านเข้าใจเหตุผลของเจ้าหน้าที่ก็มีทัศนคติที่ดีขึ้นกับเจ้าหน้าที่รัฐทุกส่วน

 

"ชาวบ้านยอมรับผลกระทบในบางอย่างที่เกิดจากการดำเนินการเพื่อควบคุมความรุนแรงและยุติการก่อเหตุรายวัน เพราะเขาคิดว่า เมื่อเป็นโรคมะเร็งแพทย์เยียวยาอาการด้วยวิธีคีโมก็จะเกิดผลข้างเคียงบ้างเป็นธรรมดา เช่นเดียวกับปัญหาชายแดนภาคใต้ หากรักษาอาการให้ตรงกับโรคก็จำเป็นต้องรับผลกระทบบ้างในบางเรื่อง" ผอ.ศอ.บต.กล่าว

 

เล็งห้ามครอบครองตะปูเรือใบ

ด้าน พล.ต.จำลอง คุณสงค์ เสนาธิการกองการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 4 กล่าวว่า ได้ทำหนังสือกรณีการออกประกาศห้ามผู้ชายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์และห้ามผู้หญิงปิดบังใบหน้า แจ้งไปยังหน่วยงานราชการทุกแห่งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และพื้นที่สี่อำเภอใน จ.สงขลา เพื่อให้ประชาสัมพันธ์ชี้แจงและเร่งสอบถามประชาชนในพื้นที่ถึงมาตรการดังกล่าวว่าเห็นด้วยหรือไม่ เพื่อจะนำมาพิจารณาออกประกาศเป็นข้อห้ามบังคับใช้ตามกฎอัยการศึกอย่างเป็นทางการต่อไป เบื้องต้นได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยเฉพาะประเด็นผู้ชายห้ามนั่งซ้อนท้ายเห็นด้วยกว่า 90%

 

เสนาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 กล่าวว่า ประเด็นห้ามผู้หญิงปิดบังใบหน้าอาจต้องพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้ขัดกับหลักศาสนา ซึ่งอาจจะขอความร่วมมือปฏิบัติ หรือกำหนดเป็นกรณี เช่น ห้ามปิดบังใบหน้าขณะมีการชุมนุม หรือให้เปิดเผยใบหน้าขณะมีการตรวจสอบ เป็นต้น นอกจากนี้ อาจเพิ่มประกาศควบคุมเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 2 ฉบับ คือ 1.ห้ามผู้ใดครอบครองตะปูเรือใบโดยไม่มีเหตุผลอันควร โดยเฉพาะตะปูขนาด 3-5 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดยอดนิยมที่แนวร่วมในพื้นที่นำมาใช้เป็นตะปูเรือใบโรยเส้นทางสกัดกั้นเจ้าหน้าที่

 

ประเด็นที่ 2 คือ การตรวจสอบกรรมสิทธิ์ผู้ครอบครองที่ดินในพื้นที่ เพื่อหามาตรการห้ามผู้ใดละเมิดสิทธิของผู้อื่น เช่น สวนยางที่มีผู้ครอบครองอยู่หรือไม่อยู่ในพื้นที่ก็ตาม ห้ามบุคคลอื่นเข้าไปละเมิดสิทธิใช้ประโยชน์ในการกรีดยางอย่างเด็ดขาด เนื่องจากเป็นปัญหาที่พบในพื้นที่มากที่สุด ทำให้ประชาชนร้องเรียนให้หามาตรการควบคุม ซึ่งไม่เฉพาะพื้นที่ของกลุ่มชาวบ้านที่อพยพออกนอกพื้นที่เท่านั้น ขณะที่บางรายอยู่อาศัยในพื้นที่ก็ยังไม่สามารถออกไปกรีดยางได้ แต่กลับมีกลุ่มบุคคลที่สามเข้าไปกรีดยางแทน โดยประกาศข้อห้ามทั้งหมดคาดว่าจะชัดเจนภายในสัปดาห์นี้พร้อมกัน

 

"ประเด็นผู้หญิงห้ามปิดบังใบหน้าเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงหลักศาสนา ทำให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีพยายามเริ่มนำประเด็นนี้ไปขยายความในทางที่ผิด เพื่อสร้างความเข้าใจผิดและปลุกระดมชาวบ้านให้ต่อต้าน ทำให้อาจต้องปรับเนื้อหารายละเอียดให้เหมาะสม แต่ยืนยันว่า จำเป็นจะต้องเปิดเผยใบหน้าเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่อาจต้องหาวิธีการที่เหมาะสมและทุกฝ่ายรับได้ ส่วนประกาศข้อห้ามอื่นๆ คาดว่าจะผ่านฉลุย โดยเฉพาะการห้ามละเมิดสิทธิกรีดยาง เนื่องจากชาวบ้านได้รับผลกระทบหนัก" พล.ต.จำลอง กล่าว

 

ด้านนายปรีชา ดำเกิงเกียรติ นายอำเภอสะบ้าย้อย จ.สงขลา กล่าวว่า หลังได้รับหนังสือกองทัพภาคที่ 4 ให้สำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับประกาศข้อบังคับ 2 ข้อ เบื้องต้นพบว่าส่วนใหญ่เห็นด้วย และส่วนตัวก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นมาตรการที่เชื่อว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ความรุนแรงได้ในระดับหนึ่ง เพราะคนร้ายนิยมใช้วิธีการดังกล่าวในการก่อเหตุจนเป็นที่ประจักษ์ ทำให้ประชาชนเห็นชอบในหลักการ ทั้งนี้ ในส่วนของข้อห้ามผู้หญิงปิดบังใบหน้า อาจกำหนดรายละเอียดให้ชัดเจนมากขึ้น เพื่อไม่ให้กระทบกับหลักศาสนา เช่น กรณีเกิดการชุมนุมประท้วง การเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ การตรวจค้นที่อยู่อาศัย เป็นต้น โดยจะแจ้งไปยังกองทัพภาคที่ 4 ให้เร่งประกาศบังคับใช้อย่างเป็นทางการต่อไป

 

หวั่นโจรใต้ใช้ช่องโหว่ปลุกม็อบฮือต้าน

ขณะที่นายอับดุลเราะมาน อับดุลสมัด ประธานศูนย์ประสานงานคณะกรรมการอิสลามสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยอมรับว่า นับแต่กองทัพภาคที่ 4 ใช้ประกาศพิเศษ 4 ฉบับ รวมทั้งประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่ อ.บันนังสตา และ อ.ยะหา จ.ยะลา เหตุการณ์ความรุนแรงมีแนวโน้มลดลง และความพึงพอใจของประชาชนเป็นไปในทิศทางบวก เนื่องจากเกิดความรู้สึกปลอดภัยทั้งในชีวิตและทรัพย์สินมากกว่าที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การเตรียมประกาศเพิ่มเติมในประเด็นห้ามสตรีคลุมหน้าซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ ถือเป็นประเด็นที่ล่อแหลม กระทบความรู้สึกของประชาชนไทยมุสลิมในพื้นที่อย่างมาก และอาจจะเข้าทางฝ่ายตรงข้ามในการปลุกระดมมวลชนออกมาต่อต้านประกาศดังกล่าว

 

"ยอมรับว่ามีผู้ไม่หวังดีใช้การแฝงตัวเพื่ออำพรางและปกปิดใบหน้าซ้อนท้ายก่อเหตุทำร้ายผู้บริสุทธิ์ในช่วงที่ผ่านมาจริง แต่เป็นส่วนน้อยเท่านั้น ฉะนั้น หากกองทัพภาคที่ 4 ประกาศกฎฉบับดังกล่าว ควรระวังการยุยงและปลุกปั่นของฝ่ายตรงข้ามให้ดี หากเลี่ยงไม่ได้ควรกำหนดเป็นมาตรการขอความร่วมมือจะดีกว่า เพราะจะช่วยลดแรงเสียดทานในเรื่องความรู้สึกได้บ้าง" นายอับดุลเราะมาน กล่าว

 

 "พล.อ.สนธิ"พร้อมเคลียร์กลุ่มวาดะห์

ความคืบหน้ากรณี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ออกมาระบุว่ามีกลุ่มวาดะห์บางส่วนผสมโรงกับกลุ่มก่อความไม่สงบสร้างสถานการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กระทั่งนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา แกนนำกลุ่มวาดะห์ ออกมาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้น ล่าสุด พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เรื่องนี้จะคุยกับกลุ่มวาดะห์ เพราะกลุ่มวาดะห์อยากจะพบกับตนอยู่แล้ว ส่วนจะพบเมื่อไรนั้นยังไม่แน่ใจ และจะพบทั้งหมด ไม่เฉพาะนายวันมูหะมัดนอร์เท่านั้น คิดว่าหากเห็นข้อมูลของตนแล้วจะดีใจ ทั้งนี้ ไม่ได้ถือว่าเป็นการเคลียร์ปัญหา แต่จะเล่าเรื่องจริงให้ฟัง

 

ขณะที่ นายมุข สุไลมาน หนึ่งในสมาชิกกลุ่มวาดะห์ ตอบรับท่าทีของ พล.อ.สนธิ โดยกล่าวว่า มีความยินดีเป็นอย่างมาก หากได้รับการเชิญให้เข้าพูดคุยและรับฟังข้อเท็จจริงจาก ผบ.ทบ. เพราะอย่างน้อยการพูดคุย หรือการรับทราบข้อมูลที่เป็นจริงจะสามารถไขข้อข้องใจให้แก่สมาชิกในกลุ่ม รวมถึงแก้ไขความเคลือบแคลงใจให้แก่คนในสังคมได้ เพราะเรื่องดังกล่าวส่งผลลบต่อภาพลักษณ์ของกลุ่มอย่างมาก

 

"อยากให้ ผบ.ทบ.ได้ให้ข้อมูลที่เป็นจริงไปเลยว่า สมาชิกรายใดของกลุ่มเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และควรใช้หลักฐานเข้าดำเนินการให้ถึงที่สุด ไม่ใช่ออกมากล่าวอ้างแบบลอยๆ จนเข้าทำนองสุภาษิตที่ว่า ปลาเน่าตัวเดียว เหม็นไปทั้งเข่ง" นายมุข กล่าวและว่า สมาชิกในกลุ่มยังยึดอาชีพนักการเมือง จึงไม่มีเหตุผลที่สมาชิกของกลุ่มจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น อีกทั้งเชื่อว่า หากสถานการณ์ทุกอย่างยังไม่ดีขึ้น การเลือกตั้งครั้งหน้าก็ยากที่จะได้กลับมานั่งเก้าอี้ ส.ส.อย่างแน่นอน เพราะคนในพื้นที่ยังมีความรู้สึกว่ารัฐบาลทักษิณเป็นต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้น

 

ต่างประเทศ

นักข่าวในอังกฤษร่วมกันเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักข่าวที่หายตัวไปในฉนวนกาซา

ศูนย์ข่าวแปซิฟิค --การหายตัวไปของนายอลัน จอหน์ จอห์นสตัน ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ ที่ประจำอยู่ในเขตฉนวนกาซาของปาเลสไตน์ตั้งแต่เมื่อวันที่12 มีนาคม จากการถูกคนร้ายไม่ทราบฝ่ายลักพาตัวไปและยังคงไม่ทราบชะตากรรมนั้น ในวันนี้ หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดี้ยน ของอังกฤษ ได้สละพื้นที่ 1 หน้าให้ นักข่าว บรรณาธิการและผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการสื่อสารมวลชนในประเทศกว่า 300 คน ร่วมลงชื่อเพื่อเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือ นายจอห์นสตัน ขณะที่ นายโจฮัน พี.ฟริตต์ ผู้อำนวยการสถาบันสื่อนานาชาติ ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงเวียนนาของออสเตรีย กล่าวแสดงความเป็นห่วงความปลอดภัยของนายจอห์นสตัน เป็นอย่างยิ่ง พร้อมกับได้ชื่นชมการรายงานข่าวของนายจอห์นสตัน ว่าเป็นกลางและถูกต้องแม่นยำ

 

ทั้งนี้ เหตุลักพาตัวนักข่าวจากชาติตะวันตกในฉนวนกาซาของปาเลสไตน์ แม้จะเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งแต่ก็มักจะถูกปล่อยตัวออกมาโดยปลอดภัยหลังถูกจับตัวไปเพียงไม่กี่วัน สำหรับนายอลัน จอห์นสตัน นักข่าวของบีบีซี วัย 44 ปี ประจำอยู่ในเขตฉนวนกาซามาแล้ว 3 ปี

 

 

เกาหลีใต้ยังเก็บภาษีข้าวจากสหรัฐ หลังทำเอฟทีเอ

ศูนย์ข่าวแปซิฟิค --ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีใต้ที่ได้มีการบรรลุข้อตกลงในวันนี้ จะมีการยกเลิกการจัดเก็บภาษีสินค้าหลายรายการ ซึ่งรวมถึงรถยนต์และเนื้อวัวจากสหรัฐฯ แต่ไม่นับรวมข้าวตามความต้องการของเกาหลีใต้ เกาหลีใต้เห็นด้วยที่จะเปลี่ยนระบบการจัดเก็บภาษีรถยนต์ ซึ่งพิจารณาได้จากขนาดของเครื่องยนต์ ทำให้รถยนต์จากสหรัฐฯมีราคาที่แพงกว่า ทั้ง 2 ประเทศเห็นพ้องต้องกันว่า จะขึ้นภาษีรถยนต์ที่มีกำลังน้อยกว่า 3,000 ซีซี และชิ้นส่วนรถยนต์ โดยในเกาหลีจะขึ้นภาษี 8.0% ส่วนสหรัฐฯจะขึ้นภาษี 2.5% นายคิม จอง-ฮุน หัวหน้าผู้เจรจาเกาหลีใต้กล่าวว่า ข้อตกลงนี้จะเกี่ยวข้องกับการยกเลิกภาษีสินค้าอุตสาหกรรมของแต่ละฝ่ายเกือบ 90% ในทันที ส่วนที่เหลือจะค่อยๆยกเลิกภายใน 3-15 ปี

 

สหรัฐฯให้ความสำคัญกับข้อตกลงนี้ ซึ่งต้องได้รับการอนุมัติจากสภานิติบัญญัติของทั้ง 2 ประเทศ เนื่องจากต้องการลดการขาดดุลกับเกาหลีใต้ซึ่งมีมูลค่าถึง 1.6 หมื่นล้านในปี 2548

 

ทั้งนี้ การขาดดุลกว่า 80% ของสหรัฐมาจากการค้ารถยนต์ ในปีที่แล้วเกาหลีใต้ขายรถยนต์ในสหรัฐฯได้กว่า 800,000 คัน ในขณะที่สหรัฐฯส่องออกรถยนต์ไปยังเกาหลีใต้เพียง 4,000 คัน ในภาคเกษตรกรรมนั้น เกาหลีใต้เป็นผู้ชนะในการเจรจาโดยไม่ต้องงดการจัดเก็บภาษีข้าว ในขณะที่สหรัฐฯก็สามารถขยายตลาดเนื้อวัวให้กว้างขึ้นได้ ก่อนที่จะมีการสั่งห้ามนำเข้าเนื้อวัวเนื่องจากการระบาดของโรควัวบ้าในปี 2546 นั้น เกาหลีใต้เป็นตลาดการส่งออกเนื้อวัวที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหรัฐฯ ด้วยมูลค่าการนำเข้า 850 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

 

ชาวจีนไม่รู้หนังสือกว่า100ล้านคน ขาดเงินทุนสนับสนุนจากภาครัฐ

กรุงเทพธุรกิจ -- จีนวิตกประชากรไม่รู้หนังสือเพิ่มขึ้นเป็น 116 ล้านคน หรือ 11.3% ของผู้ไม่รู้หนังสือทั่วโลก เหตุจากคนหนุ่มสาวในชนบทเลิกเรียนมาหางานทำในเมืองใหญ่ และขาดเงินทุนสนับสนุนจากภาครัฐ

หนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี รายงานวานนี้ว่า จำนวนประชากรในจีนที่ไม่รู้หนังสือได้เพิ่มเป็น 116 ล้านคน สูงกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลจากคนยากจนในชนบทละทิ้งไร่นาและโรงเรียน มาหางานทำในเมืองใหญ่

ตามผลการสำรวจสำมะโนประชากร พบว่าตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประชากรไม่รู้หนังสือ เพิ่มขึ้นประมาณ 30 ล้านคน ขณะในปี 2543 มีประชากรผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือ 87 ล้านคน

 

เกณฑ์วัดการรู้หนังสือในจีน ได้แก่ การที่ประชาชนต้องสามารถอ่านและเขียนตัวหนังสือจีนได้ 1,500 ตัว และ 7,000-9,000 ตัว สำหรับนักศึกษาระดับวิทยาลัย

 

สหประชาชาติ (ยูเอ็น) เปิดเผยว่า ในช่วงต้นศตวรรษ 20 ชาวจีนส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ แต่การปรับปรุงตัวอักษรจีนให้เขียนและอ่านง่ายขึ้น รวมถึงการรณรงค์กระตุ้นการรู้หนังสือของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำให้จำนวนผู้รู้หนังสือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในกลุ่มผู้ใหญ่ พบว่ามีอัตราการรู้หนังสือถึง 90% ในปี 2543

กระทรวงศึกษาธิการระบุถึงจำนวนผู้ไม่รู้หนังสือที่เพิ่มขึ้นล่าสุด ว่าเหตุผลหลักเกิดจากคนหนุ่มสาวยากจนในชนบท ต้องทิ้งการเรียนมาหางานทำตามเมืองใหญ่

 

"สถานการณ์กำลังน่าวิตก ภาวะไม่รู้หนังสือไม่เพียงเป็นปัญหาด้านการศึกษา แต่จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อสังคม" นายเกา เสี่ยวกุ้ย เจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงศึกษาธิการกล่าว

 

นายเกาเผยว่า อีกเหตุผลหนึ่งของความถดถอยด้านการศึกษา ยังเป็นเพราะขาดเงินทุนสนับสนุนการศึกษาอย่างพอเพียง อีกทั้งความสำเร็จในการลดจำนวนผู้ไม่รู้หนังสือในอดีต กลับทำให้รัฐบาลท้องถิ่นบางแห่งเลิกจัดโครงการส่งเสริมการรู้หนังสือ

 

สื่อรายงานว่า ประชากรผู้ไม่รู้หนังสือในปี 2543 มีสัดส่วนราว 11.3% ของผู้ไม่รู้หนังสือทั่วโลก และเคยสูงถึง 15.01% ในปี 2548

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท