ชื่อเดิม : จุดยืนและข้อเสนอแนะนักวิชาการอิสลามต่อรัฐกับผู้ก่อการ
(จากเวทีสัมมนาผู้รู้ทั่วประเทศไทย)
----------------------------------------
อ.อับดชชะกูร์ บินชาฟิอีย์ ดินอะ
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีกรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสนามุฮัมมัดและผู้เจริญรอยตามท่าน สุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน
ผู้เขียนในฐานะนักวิชาการอิสลามศึกษาได้รับเชิญจากคณะกรรมการวิสามัญเพื่อสอบสวนและศึกษาสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งร่วมกับสำนักจุฬาราชมนตรี กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค ๔ (กรอ.มน. ภาค ๔) และ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เข้าร่วมประชุมสัมมนาคณะผู้รู้ศาสนาอิสลามในประเทศไทยขึ้นที่ จังหวัดสตูล ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ มีนาคม ๒๕๕๐ เพื่อร่วมกันสานเสวนาพิจารณาวินิจฉัยประเด็นปัญหาต่างๆ ทางศาสนาและเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตหรือบรรทัดฐานในการปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลามแก่ประชาชนโดยทั่วไป
การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นที่รร.พินาเคิลวังใหม่ อ.เมือง จ. สตูล ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการรวมตัวกันครั้งสำคัญของผู้นำศาสนาอิสลาม นักการศาสนา รวมถึงนักวิชาการจากทั่วประเทศที่มีจำนวนร่วมกว่า ๒๐๐ คน นอกจากนี้ยังมีตัวแทนจากสน.จุฬาราชมนตรี ตัวแทนจากคณะกรรมการกลางแห่งประเทศไทย คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทั่วประเทศ
จากสถานการณ์การก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง และทวีความรุนแรงขึ้นตามลำดับในขณะนี้ ได้สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ประชาชนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
จากความห่วงใยต่อสถานการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นในเวลานี้
ผู้รู้ ผู้นำศาสนาอิสลาม นักการศาสนาจึงมีความสำคัญมาก ทำไม....
ผู้นำทางการศึกษาศาสนาและผู้นำทางศาสนา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นผู้นำทางธรรมชาติในสังคมมุสลิม ความสำคัญของผู้นำมุสลิมตามทัศนะอิสลาม ในสังคมมุสลิมผู้นำศาสนาหรือตามภาษาพื้นบ้าน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า โต๊ะครู ซึ่งมาจากภาษามลายูกลางว่า ตวนฆูรู หรืออาจมาจากคำว่า 'คุรุ' หรือ 'ครู' นั้นเอง
แต่ในภาษาอาหรับ หรือในภาษาที่ชาวมุสลิมทั่วไปอาจเรียกอย่างยกย่องว่าอาลิม(ผู้รู้ 1 คนเป็นเอกพจน์)หรืออุละมาอฺ(ผู้รู้ หลายคนเป็นพหูพจน์) โดยมีรากศัพท์ ผันมาจาก อิลมฺ คือความรู้ โต๊ะครูหรือ อาลิมและอุลามาอฺ จึงให้ความหมายถึง ผู้รู้และบรรดาผู้รู้ ในที่นี้คือ รู้ในศาสตร์ของอิสลาม หรืออิสลามศึกษา
ในขณะผู้รู้หลายคน มีความรู้ที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงรู้ในเรื่องศาสนาเท่านั้น แต่หมายถึงรู้เรื่องอิสลามที่เกี่ยวข้องศาสตร์อื่นๆ อีกด้วย การแพทย์ ดาราศาสตร์ การเมือง และสังคม ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กล่าวถึงความประเสริฐของบรรดาอุลามะอฺว่า เปรียบเสมือนผู้รับมรดกของบรรดานบี (ศาสดาทั้งหลาย) หรือได้กล่าวเปรียบเทียบสถานภาพของอุลามะอฺ ที่สูงส่งกว่า นักพรต นักบำเพ็ญตน ปลีกวิเวก อุปมาดั่งดวงจันทร์วันเพ็ญที่ทอแสงเจิดจ้าโดดเด่นกว่าดวงดาวทั้งหลาย ท่านอาลี บินอบีฎอลิบ (รอฏิยัลลอฮุอันฮุ)คอลีฟะห์ (คาหลิบ) ท่านที่ ๔ แห่งอิสลาม ได้ถูกตั้งคำถามจากสหายคนหนึ่งว่า
"ใครคือผู้ที่ดีที่สุดในงานสร้างของอัลลอฮฺภายหลังท่านศาสดา" ท่านอาลีได้ตอบว่า "อุละมาอฺหรือบรรดาผู้รู้ทางศาสนาเมื่อเขามีความเที่ยงธรรม" และเมื่อถูกถามต่อ "แล้วใครเลวที่สุดในงานสร้างของพระผู้เป็นเจ้าหลังจากฟิรเอาว์ (ฟาโรห์)" ท่านตอบว่า "อุละมาอฺหรือผู้รู้ศาสนาเมื่อเขาประพฤติชั่ว"
จากวจนะท่านอาลี บินอบีฎอลิบดังกล่าว ทำให้เราได้ทราบว่ามุสลิมได้แบ่งประเภท ผู้รู้หรือโต๊ะครูเป็น 2 จำพวก คือ ผู้รู้ที่ดี กับผู้รู้ที่ไม่ดีหรือเลวนั้นเอง เช่นเดียวกัน
บุคลิกภาพของผู้รู้จะต้องมีภาพสะท้อนของบรรดาศาสดาทั้งหลาย ทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศสรรเสริญ จะต้องไม่เป็นตัวบั่นทอนการนำเสนอสัจธรรมสู่มวลชน หรือสู่สังคม การสงบเสงี่ยมและเจียมตัว และอยู่อย่างพอเพียง พึงใจต่อความเมตตาปรานีของพระเจ้า และที่สำคัญที่สุดของภาระหน้าที่ของอุลามาอฺ หรือโต๊ะครู นั้นคือ การรับใช้มนุษย์และสังคม ตลอดจนรับผิดชอบสังคม ในความดี ความชั่วที่เกิดขึ้น
ที่สำคัญต้องสามารถแสดงจุดยืนด้านธรรมะและหลักการที่ถูกต้องตามหลักศาสนาเรื่องราวเหล่านี้เป็นการแสดงบทบาทที่ตรงกับเป้าหมายของอิสลามมากที่สุด
เพราะจะเป็นไปได้อย่างไรที่มนุษย์จะศรัทธาหรือยอมรับแนวทางการดำเนินชีวิตของใครสักคน โดยที่ใช้แบบอย่างจากคำพูดของเขา แต่ไม่สามารถเห็นได้จากการกระทำของเขา ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา อุละมาอฺในภาคใต้มีบทบาทในสังคมมาก ในการชี้นำความถูกต้องให้กับสังคม
นับตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ.2547 ถึงบัดนี้ ปรากฏการณ์ความรุนแรงใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้สังเวยชีวิตคนไทย (ทั้งมุสลิมและพุทธ) ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 2,000 ศพ และยังไม่มีวี่แววความรุนแรงจะลดลง ตรงกันข้าม เหตุการณ์รุนแรงที่ได้ปรากฏให้เป็นที่ประจักษ์มาตลอดสองปีกว่า เป็นสิ่งยืนยันบ่งบอกให้เป็นที่เข้าใจได้ไม่ยากว่าวิกฤตการณ์ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะยืดเยื้อและทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นปัจจุบัน อุละมาอฺซึ่งเป็นทั้งผู้นำการศึกษาและศาสนาในภาคใต้ยิ่งสมควรแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคใต้โดยเฉพาะปัญหาการก่อการร้ายเพื่อชี้นำความถูกต้องให้กับสังคม
นอกจากหาข้อยุติในประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับบทบัญญัติในศาสนาอิสลามแล้ว ที่ประชุมครั้งนี้ยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในการส่งเสริมสนับสนุนในการสร้างสันติภาพและความสามัคคีแก่คนในชาติ ส่งเสริมให้เห็นคุณค่าของศาสนาวัฒนธรรมต่างๆ ในการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้และสนับสนุนให้ผู้นำและผู้รู้ทางศาสนามีบทบาทในการแก้ปัญหาของสังคมมุสลิมและประเทศชาติโดยร่วม
พล.อ.ปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์ อดีตแม่ทัพภาค๔ ประธานคณะกรรมการวิสามัญฯ ได้กล่าวถึงความคาดหวังจากการดำเนินการประชุมในครั้งนี้ ว่า ทุกคนที่มาร่วมประชุมมีความตั้งใจสูงในการที่จะมีส่วนในการแก้ปัญหาความไม่สงบดูได้จากคืนที่ผ่านมาที่บรรดาผู้นำที่มาร่วมประชุมได้ถกเถียงพูดคุยในหัวเรื่องต่างๆอย่างเครงเครียดและเอาจริงเอาจังจนถึงเที่ยงคืน
"ผมประทับใจกับผู้เข้าร่วมทุกคนที่มีความตั้งใจและเสียสละเวลาในการมานั่งถกปัญหาเพื่อหาข้อตกลงร่วมในการตีความในประเด็นต่างๆ วันนี้เราได้ข้อสรุปแล้วและเราจะต้องเผยแพร่ให้สื่อ ให้ข้าราชการ และประชาชนรับรู้รับทราบอย่างทั่วถึง และผมมีความตั้งใจที่จะแปลข้อสรุปเป็นภาษามลายู (ญาวี) ภาษาอังกฤษ และภาษาอาหรับ เพื่อสิ่งเหล่านี้จะได้เข้าถึงประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งผมถือว่านี่คือฉันทามติของที่ประชุมในครั้งนี้"
จากการระดมผู้รู้ในสองวันทำให้ที่ประชุมมีข้อสรุป ๑๐ ข้อด้วยกันดังนี้
1. ในยามที่สังคมเกิดวิกฤติ ผู้รู้และผู้นำศาสนาอิสลามต้องมีความกล้าหาญในทางจริยธรรมในการชี้นำสังคมไปในทางที่ถูกต้อง ทั้งนี้โดยรัฐให้การสนับสนุน ส่งเสริมให้ผู้นำและผู้รู้ทางศาสนามีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาของสังคมมุสลิมและประเทศชาติโดยรวม
2. หลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ยอมรับในความแตกต่างและความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม ตลอดจนความหลากหลายทางชาติพันธุ์ การกระทำหรือคำกล่าวใด ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าศาสนาอิสลามมีความเกลียดชังรังเกียจศาสนิกในศาสนาและชาติพันธุ์อื่น ๆ ไม่ใช่หลักคำสอนของอิสลาม
3. อิสลามมีหลักคำสอน เรื่อง ญีฮาดชัดเจน และการญีฮาดมิได้หมายถึงการทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะนับถือศาสนาใด การอ้างคำสอนเรื่องญีฮาดเพื่อนำมาทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม
4. การเรียกว่าญีฮาดหรือไม่ จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า
ถูกกดขี่และขับไล่อย่างอยุติธรรม ถูกริดรอนด้านศาสนาและจะต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ทางจริยธรรมในการทำสงครามญีฮาด เพราะฉะนั้น การก่อความรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ย่อมไม่ถือเป็นการญีฮาด
อนึ่ง รัฐจะต้องไม่สร้างเงื่อนไขใด ๆ อันจะนำไปสู่การอ้างความชอบธรรมของผู้ไม่หวังดีในการกระทำความรุนแรง
5. การวินิจฉัยว่า บุคคลจะเป็นชะฮีด (ผู้ที่เสียชีวิตจากการต่อสู้ในการปกป้องศาสนาอิสลาม) หรือไม่ จะต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ของการทำญีฮาด แต่หากการเสียชีวิตที่อยู่นอกเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ดังกล่าวย่อมไม่ถือเป็นชะฮีดตามบทบัญญัติอิสลาม
6. การสาบาน (ซุมเปาะห์) จะสมบูรณ์ได้ จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามบทบัญญัติของอิสลาม และมีเป้าหมายในสิ่งที่ไม่ขัดต่อหลักการของอิสลาม หากผู้กล่าวสาบานไม่ได้ดำเนินการตามบทบัญญัติของอิสลามหรือมีเป้าหมายที่ขัดแย้งกับหลักคำสอนของอิสลาม การสาบานนั้นให้ถือเป็นโมฆะ
7. เงินที่ได้รับจัดสรรเยียวยาให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ถือว่าเป็นมรดก
8. การประกาศวันสำคัญในศาสนาอิสลาม (อีดิลฟิตรีและอีดิลอัดฮา) ในประเทศไทย มีข้อเสนอให้จุฬาราชมนตรีประชุมร่วมกับประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการประกาศวันสำคัญของศาสนาอิสลามให้เป็นเอกภาพ
9. การผ่าศพและการขุดศพเพื่อชันสูตรหาข้อเท็จจริงความเป็นบุคคล สาเหตุการตาย เพื่อหาความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิตและเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมสามารถกระทำได้ ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้คำวินิจฉัยของผู้รู้ทางศาสนาและได้รับการอนุญาตจากญาติของผู้เสียชีวิต
อนึ่ง ในกรณีศพนิรนาม การดำเนินการให้อยู่ในดุลยพินิจของสำนักจุฬาราชมนตรี
10. คำวินิจฉัยของอดีตจุฬาราชมนตรี (นายประเสริฐ มะหะหมัด) เกี่ยวกับปัญหาการปฏิบัติตามหลักศาสนาของมุสลิมกับทางราชการ ยังไม่ได้รับการเผยแพร่สู่หน่วยงานราชการ สาธารณชนและสู่การปฏิบัติอย่างทั่วถึง รัฐจะต้องกำหนดเป็นนโยบายสำคัญ เร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
สุดท้ายผู้เขียนหวังว่ามติของผู้รู้และผู้นำมุสลิมในเวทีสัมมนานี้จะเป็นเสมือนกุญแจแก่ผู้ไม่หวังดี ไม่สร้างความเดือดร้อนโดยเฉพาะผู้บริสุทธิ ในขณะเดียวเตือนภาครัฐให้ระมัดระวัง
โดยไม่สร้างเงื่อนไขใด ๆ อันจะนำไปสู่การอ้างความชอบธรรมของผู้ไม่หวังดีในการเรียกร้องสู่การญิฮาดที่ใช้ความรุนแรง
ที่สำคัญที่สุด เราทุกคนจะต้องช่วยกันส่งเสริมความดีและห้ามปรามความชั่ว ในขณะเดียวกันจะต้องร่วมปรึกษาหารืออย่างสันติในการนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)