ชำนาญ จันทร์เรือง
ผมไม่รู้จัก อ.ใจ อึ้งภากรณ์ เป็นการส่วนตัวมาก่อนแม้ว่าจะมีโอกาสร่วมเสวนาทางวิชาการบ้างเป็นบางครั้ง แต่เมื่อได้มีโอกาสอ่าน "A Coup For the Rich:
น่าเสียดายที่หนังสือเล่มนี้เขียนเป็นภาษาอังกฤษซึ่งเป็นยาขมสำหรับคนไทย แต่เนื้อหาที่บรรจุนั้นกลับเข้มข้น น่าบริโภคเป็นอย่างยิ่ง อ.ใจได้อธิบายถึงแนวความคิดของผู้ที่ไม่เอาทั้งทักษิณและคณะรัฐประหาร (No to Thaksin and No to the Coup) โดยชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าทักษิณหรือรัฐประหารก็ล้วนแล้วแต่เป็นอันตรายต่อประชาธิปไตยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
หนังสือเล่มนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงการไม่ยอมรับของคนชั้นนำในสังคมที่สนับสนุนรัฐประหารที่เห็นว่าคนจนมีประชาธิปไตยมากเกินไป (too much democracy) และโดยเขาเหล่านั้นแบ่งประเทศไทยว่ามีสองชนชั้นใหญ่ๆ คือชนชั้นกลางที่กระจ่างแจ้งและเข้าใจประชาธิปไตย (enlightened middle-classes who understand democracy) กับชาวชนบทและชาวเมืองที่ยากจนอันแสนจะโง่เขลา (ignorant rural and urban poor)
และยังได้ถ่ายทอดมุมมองของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหารที่มองว่า ประชาชนชาวไทยยังขาดความรู้ความเข้าใจประชาธิปไตยที่ถูกต้อง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามาให้การศึกษา (I suspect many Thais still lack a proper understanding of democracy: The people have to understand their rights and their duties
I think it is important to educate the people about true democratic rule)
นอกจากนั้น อ.ใจยังได้วิพากษ์นักวิชาการที่มีชื่อเสียง อาทิ เอนก เหล่าธรรมทัศน์, ธีรยุทธ์ บุญมี และอดีตนายกฯอานันท์ ปันยารชุน ว่า ปัจจุบันได้หันมาส่งเสริมแนวความคิดคุณค่าของเอเชีย (the idea of
ในส่วนของกลุ่มพลังที่มีส่วนผลักดันขับไล่ทักษิณก่อนการรัฐประหาร ที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อ.ใจได้วิเคราะห์แยกแยะถึงองค์ประกอบและปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้มีการเคลื่อนไหว ซึ่งโดยสรุปแล้ว ผู้ที่มีอิทธิพลสูงสุดและควบคุมการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ทั้งหมดคือ สนธิ ลิ้มทองกุล นั่นเอง เพราะมีทั้งเงินทุน สื่อ ฯลฯ อยู่ในมือ โดยมองว่าแกนนำที่เหลือเป็นเพียงผู้สนับสนุนเท่านั้น
อ.ใจได้กล่าวถึงการกลับมาสถาปนาระบอบกษัตริย์ของอังกฤษเพียง 11 ปีภายหลังการปฏิวัติ ค.ศ.1640 ของโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ ที่สามารถฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ภายหลังการเสียชีวิตเขา แต่ระบอบกษัตริย์ที่ได้กลับคืนมาก็ไม่เหมือนเดิมดังแต่ก่อน เพราะกฎหมายศักดินาและระบบเศรษฐกิจเก่าแก่ได้ถูกทำลายลง แต่อย่างไรก็ตามก็ยังติดอยู่กับการสนับสนุนจากพ่อค้าและผู้ดี โดยยกตัวอย่างเปรียบเทียบพระเจ้าชารลส์ที่ 2 ว่า เป็นกษัตริย์โดยพระคุณของพระเจ้า แต่ในความจริงแล้วเป็นโดยพระคุณของบรรดาพ่อค้าและพวกผู้ดีทั้งหลาย (Charles (the 2nd) was King by Grace of God, but really King by the Grace of merchants and squires)
นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงคนเดือนตุลาฯ อันเป็นผลผลิตของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่เรียกร้องรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย แต่ต้องหนีเข้าป่าไปร่วมอุดมการณ์กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเมื่อครั้งเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แต่ในที่สุดก็กลับมาเข้าร่วมกับรัฐบาลไทยรักไทย โดยเปลี่ยนอุดมการณ์ไปโดยเห็นว่าอุดมการณ์เดิมไม่สามารถปรับตัวเข้ากับโลกสมัยใหม่ได้
เขาเหล่านั้นเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องใช้ระบบเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน (Dual Track) โดยพัฒนานโยบาย "ทุนนิยม" และ "เศรษฐกิจประชาชน (ชุมชน)" ไปในขณะเดียวกัน (development policy, where "Capitalism" and the "Peoples Economy" (Community based activities) went hand in hand) หรือที่เรารู้จักกันโดยทั่วไปว่าเสรีนิยมบวกกับประชานิยมนั่นเอง
ในขณะเดียวกัน วิถีชีวิตของคนเดือนตุลาฯ ในไทยรักไทยห่างเหินจากกระบวนการความเคลื่อนไหวของประชาชนแปรเปลี่ยนเป็นนายทุนและรัฐมนตรีผู้สูงศักดิ์อย่างเต็มตัว นโยบายของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่ออกมาไม่เคยมีความตั้งใจที่จะเก็บภาษีคนรวยอย่างเต็มที่
ในช่วงแรก นโยบายนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทุนไทยเกือบทั้งหมด แต่เมื่อเวลาผ่านไป นักธุรกิจบางคนรู้สึกว่าตนถูกกีดกันจากการเข้าร่วมเสวยผลประโยชน์ที่มีแต่เพียงพลพรรคไทยรักไทยเท่านั้น จึงเริ่มมีการแสดงความไม่พอใจและนำไปสู่การเคลื่อนไหวต่อต้านในที่สุด
และบทสุดท้ายในหนังสือเล่มนี้ ได้กล่าวถึงปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ของประเทศไทยที่ได้สรุปว่า ต้นตอแห่งปัญหาที่แท้จริงนั้นมีรากเหง้ามาจากรัฐไทยนั่นเอง โดยลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ในอดีตจนถึงเหตุการณ์ในสมัยรัฐบาลทักษิณ กรณีตากใบ ฯลฯ จนท้ายสุดคือเหตุการณ์สึนามิที่ดูเหมือนว่าจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่ผลที่ตามมากลับไม่ใช่ (The Tsunami was natural, but its effects were not)
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนจากหลายๆ ส่วนที่ไม่สามารถนำมากล่าวถึงได้หมด แต่โดยสรุปแล้วผมเห็นเป็นหนังสือที่มีคุณค่ายิ่ง เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงความเห็นของนักวิชาการ (ที่แท้จริง) เพียงคนเดียว แต่ได้เปิดมุมมองใหม่ๆ ขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่มีใครเห็นด้วยทั้งหมด แต่อย่าลืมว่าความเจริญงอกงามทางวิชาการในระบอบประชาธิปไตยก็เริ่มต้นจากการยอมรับในความเห็นที่แตกต่างมิใช่หรือ
คิดว่าคนไทยคงจะได้มีโอกาสอ่านฉบับที่แปลเป็นภาษาไทย อย่าปล่อยให้แต่ฝรั่งหรือคนรู้ภาษาอังกฤษได้อ่านเท่านั้นนะครับ
-------------------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 11 เมษายน 2550
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)