ถ้าเราเชื่อว่าบทบาทหน้าที่ของภาพยนตร์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการให้ความบันเทิง แต่เป็นสื่อที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตประจำวันของปัจเจกบุคคล และมีอิทธิพลต่อภาพใหญ่ของสังคมทั้งในด้านการเมือง วัฒนธรรม และเศรษฐกิจแล้ว การพัฒนาสื่อภาพยนตร์ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม แต่การที่ "ภาพยนตร์" ในฐานะ "สื่อ" ที่จะทำหน้าที่ต่อสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น มันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขปัจจัยของการมี "สิทธิ" และ "เสรีภาพ" อย่างยิ่ง
ถึงอย่างนั้น "ภาพ" ของสื่อภาพยนตร์ในสังคมไทยก็มักถูกมองเห็นเพียงด้านของการให้ความบันเทิง และไม่ได้ถูกจัดประเภทให้เป็น "สื่อมวลชน" เช่นเดียวกับหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ดังที่ในรัฐธรรมนูญส่วนที่ระบุถึง"สิทธิ" และ "เสรีภาพ" ของสื่อมวลชนไม่ได้รวมสื่อภาพยนตร์เข้าไว้ด้วย ทำให้สื่อภาพยนตร์ถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกับสื่อสาขาอื่นๆ
การสะท้อนปัญหาดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับก้าวแรกในการพัฒนาสื่อภาพยนตร์ ผู้เกี่ยวข้องกับสื่อภาพยนตร์ทั้งนักวิชาการ ผู้สร้างภาพยนตร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ ฯลฯ จึงมาร่วมกันระดมความคิดเพื่อให้ได้มุมมองและแนวทางเกี่ยวกับ "สิทธิ" และ "เสรีภาพ" ของสื่อภาพยนตร์ เลยไปถึงการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมในรัฐธรรมนูญที่กำลังจะเข้าสู่กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
การเสวนาสาธารณะ "รัฐธรรมนูญใหม่กับภาพยนตร์ไทย" เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2550 ที่ห้องสัญญา ธรรมศักดิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จึงถูกจัดขึ้นจากแนวคิดดังกล่าว
ผู้ร่วมเสวนาอย่างเป็นทางการประกอบไปด้วย รศ.
"ภาพยนตร์" เป็น "สื่อ" ที่ทรงพลัง โปรดใช้ให้เป็นประโยชน์
รศ.
"ภาพยนตร์เป็นสื่อมวลชนที่ทรงอานุภาพ โปรดใช้ภาพยนตร์ให้เป็นประโยชน์ และการที่จะใช้ภาพยนตร์ให้เป็นประโยชน์ได้นั้น โปรดให้ความสำคัญกับภาพยนตร์ เมื่อใดก็ตามที่พูดถึง หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ขอให้ใส่ภาพยนตร์ลงไปด้วย วันไหนเราถึงจะยอมรับว่าภาพยนตร์เป็นสื่อสารมวลชนที่ยิ่งใหญ่แล้วใช้มันสร้างความเข้มแข็งแก่สังคมเรา ประเทศชาติเรา"
รศ.
ทำไมต้องระบุในรัฐธรรมนูญว่า "ภาพยนตร์" เป็น "สื่อสารมวลชน"
อ.ไกรสร วงษ์อนันต์ศักดิ์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า หากรัฐธรรมนูญยังไม่รับรองให้ภาพยนตร์เป็นสื่อสารมวลชน การผลักดันเรื่องพ.ร.บ.ต่างๆ คงอ้างสิทธิเสรีภาพของการเป็นสื่อมวลชนไม่ได้ แต่ถ้ารัฐธรรมนูญรับรองแล้ว การพบปะพูดคุย ต่อรอง หรือแลกเปลี่ยนความคิด จะเป็นอีกบทบาทหนึ่ง และ อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนในแวดวงภาพยนตร์ไทยได้หันกลับมามองแล้วภูมิใจในอาชีพนี้ว่าไม่ได้มีหน้าที่แค่การให้ความบันเทิงแต่มีหน้าที่อะไรบางอย่างในฐานะสื่อมวลชน
มานพ อุดมเดช ผู้กำกับภาพยนตร์ กล่าวว่า การมองว่าภาพยนตร์ไม่ใช่สื่อสารมวลชนเป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นประชาธิปไตยของประเทศ เพราะขัดกับหลักสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่ถ้ามีการระบุแล้ว นอกจากจะเป็นการแสดงถึงการมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ยังทำให้เกิดการสร้างงานมากขึ้นและเกิดการจ้างงานมากขึ้น นอกจากนี้ สิ่งที่จะเกิดหลังจากการยอมรับว่าภาพยนตร์เป็นสื่อสารมวลชนอย่างแท้จริงจะทำให้ประเทศไทยมีวัฒนธรรมด้านทางภาพยนตร์ที่แข็งแกร่ง ไม่ถูกรุกรานทางวัฒนธรรมอย่างเช่นในปัจจุบันทั้งจากสหรัฐอเมริกา และเกาหลี
รศ.
นนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับภาพยนตร์ กล่าวว่า การได้รับการยอมรับเป็นสิ่งสำคัญเพราะทำให้มีคนหันมามองและจับตามากขึ้น ถึงแม้จะเป็นแค่การเริ่มต้นแต่ก็ควรเริ่มต้นได้แล้ว
"เมื่อคุณจะออกกฎหมายลูก กำหนด พ.ร.บ.ใหม่ๆ คุณก็จะมองเห็นว่าเรามีตัวตน"
สุรศักดิ์ สรรพิทักษ์เสรี เลขาธิการสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ กล่าวว่า การสื่อสารมวลชนจะมีผลในสองมิติ คือ มิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และมิติด้านความสงบเรียบร้อย ในประเทศที่มองสื่อภาพยนตร์ว่าเป็นสื่อสารมวลชนจึงมีการส่งเสริมพัฒนาสื่อภาพยนตร์ เช่น ฝรั่งเศส, สหรัฐอเมริกา, เกาหลี ขณะที่เมื่อมองกลับมาที่ประเทศไทยที่มองสื่อภาพยนตร์ว่าเป็นเพียงสื่อบันเทิง จึงมองเพียงมิติด้านความสงบเรียบร้อยซึ่งก็ทำให้เกิดการควบคุมสื่อภาพยนตร์ที่คิดว่าจะกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี ดังนั้นการมองสื่อภาพยนตร์ว่าเป็นสื่อสารมวลชนก็จะเป็นการเปลี่ยนทัศนคติที่สำคัญของสังคม และถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
การเซ็นเซอร์ภาพยนตร์-อำนาจรัฐ-ประชาชน
มานพ อุดมเดช กล่าวว่า ไม่ได้ปฏิเสธการเซ็นเซอร์โดยสิ้นเชิงแต่ไม่ต้องการให้อำนาจรัฐมาแทรกแซงสิทธิเสรีภาพของประชาชน ประชาชนสามารถดูแลกันเองได้ไม่จำเป็นต้องแทรกแซงโดยอำนาจรัฐ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่อำนาจรัฐไม่บริสุทธิ์พอที่จะทำให้ประชาชนเชื่อว่าเป็นเจ้าของอำนาจรัฐ อำนาจรัฐที่มีความเป็นเผด็จการ เอาเปรียบ และไม่ไว้ใจประชาชน
"เลิกเสียทีวิธีการตั้งคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่งขึ้นมาและตัดสินแทนคนอื่นในสังคม ทำไมไม่ไว้ใจประชาชนว่ามีวิจารณญาณ"
"อังเคิล" อดิเรก วัฏลีลา ผู้กำกับภาพยนตร์ กล่าวว่า จะมีการดูแลกันเองโดยภาครัฐไม่ต้องมาแทรกแซง
"อย่างน้อยที่สุดจะบอกไว้เหมือนกับ น้ำพริกขวดนี้เผ็ดน้อยหรือเผ็ดมาก ยาขวดนี้ยาเด็กหรือยาผู้ใหญ่ มีสลากแปะ แล้วคุณก็จะเชื่อใจประชาชนว่ามีสมอง ไม่โง่ รู้ว่าอะไรควรให้ลูกหลานกิน ถ้าลูกหลานกินแล้วเผ็ดก็เลิกกินไปเอง แต่ถ้ายิ่งห้ามก็ยิ่งดู ให้เรียนรู้ ให้ประชาชนรู้จักไว้ใจลูกหลานตัวเอง ไว้ใจพ่อแม่ให้ดูแลลูกหลานตัวเอง ทุกคนต้องไว้ใจซึ่งกันและกัน แล้วรัฐจะไม่เหนื่อย ถ้ายังทำกันอีกสังคมจะรับไม่ได้เอง"
ชลิดา เอื้อบำรุงจิต จากมูลนิธิหนังไทย กล่าวว่า อาจไม่ต้องเรียกร้องในฐานะสื่อสารมวลชนแต่อาจพูดในฐานะบุคคลธรรมดาที่ถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น เมื่ออยากดูหนังเรื่องหนึ่งแล้วมีคนบางคนมาบอกว่าตรงนั้นตรงนี้ดูไม่ได้ แต่ในการเดินไปในแนวทางประชาธิปไตย สังคมต้องเรียนรู้ร่วมกัน แต่ต้องไม่ใช่อำนาจรัฐเป็นตัวตัดสิน