Skip to main content
sharethis


การเมือง


 


 


คมช. มีมติ ดำเนินคดีพีทีวี และกลุ่มบุคคลที่ให้ร้ายกับกองทัพ


เว็บไซต์แนวหน้า - พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม คมช.ได้มอบหมายให้ศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ คมช. และสำนักงานเลขาธิการ คมช. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบข้อมูลและพิจารณาดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษกับกลุ่มพีทีวี กรณีที่พยายามพูดจาพาดพิงในลักษณะให้ร้าย รวมทั้งให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน จนทำให้เกิดความเสียหายกับกองทัพ ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนบางส่วนเกิดความเข้าใจผิด และมีทัศนะในด้านลบต่อการทำงานของ คมช. โดยเฉพาะการโจมตี คมช.ผ่านทางเว็บไซต์ไฮ-ทักษิณ ดอทเน็ต ทั้งนี้ ยืนยันว่า คมช.จะดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายให้ถึงที่สุด


 


ส่วนการชุมนุมของกลุ่มพีทีวีที่จะมีขึ้นที่ท้องสนามหลวงนั้น คมช.จะไม่ใช้การทหารเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างแน่นอน และเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจการทำงานของ คมช.และรัฐบาล ดังนั้น ความพยายามของผู้ที่ไม่หวังดีเพื่อที่จะปลุกกระแสให้เกิดความวุ่นวายขึ้น มั่นใจว่า จะไม่เป็นผลสำเร็จ


 


 


สตช.บุกไอซีที ขอหลักฐานมัดตัวการคลิปหมิ่นเบื้องสูง คาด พ.ค.นี้ รู้ที่มาแน่


เว็บไซต์แนวหน้า - พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผู้ช่วยผู้บัญชาตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนกรณีเว็บไซต์ยูทูบ และเว็บไซต์ต่างประเทศอื่น ๆ ที่เผยแพร่ภาพ ข้อความ และคลิปหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ได้เดินทางพบนายสิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เพื่อขอตรวจสอบข้อมูลหลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว เพื่อให้ได้ข้อมูลหลักฐานมากที่สุด พร้อมกล่าวว่า ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ จะรู้ถึงแหล่งที่มาของภาพและคลิปที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ของกระทรวงไอซีที แจ้งให้ทราบว่า ภาพและคลิปวิดีโอส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ ซึ่งจะต้องดำเนินการตรวจสอบว่ามาจากใคร และหาแนวทางเอาผิดต่อไป เพราะต่างประเทศก็มีกฎหมายดำเนินคดี และสามารถเอาผิดได้เหมือนกัน แต่ขณะนี้ยังไม่แน่ใจว่า หากประสานไปแล้วจะได้รับความร่วมมือมากน้อยแค่ไหน ส่วนการดำเนินคดีและเอาผิดนั้น สามารถใช้กฎหมายอาญา มาตรา 7 ที่ระบุว่า แม้ความผิดเหล่านี้เกิดนอกราชอาณาจักร ก็สามารถลงโทษในราชอาณาจักรได้



"สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นที่เคารพรักยิ่งของประชาชนชาวไทย การกระทำดังกล่าว ถือว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และทำร้ายความรู้สึกของประชาชนชาวไทยอย่างรุนแรง โดยขอยืนยันจะดำเนินการทุกวิถีทางที่จะเอาผิดกับผู้ที่นำภาพ คลิป และข้อมูลดังกล่าวไปเผยแพร่ให้ได้เท่าที่กฎหมายประเทศไทยจะเอื้ออำนวย" พล.ต.ท.จงรัก กล่าว


 


ส่วน นายสิทธิชัย กล่าวว่า หลังจากนี้ กระทรวงไอซีทีจะทำงานใกล้ชิดกับ สตช. มากขึ้น ในการหาหลักฐานคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยเร็ว ๆ นี้จะประสานกับกระทรวงการต่างประเทศ และทางการสหรัฐอเมริกาว่า ไทยจะขออำนาจศาลในเปิดเผยข้อมูลที่อยู่ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต หรือ ไอพี แอดเดรส ในไทย เพื่อให้การติดตามคนทำผิดทำได้ง่ายขึ้น


 


 


รมว.สาธารณสุข ยืนยัน องค์กรพัฒนาเอกชน ชื่นชมไทยกล้าทำซีแอลยาเอดส์


ศูนย์ข่าวแปซิฟิค - ในการเข้าร่วมประชุมสมัชชาอนามัยโลกครั้งที่ 60 ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นพ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า กลุ่มเครือข่ายองค์กรประชาสังคมระดับโลก องค์กรเครือข่ายโลกที่ 3 (Third World Network) และองค์กรเอกชนในประเทศเยอรมนี อินเดีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และบราซิล ได้ร่วมหารือกับคณะของประเทศไทย เนื่องจากมีความสนใจการทำซีแอลของประเทศไทยเป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชมและเป็นแบบอย่างของประเทศกำลังพัฒนา ในเรื่องของการจัดบริการให้ประชาชนที่เจ็บป่วยได้เข้าถึงยาที่จำเป็นเพื่อการดำรงชีวิต นอกจากนี้ ยังส่งผลให้ราคายาลดลงทั่วโลก เป็นประโยชน์ต่อประเทศอื่นด้วย


 


นอกจากนั้น รมว.สาธารณสุขของไทย ยังได้กล่าวถึง ประสบการณ์การทำซีแอล (Compulsory Licensing) ของประเทศไทย เพื่อประโยชน์สาธารณะในยา 3 ตัว ได้แก่ ยาเอฟฟาไวเรนซ์ (Efavirenz) ยาโลพินาเวียร์ (Lopinavir) + ริโทนาเวียร์ (Ritonavir) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสโรคเอดส์สูตรดื้อยาพื้นฐาน และยาโคลพิโดเกรล (Clopidogrel) ใช้ป้องกันลิ่มเลือดในผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด โดยมีวัตถุประสงค์คือให้ประชาชนเข้าถึงยาที่จำเป็นทุกคน มิได้หวังผลทางการค้า ทำให้ประเทศชาติมีงบประมาณเพียงพอที่จะสามารถเพิ่มจำนวนประชาชนผู้รับยาได้มากขึ้น


 


โดยมีบริษัท แอบบ็อต เพียงบริษัทเดียวเท่านั้น ที่ยังไม่มีข้อเสนออย่างเป็นทางการในการลดราคายา และที่ผ่านมาเสนอเพียงวาจา นอกจากนั้น ยังได้เล่าถึงการเข้าร่วมระบบการต่อรองราคายาต้านไวรัสเอดส์ ร่วมกับมูลนิธิคลินตัน ที่ส่งผลให้คนไทยได้เข้าถึงยาในราคาที่ลดลงมาก และรัฐบาลสามารถให้การดูแลผู้ติดเชื้อเอดส์ที่ยังมีชีวิตอยู่กว่าแสนคนได้ ทั้งสูตรยาปกติและสูตรดื้อยา


 


 


คมช.ผุดแนวทางดับไฟใต้มิติใหม่ พร้อมเลื่อนยศ 8 ขั้นให้รบพิเศษ 7 นายที่พลีชีพเพื่อชาติ


กรมประชาสัมพันธ์ - พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. แถลงผลการประชุม คมช.ว่า ที่ประชุมได้หารือกรณีที่ประธาน คมช.จะนำเรื่องหารือนอกรอบในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่15 พ.ค.50 โดยจะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในมิติใหม่ที่คมช.ร่วมกำหนดแนวทางและคิดว่าสามารถแก้ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ลงได้ชัดเจน


 


ทั้งนี้สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น หลายฝ่ายรับรู้ถึงความสูญเสีย ทั้งการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่และประชาชน ซึ่งคมช.ตระหนักถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้น จึงหารือถึงแนวทางที่จะเพิ่มสวัสดิการไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตหรือทุพพลภาพจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ รวมถึงการชดเชยและดูแลครอบครัวของผู้ที่ประสบความสูญเสียให้ดำเนินชีวิตอยู่ได้ โดยกองทัพบกมอบหมายให้ พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก พิจารณาให้เกิดความเหมาะสม


 


สำหรับการแก้ปัญหาภาคใต้มิติใหม่ของคมช.เป็นรูปแบบที่ไม่ง่ายและไม่ยากจนเกินไป โดยเพิ่มมาตรการทางยุทธวิธี ซึ่งผู้บัญชาการทหารบกให้แนวทางไว้ 5 ประเด็น โดยกำหนดปัจจัยเพื่อให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายขาดการเชื่อมโยงกับกลุ่มอื่นๆ และจะกำจัดเสรีการปฏิบัติของกลุ่มก่อการร้ายให้มากขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบที่จะเลื่อนยศ 8 ขั้นให้ทหารรบพิเศษ 7 นายที่เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ในภาคใต้ให้เป็นพลโท พลตรี และพันเอก โดยจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพในวันอังคารนี้ที่จังหวัดลพบุรี



 


นายกฯเผยคนร้ายยิงรถตู้สายเบตง-ยะลาสารภาพแล้ว 4 คน


เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่น - พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยความคืบหน้า การจับกุมคนร้ายที่ลอบก่อเหตุกราดยิงผู้โดยสาร บนรถตู้สายเบตง-หาดใหญ่ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 9 คน เมื่อวันที่ 13 มี.ค. เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคนร้ายได้ 24 คน โดยมีผู้ไม่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุ 14 คน จึงจะได้รับการปล่อยตัว ส่วนที่เหลืออีก 10 คนคาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ล่าสุดมีผู้รับสารภาพ 4 คน ซึ่งจะต้องถูกดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป


 


นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า จากการลงพื้นที่ภาคใต้เพื่อติดตามความคืบหน้าการปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้เข้มข้นยิ่งขึ้น


 


 


ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นกว่าพันคน ลงชื่อค้านรธน. มาตรา216


เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่น - นายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ประชุมร่วมกับอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง รองอธิบดีศาลแพ่ง รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลาง และคณะทำงานผู้พิพากษาศาลชั้นต้น เพื่อรวบรวมความเห็นและลงมติเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ ม.216 ที่ลดสัดส่วนคณะกรรมการข้าราชการตุลาการ (ก.ต.) ของศาลชั้นต้นเหลือ 2 คน จากเดิมที่มีจำนวน 4 คน ว่า คณะทำงานประชุมหารือกันแล้วมีมติร่วมกันว่าไม่เห็นด้วยที่ลดส่วน ก.ต.ศาลชั้นต้นเหลือเพียงแค่ 2 คน ศาลอุทธรณ์ 4 คน แต่ศาลฎีกามีจำนวนมากถึง 6 คน ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลด้านวินัยและการเสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรมได้


โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นมีจำนวนมากที่สุด แต่กลับถูกลดสัดส่วนลง โดยคณะทำงานจะนำรายชื่อผู้พิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ทั้งหมด ที่ใช้เวลารวบรวมมา 2 วัน ได้จำนวนทั้งสิ้น 1,267 รายชื่อ ที่ไม่เห็นด้วยกับการลดจำนวน ก.ต.ศาลชั้นต้น เพื่อเสนอให้กับ นายปัญญา ถนอมรอด ประธานศาลฎีกา นำไปพิจารณาในวันที่ 15 พฤษภาคม


 


"นอกจากนี้คณะทำงานได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะทำงานได้ประสานไปยังนายนรนิติ เศรษฐบุตร ประธานสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) นำข้อเสนอของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นทั่วประเทศไปพิจารณาแก้ไข้ร่างรัฐธรรมนูญอีกทางหนึ่งด้วย " อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ กล่าว


 


นายสืบพงษ์ กล่าวว่า สัดส่วน ก.ต. ปัจจุบันที่ให้แต่ละชั้นศาลเลือกผู้แทนไปเป็น ก.ต.ชั้นละ 4 คน เป็นระบบที่เหมาะสมกับการตรวจสอบถ่วงดุลได้ดีอยู่แล้ว หากคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญบางคน ไม่เห็นด้วยเพราะเป็นห่วงว่าจะทำให้ผู้พิพากษาต้องไปวิ่งหาเสียง ก็ควรแก้ไขเรื่องระเบียบการบริหารงานบุคคลของหน่วยงาน ไม่ใช่ไปแก้ไขที่ระบบโครงสร้าง ซึ่งการแก้ไขให้ผู้พิพากษาแต่ละศาลเลือก ก.ต.กันเองนั้น จะทำให้เกิดการบล็อกโหวต เช่น สมมติ ผู้พิพากษาศาลฎีการุ่นที่ 25 จะต้องขึ้นไปเป็นประธานศาลฎีกา แต่รุ่น 26 กลับมีมากกว่า และรวมตัวกันเลือกรุ่นของตนเองไปเป็น ก.ต. ก็จะสามารถกำหนดตัวบุคคลที่จะไปเป็นประธานศาลฎีกาได้ ซึ่งไม่ต่างกับที่ผ่านมาที่ให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงคะแนนเลือกประธานศาลฎีกา แต่ครั้งนี้จะมาในรูปแบบตัวแทน ดังนั้นสถาบันศาลจะต้องมีหลักประกันว่าผู้พิพากษาจะไม่ถูกครอบงำโดยอำนาจใด ๆ


 


ด้านนายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และโฆษกสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า สำหรับใน ม.216 เรื่องการแก้ไขสัดส่วน ก.ต.นั้น ข้อสรุปเดิมคณะทำงานรวบรวมความเห็นของผู้พิพากษาทั่วประเทศเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ ที่ประธานศาลฎีกาตั้งขึ้น พิจารณาแล้วเห็นด้วยกับระบบศาลฎีกา 6 ศาลอุทธรณ์ 4 และศาลชั้นต้น 2 แต่คณะทำงานเสนอขอให้มีการแก้ไขวิธีการเลือก ก.ต.และคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็น ก.ต.จากศาลอุทธรณ์ต้องมีอาวุโสไม่น้อย 50 อันดับแรก ซึ่งสอดคล้องกับศาลชั้นต้นที่จะมาเป็น ก.ต.ต้องมีอาวุโส 100 อันดับแรก ซึ่งในวันที่ 15 พฤษภาคม คณะทำงาน จะประชุมสรุปความเห็นในร่างรัฐธรรมนูญทุกประเด็นว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับประเด็นใดบ้างอีกครั้ง


 


 


กฟผ. อาจลดค่าไฟฟ้าเอฟทีงวดใหม่


ศูนย์ข่าวแปซิฟิค - นายไกรสีห์ กรรณสูตร ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ( กฟผ.) กล่าวว่า ค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ หรือ เอฟที งวดใหม่ (เดือน มิ.ย.- ก.ย.) มีแนวโน้มปรับลดลง แม้ว่าต้นทุนจะยังไม่ชัดเจน เพราะฝนตกเร็ว มีการใช้น้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับโรงไฟฟ้าถ่านหิน บีแอลซีพี เดินเครื่องเต็มที่ ทำให้ช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่มาจากน้ำมันที่มีต้นทุนสูงสุด ในขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติยังไม่ปรับเพิ่มขึ้นสูงนัก แม้ว่าราคาน้ำมันขณะนี้จะเพิ่มสูงขึ้นมาก เพราะราคาก๊าซตามสูตรค่าไฟฟ้าจะมีผลเปรียบเทียบกับน้ำมันย้อนหลัง 6 เดือน แต่คณะอนุกรรมการพิจารณาค่าไฟฟ้าเอฟที จะเป็นผู้ตัดสินว่าค่าเอฟทีจะปรับลดหรือไม่ เพราะยังมีภาระเรื่องต้นทุนก๊าซค้างจ่ายกับบริษัท ปตท. จำกัด มหาชน ในอดีตอีก 6,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องนำมาเฉลี่ยในค่าไฟฟ้าเพื่อใช้คืน


 


 


"นพดล" ยัน "ทักษิณ" ยังไม่กลับไทย


ไอ.เอ็น.เอ็น. - นายนพดล ปัทมะ ทนายความครอบครัวชินวัตร กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีมติส่งคดีซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ ให้อัยการดำเนินคดีว่า ทราบมาก่อนแล้วว่าคตส.จะมีมติส่งฟ้องตามมติของคณะอนุกรรมการไต่สวน จึงได้เตรียมความพร้อมของทีมทนายสู้คดีเอาไว้ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า คดีไม่เข้ามาตรา 100 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต หรือ ป.ป.ช. ที่ห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจกำกับ ดูแลทั้งนี้ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง


 


นายนพดล กล่าวอีกว่า ยังไม่ได้แจ้งเรื่องให้พ.ต.ท.ทักษิณได้รับทราบ แต่คาดว่าผู้อื่นคงแจ้งให้ทราบตามปกติแล้ว


 


 


 


เศรษฐกิจ


 


 


ฉลองภพทุบโต๊ะ "อีโคคาร์" ต้องได้ข้อสรุปภายในเดือน พ.ค.นี้


ผู้จัดการออนไลน์ - รมว.คลังเตรียมหารือกับบีโอไอเพื่อสรุปอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์อีโคคาร์โดยเร็วที่สุด ยืนยันจะต้องได้ข้อสรุปภายในเดือน พ.ค.นี้แน่นอน โดยจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอุตสาหกรรมทั้งระบบ


 


นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับค่ายรถยนต์ 12 ค่าย เกี่ยวกับการกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ประหยัดพลังงาน หรืออีโคคาร์ ระบุว่า การหารือกับค่ายรถยนต์ทั้ง 12 ค่ายในครั้งนี้ เพื่อต้องการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการอีโคคาร์ โดยบางค่ายให้ความสนใจที่จะลงทุนในโครงการอีโคคาร์ และเห็นว่าไทยสามารถพัฒนาเป็นสินค้าใหม่ที่เป็นโปรดักส์แชมเปียนของประเทศ รองจากรถยนต์ปิกอัพได้ หากเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ อย่างไรก็ตาม ก็มีบางค่ายเป็นห่วงว่ารถยนต์อีโคคาร์จะมีผลกระทบต่อตลาดทั้งรถกระบะและรถยนต์นั่ง ขณะที่ค่ายยุโรปนั้นยืนยันว่าไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด


 


นายฉลองภพ กล่าวว่า พร้อมรับฟังความคิดเห็นทุกฝ่ายโดยจะนำไปหารือกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) โดยเร็วที่สุด เพื่อให้ทันกับกำหนดเวลาที่นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ต้องการให้กระทรวงการคลังพิจารณาเรื่องภาษีสรรพสามิตให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยให้พิจารณาแนวโน้มว่าอยู่ในวิสัยที่สามารถผลักดันให้เกิดโครงการนี้ได้หรือไม่


 


อย่างไรก็ตาม โครงการอีโคคาร์คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในปีนี้ ซึ่งสอดคล้องกับตลาดรถยนต์ในปัจจุบัน แต่ต้องเป็นการเตรียมความพร้อมและต่อยอดของอุตสาหกรรมรถยนต์ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งหมายความว่าก็น่าจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งในส่วนของกระทรวงการคลังจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบด้านเพราะอัตราภาษีสรรพสามิตต้องกำหนดให้ใช้กับรถที่เข้าข่ายเป็นอีโคคาร์ทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศโดยพิจารณาว่าเมื่อกำหนดอัตราภาษีแล้วในส่วนของโครงสร้างภาษีรถยนต์จะเป็นอย่างไร ขณะเดียวกัน การนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศจะมีผลอย่างไรโดยเฉพาะในเขตอาเซียน ที่ปัจจุบันได้ปรับลดภาษีนำเข้าไปเป็นจำนวนมากแล้ว


 


นายฉลองภพ กล่าวยืนยันว่า เรื่องนี้ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้แน่นอน ส่วนจะกำหนดอัตราภาษีอย่างไรคงไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้ และจะพยายามดำเนินการให้เร็วที่สุด โดยต้องพิจารณาว่าเมื่อกำหนดอัตราภาษีให้แล้วต้องเกิดขึ้นได้ และต้องไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอุตสาหกรรมทั้งระบบ โดยต้องการให้อุตสาหกรรมยานยนต์มีอนาคตที่ดีที่สุด


 


 


จีน อนุญาต ให้ธนาคารพาณิชย์ ลงทุนในตลาดหุ้นต่างชาติได้เป็นครั้งแรก


ศูนย์ข่าวแปซิฟิค - คณะกรรมาธิการกำกับดูแลกิจการธนาคารจีน เปิดเผยว่า ทางการจีนได้ผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มทางการเงินกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในประเทศ โดยอนุญาตให้ธนาคารต่างๆ สามารถนำเม็ดเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างชาติได้เป็นครั้งแรก คณะกรรมาธิการฯ กล่าวในแถลงการณ์ที่ระบุผ่านทางเว็บไซต์ของหน่วยงานว่า ธนาคารพาณิชย์จีนสามารถลงทุนในหน่วยกองทุนของนักลงทุนสถาบันของจีนที่มีคุณภาพ เพื่อซื้อหุ้นในต่างประเทศได้ถึงร้อยละ 50 แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 5 ของสินทรัพย์สุทธิของกองทุนแต่ละหน่วยที่ได้รับอนุญาตให้มีการลงทุนในหุ้น นอกจากนี้ ธนาคารแต่ละแห่งจำเป็นต้องมีกระแสเงินสำรองต่างประเทศอย่างน้อย 300,000 หยวน เพื่อเข้าซื้อกองทุนดังกล่าว


 


นักวิเคราะห์กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลจีน สามารถควบคุมการขยายตัวของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีน ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้น 1 ล้าน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จนส่งผลให้เกิดสภาพคล่องมากเกินไป และทำให้มีนักลงทุนหลั่งไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นจีนเป็นจำนวนมาก


 


อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ระบุว่า รัฐบาลยังคงห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการลงทุนในธุรกิจบางประเภท เช่น ตราสารอนุพันธ์สินค้าโภคภัณฑ์ กองทุนบริหารความเสี่ยง และบริษัทหลักทรัพย์ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าระดับ BBB


 


 


พาณิชย์แจงลาวและพม่าเตรียมลดภาษีภายใต้กรอบอาฟต้าปีหน้า


ผู้จัดการออนไลน์ - อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศระบุลาวและพม่าเตรียมลดภาษีภายใต้กรอบเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟต้า) โดยคาดว่าทั้ง 2 ประเทศจะสามารถลดภาษีได้อย่างสมบูรณ์ภายในปี 2551


 


น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการที่อาเซียนตกลงที่จะเร่งรัดการลดภาษีในเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟต้า) โดยกำหนดให้ประเทศสมาชิกเดิม 6 ประเทศ คือ บรูไนดารุสซาลาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ลดภาษีสินค้าในบัญชี Inclusion List ให้เหลือร้อยละ 0-5 ภายในวันที่ 1 มกราคม 2546 และจะลดให้เป็นร้อยละ 0 ภายในปี 2553 ส่วนประเทศสมาชิกใหม่จะพยายามลดภาษีลงเหลือร้อยละ 0-5 ให้มากที่สุด โดยกำหนดให้เวียดนามในปี 2549 ลาวและพม่าในปี 2551 สำหรับกัมพูชาในปี 2553 ซึ่งขณะนี้ลาวในฐานะประเทศสมาชิกใหม่ลำดับที่ 8 ของอาเซียน กำลังดำเนินการเตรียมความพร้อม เพื่อเข้าร่วมอาฟต้าอย่างเต็มรูปแบบในปี 2551 โดยเฉพาะการปรับลดอัตราภาษีให้อยู่ระหว่างร้อยละ 0-5 ซึ่งรัฐบาลกำลังพิจารณาลดภาษีอัตราสินค้าขาเข้าประเภทที่มีธาตุแอลกอฮอล์ จำนวน 28 รายการ ให้เหลือร้อยละ 0-5 จำนวน 3,402 รายการ เพื่อให้เป็นไปตามสนธิสัญญาการลดอัตราภาษีของประเทศสมาชิกอาเซียน


 


อย่างไรก็ตาม สินค้ายานพาหนะ สินค้าทางด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่ง ยังคงไม่ได้ลดภาษี เนื่องจากเป็นสินค้าที่อ่อนไหว ส่วนสินค้าที่สงวนไว้อย่างถาวรนั้น เป็นสินค้าที่อาจมีผลกระทบต่อความสงบของชาติ เช่น ยาเสพติดและส่วนผสมยาเสพติด คาดว่าในปี 2551 ลาวและพม่าจะสามารถลดภาษีได้อย่างสมบูรณ์ สำหรับกัมพูชาจะสามารถลดได้ในปี 2553


 


 


พาณิชย์จัดธงฟ้าขายกุ้งแก้ปัญหาราคาตก


เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่น - นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ อิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังการประชุมรื่องแนวทางแก้ไขปัญหาราคากุ้ง ร่วมกับ สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งไทย สมาคมภัตราคารไทย สมาคมโรงแรม ห้างสรรพสินค้า และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ว่า ที่ประชุมมีมติช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งที่ประสบปัญหาราคากุ้งตกต่ำ จากอากาศที่ร้อนจัดทำให้กุ้งที่เลี้ยงอยู่โตช้าและมีขนาดเล็กลง ไม่สามารถส่งออกได้ โดยการช่วยเหลือเบื้องต้นได้แก่ การช่วยเชื่อมโยงตลาดเพื่อนำกุ้งไปจำหน่ายโดยตรงกับผู้บริโภคและเป็นการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร และการจัดโครงการธงฟ้าเพื่อจำหน่ายกุ้ง ในวันที่18-20พฤษภาคม นี้


 


นอกจากนี้ ได้ให้สมาคมโรงแรมและภัตตาคารช่วยเหลือโดยการนำกุ้งไปเป็นเมนูอาหารให้มากขึ้น และขอความร่วมมือกับหน่วยงานที่จะมีการจัดสัมนาต่างๆนำกุ้งไปเป็นเมนูในการจัดเลี้ยง รวมทั้งหารือกับห้างสรรพสินค้าให้นำกุ้งสดจากฟาร์มไปจำหน่ายโดยไม่คิดค่าธรรมเนียมในการวางจำหน่ายสินค้าซึ่งเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรได้


 


"จากปริมาณผลผลิตกุ้งขาวในปีนี้ น่าจะอยูที่ 5.3-5.5 แสนตันซึ่งใกล้เคียงกับผลผลิตปีที่แล้วแต่ราคาปรับลดลงเหลือกิโลกรัมละ 70- 80 บาทจากปีก่อนที่ราคาอยู่ที่100-120 บาทต่อกิโลกรัม (90-100 ตัวต่อกิโลกรัม) ซึ่งจากปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นรวมทั้งขนาดกุ้งที่เล็กลงทำให้กุ้งล้นตลาดภายในประเทศทำให้ราคาลดลง จึงจำเป็นต้องหาทางช่วยเหลือไม่ให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนมากกว่านี้"นายศิริพล กล่าว


 


 


 


ต่างประเทศ


 


 


กลาโหมสหรัฐฯสั่งบล็อค"ยูทิวบ์"ปกป้องข้อมูล


ผู้จัดการออนไลน์ - นายทหารสหรัฐฯที่ประจำการอยู่ต่างแดน จะหมดสิทธิ์ติดต่อทางออนไลน์กับเพื่อนและคนรัก ภายใต้นโยบายด้านความมั่งคงของกระทรวงกลาโหมที่เตรียมบล็อคเว็บไซต์ดัง โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. เป็นต้นไป


 


พลเอก บีบี.เบลล์ ผู้บัญชาการทหารสหรัฐฯในคาบสมุทรเกาหลี เปิดเผยว่ากระทรวงกลาโหมจะบล็อคการใช้เว็บไซต์อย่างยูทิวบ์ มายสเปซค และเว็บไซต์ยอดนิยมอีก 11 เว็บ บนคอมพิวเตอร์และเครือข่ายของกระทรวงกลาโหม


 


การออกนโยบายดังกล่าวออกมาเป็นเครื่องมือในการปกป้องข้อมูลข่าวสารและลดทอนเครือข่ายของกระทรวงกลาโหมให้น้อยลง ซึ่งเป็นหนึ่งในปฏิบัติการด้านความมั่นคง


 


กลาโหมจำกัดการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่อาจเสี่ยงอันตรายอยู่ก่อนแล้ว แต่สำหรับนโยบายใหม่นี้การสั่งแบนจะครอบคลุมไปยังหลายเว็บไซต์ที่นายทหารใช้แลกเปลี่ยนข่าวสาร รูปและออดิโอ กับครอบครัวและเพื่อนๆ ด้วย


 


อย่างไรก็ตามเว็บไซต์ทั้ง 11 เว็บ จะถูกจำกัดเฉพาะนายทหารที่ประจำการในพื้นที่อิรักและอัฟกานิสถานเท่านั้น ขณะที่เจ้าหน้าที่ทั่วไปยังสามารถเข้าไปใช้บริการได้ตามปกติ


 


กลุ่มก่อการร้ายและผู้สนับสนุน มักโพสต์วิดีโอลงบนเว็บไซต์ยูทิวบ์ ในปฏิบัติการของตนเองรวมทั้งคำขู่ต่างๆ ขณะที่ทหารสหรัฐฯ เริ่มจะมีการโพสต์วิดีโอปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายและความเป็นเพื่อนกับชาวอิรัก แต่ด้วยกฎใหม่ที่ออกมากำลังพลจำนวนมากจะไม่มีโอกาสดูเหตุการณ์เหล่านั้นผ่านทางคอมพิวเตอร์ของทหารอีกต่อไป


 


กระนั้นก็ดีนโยบายใหม่นี้ถูกวิจารณ์ว่าแม้จะมีเจตนาปกป้องนายทหารจากการได้รับข่าวสารร้ายๆ แต่อีกด้านหนึ่งกลับเป็นการกีดกันพวกเขาจากข่าวดีในสนามรบเช่นกัน


 


 


หามอดีตนายกฯ มหาเธร์ส่งห้องไอซียูโรงพยาบาลลังกาวี


เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่น - นายม็อคห์ซานี มหาเธร์ บุตรชายของอดีตนายกรัฐมนตรีมหาเธร์ โมฮัมหมัด ของมาเลเซีย เปิดเผยว่า บิดาได้ถูกนำตัวเข้าห้องไอซียู ของโรงพยาบาลลังกาวี หลังเกิดอาการหายใจขัด ด้านหนังสือพิมพ์ เดอะสตาร์ รายงานข่าวด่วนว่า อดีตผู้นำมาเลเซียวัย 81 ปี ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเมื่อเวลา 16.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือราว 15.00 น. ตามเวลาในไทย และอาการอยู่ในขั้นทรงตัว


 


มหาเธร์ เคยป่วยด้วยอาการเส้นเลือดอุดตันมาแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว แต่ไม่รุนแรงและยังเคยป่วยด้วยโรคหัวใจ เมื่อปี 2532 และต้องเข้ารับการผ่าตัดบายพาสส์ เขาอำลาตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนตุลาคม 2546 หลังจากอยู่ในตำแหน่งมานาน 22 ปี และส่งมอบอำนาจต่อให้นายกรัฐมนตรีอับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี ที่ต่อมาถูกเขาวิพากษ์วิจารณ์ว่า คอรัปชั่นและเกื้อกูลคนใกล้ชิด รายงานระบุว่า นายอับดุลลาห์ ได้พานายลี เซียง ลุง นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ เดินทางไปลังกาวี ที่นายมหาเธร์นอนป่วยอยู่ในวันนี้ เพื่อหารือกันเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ


 


 


บราวน์ ยืนยัน ยังไม่ถอนทหารอังกฤษออกจากอิรักในทันที


ศูนย์ข่าวแปซิฟิค - นายกอร์ดอน บราวน์ รัฐมนตรีคลังของอังกฤษ ที่คาดว่าจะก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนต่อไป แสดงความไม่เห็นด้วยที่จะให้ถอนทหารอังกฤษออกจากอิรักโดยทันที และยืนยันว่า จะยังไม่ถอนทหารอังกฤษออกจากอิรักในทันที พร้อมทั้งระบุว่า จำนวนทหารอังกฤษในอิรัก ลดลงเป็นจำนวนมากแล้ว แต่อังกฤษ ยังมีพันธกรณีต่อประชาชนชาวอิรัก และแม้จะมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องนี้ แต่ช่วงเวลานี้ถือว่ายังไม่เหมาะสมที่จะให้ทหารอังกฤษกลับบ้านในทันที


 


นายบราวน์ โต้วาทีสดต่อผู้ชมในกรุงลอนดอน เป็นเวลา 80 นาที กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายซ้าย 2 คน คือ นายไมเคิล มีเชอร์ และนายจอห์น แม็คดอนเนลล์ มีความเห็นด้านนโยบายทั้งในประเทศและต่างประเทศ แตกต่างกับทั้งนายมีเชอร์ และนายแม็คดอนเนลล์ ที่คาดว่าจะเข้ามาแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ กับนายบราวน์


 


ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์ ประกาศว่า จะลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 27 มิ.ย. หลังจากครองตำแหน่งมานาน 10 ปี ทำให้ตำแหน่งผู้นำพรรคแรงงานว่างขึ้น แต่มีเพียงนายบราวน์ ที่น่าจะได้เสียงสนับสนุนมากพอที่จะได้ดำรงตำแหน่งแทนนายแบลร์ นายมีเชอร์ วัย 67 ปี และนายแม็คดอนเนลล์ วัย 55 ปี เป็นสมาชิกพรรคแรงงานเพียง 2 คน ที่เสนอตัวลงชิงตำแหน่งด้วย แต่ทั้งสองจะตัดสินใจในวันนี้ว่าใครมีโอกาสมากกว่าที่จะได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 45 คน ตามที่กำหนดไว้ในการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ส่วนอีกคนจะต้องสละสิทธิไป ด้านนายบราวน์ วัย 56 ปี ยังคงยึดมั่นในนโยบายปฏิรูป "นิวเลเบอร์" ที่ทำให้นายแบลร์ ชนะการเลือกตั้งมาแล้ว 3 ครั้ง และพยายามชี้ว่า คู่แข่งของเขาพยายามจะนำพรรคแรงงานกลับไปสู่ยุคเก่าที่ทำให้พรรคตกต่ำในยุคทศวรรษหลังปี 1980


 


 


กบฎอัฟกันที่ต่อต้านสหรัฐฯ ระบุ บิน ลาดิน ยังมีชีวิตอยู่ แต่เก็บตัวเงียบ


ศูนย์ข่าวแปซิฟิค - ผู้นำกบฏอัฟกานิสถานที่ต่อต้านสหรัฐฯ เปิดเผยในวิดีโอเทป ที่นำออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์อัลอาราบิยาว่า เขาได้รับข้อมูลว่า นายอุซามะห์ บิน ลาดิน ผู้นำกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ยังมีชีวิตอยู่ แต่เก็บตัวเงียบโดยไม่ออกแถลงการณ์ใดๆ


 


นายกุลบุดดิน เฮกมัตยาร์ ซึ่งมีกองกำลังปฏิบัติงานอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของอัฟกานิสถาน ใกล้กับปากีสถาน กล่าวในวิดีโอที่ไม่ได้ระบุวันว่า จากข้อมูลที่ได้รับนั้น เชื่อว่า นายบิน ลาดิน ผู้ต้องหาที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในโลกยังมีชีวิตอยู่ และยังเชื่อว่าเป็นเรื่องดีที่นายบิน ลาดิน ไม่ปรากฏตัวต่อสื่อมวลชน และเป็นเรื่องฉลาดที่เขาไม่ออกแถลงการณ์ หรือไม่เผยแพร่วิดีโอเทปแถลงการณ์ แม้จะไม่ได้ทำอย่างนี้มาระยะหนึ่งแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เปิดเผยว่า เหตุใดเขาจึงเชื่อว่าการที่นายบิน ลาดิน เก็บตัวเงียบอย่างนี้เป็นเรื่องที่ดี


 


นายเฮกมัตยาร์ อดีตนายกรัฐมนตรีของอัฟกานิสถาน อยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ที่ทางการสหรัฐฯต้องการตัว เขาเป็นผู้นำกลุ่มกบฏที่แยกตัวออกมาจากกลุ่มตอลิบาน ที่ต่อต้านรัฐบาลอัฟกานิสถาน และกองกำลังต่างชาติที่นำโดยสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศภาคีสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต


 


 


 


สิ่งแวดล้อม


 


 


เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหามลพิษที่จ.ระยอง


กรมประชาสัมพันธ์ - เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก เรียกร้องรัฐบาลแก้ไขปัญหามลพิษที่จังหวัดระยองอย่างจริงจัง พร้อมแสดงจุดยืน ให้รัฐบาลหยุดขยายโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เตรียมเดินหน้าฟ้องร้องกรณีทำให้คนระยองต้องมีปัญหาสุขภาพ


 


เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก นำโดยนายสุทธิ อัชฌาศัย ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก ออกแถลงการณ์กรณีรัฐบาลไม่ใส่ใจแก้ไขปัญหามลพิษที่จังหวัดระยอง พร้อมกล่าวว่า เจตนารมณ์ของเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกในการออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องต่อปัญหาที่เกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุด และจังหวัดระยอง ก็เพื่อให้เกิดการปฎิรูประบบการพัฒนาอุตสาหกรรมแนวใหม่ในประเทศไทย ที่พัฒนาอุตสาหกรรมสะอาดและรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ รวมถึงคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนในพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่อย่างเป็นระบบ และมีดุลยภาพเท่าเทียมกันในการเข้าถึงซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ ความปลอดภัยต่อสุขภาพ จากมลพิษที่เกิดขึ้นจากโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้การพัฒนาด้านอุตสาหกรรมเป็นตัวอย่างที่ดีทางเศรษฐกิจ สังคมและความสุขโดยรวมของประชาชน รวมถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง ซึ่งหมายถึงภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ พนักงาน และประชาชนต้องมีความเข้าใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงต่อปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อจะได้หาวิธีการแก้ไขปัญหาที่ตรงกับสภาพความเป็นจริง


 


แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งยังมีการอนุมัติขยายโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มในพื้นที่จ.ระยองอีก 18 โรงงาน อ้างเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกจึงไม่มั่นใจว่าผู้เกี่ยวข้องจะแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง จึงมีการกำหนดมาตรการเคลื่อนไหวต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ตรงกับสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันดังนี้ เตรียมรณรงค์ครั้งใหญ่ในจ.ระยองวันที่ 5 มิถุนายน ซึ่งเป็น วันสิ่งแวดล้อมโลก , ชุมนุมวันที่ 18 พ.ค. 50 เพื่อบอกให้คนกทม.รับทราบปัญหาของชาวระยอง, ฟ้องร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งทางปกครอง แพ่ง และทางอาญา ยื่นเรื่องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ปลดนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.อุตสาหกรรม



 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net