Skip to main content
sharethis

ประชาไท -- 25 พ.ค. 50 ตามที่มีการแถลงการณ์ของนักวิชาการหลายสถาบัน เรื่อง "ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับทำลายการปฏิรูปการเมือง" ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในหลายภูมิภาคทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 50 นั้น


 


โดยประกาศไม่รับรองร่างรัฐธรรมนูญโดยการลงประชามติไม่รับรัฐธรรมนูญ และเรียกร้องให้นำเอารัฐธรรมนูญปี 2540 กลับมาใช้ใหม่ โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมเพียงสองประเด็นคือ ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญภายใน 60 วัน และรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งต้องจัดให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยอาศัยกระบวนการที่นักการเมืองไม่มีอำนาจเข้ามากำกับควบคุมการแก้ไข แต่ให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ร. เพื่อการร่างรัฐธรรมนูญ นั้น (คลิกที่นี่เพื่ออ่านแถลงการณ์)


 


โดยในท้ายแถลงการณ์ นักวิชาการกลุ่มนี้ยังเชิญชวนประชาชนร่วมมือกันรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ในการลงประชามติ เพื่อผลักดันให้นำเอา "รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน" กลับมาแก้ไขปรับปรุง ด้วยกระบวนการประชาธิปไตยในภายหน้า โดยการใช้สีเขียวตองอ่อนเป็นสัญลักษณ์ร่วมกัน โดยอาจติดแถบริบบิ้นสีเขียวตองอ่อนที่พาหนะ เครื่องแต่งกาย ใช้แถบข้อมือสีเขียวตองอ่อน ติดธงเขียวตองอ่อน หรือวิธีอื่นใดที่อาจคิดขึ้นเพื่อแสดงถึงสัญลักษณ์ร่วมกันดังกล่าว ทั้งนี้นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะได้รัฐธรรมนูญปี 2540 กลับคืนมา พร้อมทั้งกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตย


 


สำหรับบรรยากาศการแถลงข่าวนั้น ที่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน จ.เชียงใหม่ ประกอบไปด้วยนักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนหลายสิบคน นำโดย ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ และมี รศ.ดร.สมเกียรติ ตั้งนโม เป็นผู้อ่านแถลงการณ์ ในเวลา 10.00 น. ของวันที่ 23 พ.ค. ตามที่ได้นัดหมายกันทั่วประเทศ


 



 



แถวหน้าจากซ้ายไปขวา นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชัชวาล ปุญปัน และสมเกียรติ ตั้งนโม



 


นิธิยันคว่ำ รธน. 50 ไม่ทำให้เลือกตั้งช้า


โดยหลังอาจารย์สมเกียรติ อ่านแถลงการณ์จบ อาจารย์นิธิ ชี้แจงกรณีที่การเรียกร้องให้ลงประชามติ "ไม่รับ" ร่างรัฐธรรมนูญว่าอาจทำให้คนไทยบางกลุ่มวิตกว่าการเลือกตั้งจะล่าช้าลงนั้น แต่ถ้าเรากลับไปดูในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2549 ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า ถ้ามีการลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแล้ว คมช.มีหน้าที่สรรหารัฐธรรมนูญ จะแก้ไขหรือไม่ก็แล้วแต่ และประกาศใช้ แล้วจัดการเลือกตั้งหลังประกาศใช้ 30 วัน ก็แปลว่า สมมติดำเนินการเลือกตั้งอย่างช้าที่สุดตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2549 ก็จะช้าไป 1 เดือน ในทางตรงกันข้าม ถ้าดำเนินการอย่างรวดเร็ว ก็อาจมีการเลือกตั้งก่อนหน้านั้นก็ได้


 


ปัญหาที่ตามมาทันทีคือ ทำไมรัฐธรรมนูญฉบับที่คมช.เป็นผู้เลือก จะดีกว่า? เราไม่ได้คิดว่ารัฐธรรมนูญที่ คมช. เป็นผู้เลือกจะดีกว่า เลวกว่า เราไม่ทราบ เพราะเขายังไม่ได้เลือก แต่คิดว่าถ้าเราลงประชามติร่วมกัน คว่ำรัฐธรรมนูญฉบับที่ร่างขึ้นมาในตอนนี้ มันเกิดเป็นหน้าที่ของชาวไทยทุกคนที่มีความเห็นพ้องต้องกันในเรื่องนี้ ที่จะเคลื่อนไหวกดดันให้ คมช. เลือกรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีที่สุดสำหรับพวกเรา คือรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมก็ไม่มากไปกว่าการจัดให้เกิดกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยเท่านั้น อาจารย์นิธิกล่าว


 


 


ไม่มีนักวิชาการใต้ร่วมแถลง ขอสื่อแก้ข่าว


อาจารย์นิธิกล่าวต่อไปว่า เพราะฉะนั้น ความห่วงใยเรื่องจะทำให้การเลือกตั้งช้าลง จริงๆ แล้วมันจะไม่ช้าลง หรือถ้าช้าลง ก็จะไม่เกิน 1 เดือน ยังไงๆ ก็ต้องมีการเลือกตั้ง ถึงเราคว่ำรัฐธรรมนูญฉบับนี้โดยประชามติก็ตาม และถ้าเราคว่ำรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ ก็แปลว่าเรามีพลังพอที่จะกดดันให้ได้รัฐธรรมนูญฉบับที่เราต้องการกลับคืนมา โดยมีกระบวนการแก้ไขที่เราสามารถกำกับควบคุมได้ ไม่ใช่เลือกเทวดาจำนวนหนึ่งมาร่างรัฐธรรมนูญให้เรา


 


ประเด็นต่อมาคือ ถ้าท่านดูรายชื่อข้างหลังจะเห็นได้ว่าไม่มีนักวิชาการจากภาคใต้เลย คือเราไม่ประสบความสำเร็จในการเชิญชวนนักวิชาการในภาคใต้ให้ร่วมลงนามกับเรา ฉะนั้น ที่มีข่าวในแหล่งข่าวบางแห่งว่าจะมีการแถลงข่าวพร้อมกันในภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จริงๆ แล้วจะไม่มีการแถลงอะไรในภาคใต้เลย เพราะว่าเราไม่สามารถหานักวิชาการมาร่วมแถลงข่าวกับเราได้ แหล่งข่าวบางแห่งก็ออกชื่อนักวิชาการเลยว่าเป็นใคร ซึ่งไม่จริง ขอให้ช่วยแก้ข่าวตรงนี้ด้วย ไม่เช่นนั้นอาจารย์ท่านนั้นจะได้รับความเสียหาย จากการที่สื่อบางแห่งไประบุชื่อ


 


 


ไม่เอา รธน.50 แต่ไม่สู้ทหารบนท้องถนน ขอหาจุดเริ่มต้นสันติมาปฏิรูปการเมืองร่วมกัน


จากนั้นมีการเปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวซักถาม อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ อธิบายถึงเหตุที่ไม่รับรัฐธรรมนูญปี 2550 ว่า เพราะไม่เห็นด้วยกับ "กระบวนการ" ด้วยกระบวนการมันผิดมาแต่ต้น ที่ทำรัฐประหารแล้วเขียนรัฐธรรมนูญ


 


"แต่ถึงที่สุดแล้ว ถามว่าเราจะแก้ปัญหาเรื่องกระบวนการอย่างไร คำตอบที่ตัวผม ซึ่งอาจไม่เกี่ยวกับคนอื่นในที่นี้ ก็คือไม่รู้จะแก้อย่างไร นอกจากออกไปท้องถนนไปต่อสู้กับกลุ่มทหารที่ "ทำการรัฐประหาร ท่ามกลางความเห็นชอบของคนกรุงเทพฯ อย่างท่วมท้น" ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้"


 


ฉะนั้น เราก็อยากจะมองหาจุดเริ่มต้นที่มันเป็นไปได้สำหรับประเทศของเรา จะหาจุดเริ่มต้นตรงไหน ในความเห็นของพวกเราคือ หาจุดเริ่มต้นอันหนึ่งที่มันไม่เกิดความรุนแรงด้วย ก็คือการนำเอารัฐธรรมนูญปี 2540 กลับมาใหม่ เพื่อก่อให้เกิดกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมายขึ้นมา ฉะนั้นในแลงการณ์ฉบับนี้ ค่อนข้างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับกระบวนการ ขณะเดียวกันก็ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของตัวร่างรัฐธรรมนูญ ตัวเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย ไปพร้อมๆ กัน


 


 


หวังสังคมชี้ข้อบกพร่อง รธน. แทนที่เทวดา


มีผู้ถามว่า ทำไมมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจึงไม่ระบุจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญที่จะต้องแก้ อาจารย์นิธิกล่าวว่ามหาวิทยาลัยเที่ยงคืนคงชี้ไม่ได้ แต่อยากให้มีกระบวนการที่สังคมสามารถช่วยกันชี้ข้อบกพร่อง ซึ่งคิดว่ากระบวนการนั้นน่าจะมาจากการที่มีการเลือกตั้ง ส.ส.ร. (สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ) อย่างที่เคยทำกันมา จะโดยวิธีใดก็แล้วแต่ แต่ทำให้สภาร่างรัฐธรรมนูญเป็นตัวแทนของคนหลากหลายกลุ่มในสังคม มากกว่าเราชี้ว่าแก้ตรงนั้นแก้ตรงนี้ เพราะฉะนั้นมันผิดหลักการมาตั้งต้นที่คุณคิดว่าจะให้มีเทวดาที่ชี้ได้ เพราะฉะนั้น เราก็ไม่อยากเป็นคนชี้


 


มีผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่เคลื่อนไหวให้ติดริบบิ้นสี ถ้าไม่มีคนมีส่วนร่วมเลย จะเปลี่ยนรูปแบบหรือวิธีการหรือไม่ อาจารย์นิธิกล่าวว่า "ถ้าคนไม่มีส่วนร่วม หรือไม่ยอมติดริบบิ้นเลย ผมว่ามันเป็นสัญลักษณ์ที่ง่ายที่สุดแล้ว ถ้าเขาไม่ติดริบบิ้นเลย คุณจะไปแก้อะไร แก้ผ้ากันหมดไหม? มันก็ยากขึ้นไปใหญ่ไหม ถ้าง่ายที่สุดแล้วเขายังไม่ทำตาม ก็แสดงว่าเขาไม่เห็นด้วยกับเรา เราเคลื่อนไหวไม่ใช่แปลว่าทุกคนต้องทำตาม เรามีความคิดอย่างนี้ เสนอแก่สังคมอย่างนี้ ถ้าสังคมเห็นด้วยกับเราก็ต้องช่วยกัน เฉพาะนักวิชาการ 76 คนคงเปลี่ยนสังคมไทยไม่ได้ ถ้าสังคมไทยเองไม่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเองด้วย"


 


 


"สมเกียรติ" เสนอจุดประนีประนอมใช้ "คูหาลงประชามติ" เชื่อมต่อประชาธิปไตย


อาจารย์สมเกียรติ ตั้งนโม นักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กล่าวว่า ช่วง 7-8 เดือนหลังการรัฐประหารที่ผ่านมา สังคมไทยเริ่มมองเห็นแล้วว่า การรัฐประหารไม่ได้เป็นคำตอบในการแก้ปัญหาทางการเมือง


 


โดยอาจารย์สมเกียรติ ตั้งนโม เรียกสภาพหลังรัฐประหาร 19 กันยา จนถึงก่อนเลือกตั้งว่า "สภาพสุญญากาศทางการเมือง" คือ มีผู้บริหารที่ผิดกฎหมาย ซึ่งผิดกฎหมายทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ มีการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง มีคนที่ผิดกฎหมายกำลังปกครอง ในสภาพบรรยากาศแบบนี้ การจะเริ่มต้น จำเป็นต้องมีจุดตั้งต้น ไม่ใช่ว่าปล่อยให้มีความขัดแย้งและปะทะในอนาคต ฉะนั้นจุดที่ประนีประนอมที่สุดในสภาพสุญญากาศนี้ คือ "คูหาลงประชามติ" ที่เราพอยอมรับได้ในการเชื่อมต่อระหว่างจุดสุญญากาศกับความมีประชาธิปไตยคือคูหาเลือกตั้ง


 


 


รัฐประหารทำให้ปฏิรูปการเมืองชะงัก ชี้ รธน.50 เป็นฉบับ "เวทีสนามหลวง"


มีผู้สื่อข่าวถามว่าตามที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ (14 พ.ค. 50) ว่านักวิชาการที่ออกมาคัดค้านรัฐธรรมนูญมีอคติ และแนะนำให้เสนอแก้ตามมาตราที่มีปัญหา อาจารย์สมเกียรติ ตั้งนโมตอบว่า ขอถามกลับคุณประสงค์ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับ "เวทีสนามหลวง" หรือเปล่า เพราะคนที่เป็นประธานในการร่างรัฐธรรมนูญ อยู่บนเวทีสนามหลวงหลายเดือนติดต่อกัน


 


อาจารย์สมเกียรติยังกล่าวว่า กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญทั้งหมดมาจากการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน ซึ่งวันที่ 28 กันยายน 2549 มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้ฉีกรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับ 4 คนไปแล้ว เพราะกระบวนการไม่ชอบธรรม แต่เราไม่อาจนำเรื่องกระบวนการนี้ขึ้นมานำเสนอได้โดยที่ไม่มีเหตุผล หลังจากได้พินิจพิจารณาเหมือนกับพี่น้องชาวไทยทุกคน โดยให้โอกาส ส.ส.ร.ชุดนี้ หรือ 35 อรหันต์ร่างรัฐธรรมนูญมาให้เราดูแล้ว ผลสรุปว่า นี่คือผลผลิตของสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกระบวนการนั่นเอง


 


ต่อคำถามของผู้สื่อข่าวที่ว่า การที่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเสนอใช้ รธน.ปี 2540 นั้น มองไม่เห็นข้อบกพร่องของ รธน.ปี 2540 ตามที่หลายฝ่ายออกมาวิจารณ์หรือ อาจารย์สมเกียรติกล่าวว่า ในแถลงการณ์ระบุชัดว่า รัฐธรรมนูญ 2540 มีข้อบกพร่อง ขณะเดียวกันก็มีกลไกที่ประชาชนคาดหวังจะให้ปฏิรูปการเมือง แต่ก็เกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน


 


ฉะนั้นสิ่งที่แถลงการณ์เสนอ คือ ทำให้กลไกและกระบวนการนี้เดินหน้าต่อไป คือหลังจากเลือกตั้งขึ้นมาแล้ว ส.ส. หรือนักการเมืองทั้งหมดห้ามยุ่งเกี่ยวหรือเข้ามาควบคุม แก้ไข หรือเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูปรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ต้องเป็นไปตามกลไกเลือกตั้ง ส.ส.ร. อีกชุดหนึ่งที่มาจากประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เข้ามาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และแก้ไข


 


 


ชี้ข้อต่างจากกลุ่มไม่เอารัฐธรรมนูญปี 2550 อื่น


อาจารย์สมเกียรติตอบคำถามว่าการณรงค์ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนแตกต่างจากกลุ่มที่ไม่เอารัฐธรรมนูญปี 2550 ทั้งกลุ่มที่ไม่เอารัฐประหาร และกลุ่มนิยมทักษิณอย่างไร โดยอาจารย์สมเกียรติตอบว่าในบรรดากลุ่มที่ไม่เอารัฐประหารแต่ละกลุ่ม มีเหตุคนละชนิดกับเรา แต่มีผลคล้ายกับเรา


 


กรณีกลุ่มทักษิณเชิดชูผู้นำ ซึ่งตรงข้ามกับความคิดของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน และบุคคลที่เซ็นชื่อในแถลงการณ์นี้ เพราะเราเชื่อมั่นในพลังประชาชนไม่ใช่ผู้นำ


 


ส่วนกลุ่มไม่เอารัฐประหารต่างๆ ล้วนคิดว่ากระบวนการผิดตั้งแต่ต้น จึงไม่เอาอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น พอกระบวนการผิด คุณไม่ต้องพูดอะไรต่อ โดยอาจารย์สมเกียรติเห็นว่า การทำแบบนี้ เป็นจุดที่สังคมไทยรับไม่ได้ และพิสูจน์เห็นชัดว่า การเคลื่อนไหวของหลายกลุ่มในหลายเดือนที่ผ่านมา ผลักดันทางการเมืองได้ค่อนข้างน้อยพอสมควร


 


 


ชู "ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ"


เขากล่าวว่า การเคลื่อนไหววันนี้อาจไม่ได้เล็งผลเลิศ แต่เชื่อในหลักประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ "เราเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ เราเป็นส่วนหนึ่งที่จะเสนอเสียงของเรา ท่ามกลางสังคมที่มันวิกฤตและสุญญากาศตอนนี้"


 


ซึ่งถึงตรงนี้มีผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์มติชนถามว่านักวิชาการกลุ่มนี้ถ้านายกรัฐมนตรีเชิญไปปรึกษาหารือจะไปไหม อาจารย์สมเกียรติตอบว่า การปรึกษาหารือ ต้องหมายถึงมาจากทุกส่วน ถ้าเอาเฉพาะ 75 คน (นักวิชาการที่ลงชื่อในแถลงการณ์) ก็จะเป็นกลุ่มขุนนางเหมือนเดิม และสิ่งนี้ไม่ใช่ความคิดเรา เราแค่ต้องการประชาธิปไตยแบบที่ทุกคนมีส่วนร่วม


 


 


ชี้แค่ "หมายจับทักษิณ" เรียก รธน.ไม่ได้!


"ขอถามว่าร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 มีคำว่าสหภาพแรงงานอยู่กี่ครั้งใน 299 มาตรา มีคำว่าผู้หญิงอยู่กี่ครั้ง มีคำว่าเด็กอยู่กี่ครั้ง มีคนชายขอบอยู่กี่ครั้ง ทั้งหมดมีแต่คำว่า นักการเมือง ส.ส. ส.ว. นายกฯ ล้วนแล้วแต่เพ่งเล็งไปที่ ผมคิดว่ารัฐธรรมนูญฉบับเวทีสนามหลวงนี้ เรียกรัฐธรรมนูญไม่ได้ แต่น่าจะเรียกว่าหมายจับทักษิณในความหมายอย่างกว้าง" อาจารย์สมเกียรติกล่าวในที่สุด


 


ซึ่งสอดคล้องกับอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่ได้กล่าวว่า "กระบวนการปฏิรูปการเมืองไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวบุคคล ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามแต่ แต่ต้องเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของสังคมทั้งหมด นี่คือสิ่งที่เรามุ่งหวัง เพราะฉะนั้นเราไม่สนใจว่านายกฯ จะทำอะไร ตัวประธาน คมช. จะทำอะไร เราไม่สนใจ แต่ตัวสังคมไทยต่างหากต้องลุกขึ้นมาช่วยตัวเอง"


 



 



การแถลงข่าวที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจากซ้ายไปขวา ประภาส ปิ่นตบแต่ง, นฤมล ทับจุมพล และเกษียร เตชะพีระ สำหรับประภาส ปิ่นตบแต่ง ได้ถือโอกาสนี้ประชาสัมพันธ์การเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ของสมัชชาคนจนด้วย


 


นฤมล-เกษียร อ่านแถลงไม่เอา รธน.50 กรุงเทพฯ ระบุเพิ่งออกมาเพราะได้จังหวะ


ขณะเดียวกัน ที่กรุงเทพฯ การแถลงข่าวมีขึ้นที่สมาคมศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี รศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ อาจารย์ ดร.นฤมล ทับจุมพล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมอ่านแถลงการณ์และตอบคำถามผู้สื่อข่าว


 


อาจารย์เกษียร กล่าวในตอนเริ่มต้นว่า เหตุที่นักวิชาการเพิ่งออกมาเคลื่อนไหวตอนนี้ เป็นเรื่องจังหวะเวลาและยุทธวิธี แม้ไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกเนื่องจากกระบวนการในการยกร่างเป็นการตั้งบุคคลจากผู้มีอำนาจ แต่การปฏิเสธในตอนนั้นโดยที่ยังไม่เห็นเนื้อหา จะทำให้กระบวนการเรียนรู้ของสังคมวิ่งตามไม่ทัน จนเมื่อเห็นตัวร่างแล้วจึงร่วมกันนำเสนอต่อสังคมให้ลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนี้


 


"เรายอมกลั้นหายใจ แม้กระบวนการน่าสงสัย เราไม่เห็นด้วย ไม่มีความชอบธรรม ก็ยอมดูตัวร่างก่อนว่าเป็นยังไง แล้วมันก็รับไม่ได้จริงๆ มันถึงเวลาแล้วที่เราจะเสนอว่าต้องเซย์โน (say no - ปฏิเสธ) โดยการเซย์โนนี้ เราเสนอให้ประชาชนคว่ำร่างรัฐธรรมนูญนี้โดยผ่านการลงประชามติ ไม่ว่ากระบวนการนี้จะจบลงที่ ส.ส.ร.ยกมือไม่เอา หรือว่ามันผ่าน ส.ส.ร. มาแล้วมีการลงประชามติ" รศ.ดร.เกษียรกล่าว


 


 


เสนอ คมช.ใช้ รธน.2540 ปูทางปฏิรูปการเมืองหลังชะงักรัฐประหาร 19 ก.ย.


อาจารย์เกษียรกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ข้อเสนอต่อไปคือให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และรัฐบาลกลับไปใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนกว้างขวางที่สุด โดยเพิ่มหรือปรับแก้บทเฉพาะกาลเพียง 2 ข้อ คือ จัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 60 วัน เพื่อให้ได้สภาชุดใหม่ 2. ให้สภาชุดใหม่ที่มาจาการเลือกตั้งดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือปรับแก้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ในจุดที่คิดว่ามีปัญหา


 


"พูดง่ายๆ คือ เดินหน้าปฏิรูปการเมืองต่อ ให้ประชาชนมีส่วนร่วม กระบวนการคล้ายๆ กับตอนที่ร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 นั่นเอง อันที่จริงถ้าไม่มีรัฐประหาร 19 กันยา นี่ก็คือทิศทางของการเดินต่อ ที่ไม่ว่าฝ่ายไหนก็เห็นด้วย พรรคไทยรักไทยเองก็เห็นด้วย เป็นกระบวนการชอบด้วยกฎหมาย ให้ประชาชนมีส่วนร่วม และเพราะไม่มีกระบวนการนี้ ถึงยุ่งอยู่ทุกวันนี้ ใครอยากได้อะไรก็ออกมาเดินถนน เพราะกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญนี้มันแคบ ไม่เปิดให้มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น"


 


ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าไม่มีความหวังกับการแปรญัตติที่กำลังจะเกิดขึ้นเพื่อแก้ร่างรัฐธรรมนูญนี้ อาจารย์เกษียรกล่าวว่า "ที่ผ่านมาเราก็กลั้นใจแล้ว มันไม่ไหว และไม่คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพราะกรอบอำนาจที่เกิดขึ้นพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าได้แค่นี้ ถ้าเอาทหารเอาระบบราชการมาล้อมมันได้แค่นี้"


 


 


เตือน คมช.ไม่หยิบ 2540 มาใช้ เท่ากับเชิญคนลงท้องถนน


ส่วนข้อซักถามที่ว่า หากคว่ำการลงประชามติแล้ว คมช.หยิบรัฐธรรมนูญฉบับอื่นๆ มาใช้ แทนที่จะเป็นฉบับปี 2540 นั้น อาจารย์เกษียรกล่าวว่า คมช.ต้องคิดให้ดี หากข้อเสนอนี้เป็นสิ่งที่สังคมขานรับ คมช.จะต้องเผชิญกับมติมหาชน ซึ่งที่ผ่านมาพวกเขายังไม่เคยเจอ การยึดอำนาจที่ผ่านมา บังเอิญประชาชนกำลังอึดอัดกับระบอบทักษิณมาก ดังนั้น คมช.คงต้องคิดว่ามันจะสมานฉันท์หรือไม่ บ้านเมืองจะสงบสันติหรือไม่ จีดีพีจะขึ้นหรือจะลง


 


"คุณจัดความสัมพันธ์เชิงอำนาจของประเทศไทย ในพ.ศ.2550 โดยรวมศูนย์ระบบราชการ คุณกำลังเชิญคนลงท้องถนน"


 


 


เชื่อล้ม รธน.50 เพื่อปฏิรูปการเมืองต่อ เป็นแนวทางยอมรับกว้างขวางสุด


อาจารย์เกษียร กล่าวด้วยว่า สังคมไทยหลังรัฐประหาร แตกแยกและแบ่งกลุ่มกันมากกว่าเก่า ข้อเสนอว่าด้วยการล้มรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และปฏิรูปการเมืองต่อน่าจะเป็นที่ยอมรับได้กว้างขวางที่สุด


 


"คุณจะรักทักษิณหรือไม่รักทักษิณ คุณจะเห็นด้วยกับรัฐประหาร หรือไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร ก็คงจะเห็นร่วมกันว่าร่างรัฐธรรมนูญนี้มันไม่ไหว และต้องปฏิรูปการเมืองต่อ ที่สำคัญกระบวนการนี้เป็นไปได้ที่จะทำโดยสันติวิธี นี่เป็นช่องทางที่จะหลีกเลี่ยงการสูญเสียและความรุนแรงมากที่สุดแล้ว"


 


"ถ้าข้อเสนอนี้ได้รับฉันทมติค่อนข้างหนักแน่นจากสังคม ผมคิดว่ามันจะเป็นฐานให้ความรุนแรงน้อยลง ลองจินตนาการสถานการณ์ว่าประชาชนไม่เอากับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แล้วคมช.ไปหยิบฉบับไหนมาก็ไม่รู้ยัดให้ สังคมจะรู้สึกอย่างไร นี่เป็นทางหนึ่งที่เลี่ยงการเผชิญหน้ากันด้วยซ้ำไป"


 


 


ยันอีกรอบ ยิ่งรวบอำนาจให้ข้าราชการจะยิ่งเจอการเมืองบนท้องถนน


อาจารย์เกษียร กล่าวต่อว่า หาก คมช.ไม่เลือกรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 และหยิบฉบับอื่นใดมาปรับใช้ ก็เชื่อได้แน่ว่า ประชาชนและนักการเมืองจะมีอำนาจน้อยลง ระบบราชการจะมีอำนาจมากขึ้น จากเดิมที่รัฐธรรมนูญปี 2540 นักการเมืองมีอำนาจมากขึ้น ประชาชนมีหลักประกันสิทธิเสรีภาพอยู่บ้าง ยังเจอการเมืองบนท้องถนนเยอะ ถ้ายิ่งรวบอำนาจให้ระบบราชการจะเจอการเมืองบนท้องถนนเยอะมาก


 


"ร่างรัฐธรรมนูญแบบระบบราชการ ไม่ว่าฉบับที่กำลังร่างนี้ หรือฉบับที่คมช.จะใช้ในอนาคต จะทำให้คมช.เผชิญหน้ากับความรุนแรงในชนบทและในเมือง ในชนบทนั้นเนื่องจากประชาชนถูกปล้นทรัพยากรจากโครงการพัฒนาทั้งหลาย ดูตัวอย่างกรณีของสุราษฎร์ธานีที่เพิ่งผ่านมา กรณีสมัชชาคนจนตอนนี้ แบบนี้จะยิ่งมากขึ้น เพราะประชาชนไม่มีช่อง ระบบการเมืองแบบรัฐสภามันใช้ไม่ได้ และจากชนบทก็จะมาในเมือง การเมืองจะไม่มั่นคง และทหารจะออกมาอีก แล้วชนชั้นกลางในเมืองก็จะประสบปัญหาเศรษฐกิจอันสืบเนื่องจากทหารออกมาหนักขึ้นอีก ...เราไม่อยากไปนรก" รศ.ดร.เกษียรกล่าว


 


 


นฤมลชี้ รธน.50 พูดเรื่องสิทธิไม่ต่างจาก 40 แต่การตรวจสอบของประชาชนหายไป


อาจารย์นฤมล ทับจุมพล กล่าวว่า จะเห็นได้ว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ในส่วนที่พูดเรื่องสิทธิเสรีภาพ ไม่ต่างจากรัฐธรรมนูญปี 2540 มีการเพิ่มสิทธิชุมชน และก็เป็นแต่เพียงลอยๆ ขณะที่ส่วนที่หายไปอย่างสิ้นเชิงในโครงสร้างการเมืองคือ การตรวจสอบของประชาชน


 


"นี่ยังไม่ต้องพูดถึงกระบวนการที่มามันชอบธรรมหรือไม่ ดูแค่เนื้อหา อาจารย์หลายๆ ท่านก็ไม่สามารถรับได้ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่เราเริ่มมารณรงค์สีเขียวตองอ่อน เพื่อทำให้รัฐบาล คมช.ได้รับรู้ว่า สังคมได้เสนอความสมานฉันท์อีกแบบหนึ่งแล้วว่าให้ใช้รัฐธรรมนูญปี 2540"


 


 


วิพากษ์ คมช. ระวังประเทศจะพัง ถ้าร่าง รธน.50 จากความกลัวทักษิณ


เมื่อถามว่าจะเป็นไปได้แค่ไหนที่ คมช.จะเลือกรัฐธรรมนูญ 2540 เนื่องจากโจทย์ของผู้มีอำนาจตอนนี้คือ "ทักษิณออกไป" และรัฐธรรมนูญ 2540 อาจไม่ตอบโจทย์นี้ อาจารย์นฤมลกล่าวว่า ตอนนี้สังคมไทยอยู่ในช่วง Post Thaksin (ยุคหลังทักษิณ) สิ่งที่คมช.ควรทำก็คือทำตามกระบวนการยุติธรรม หากจะมีการเอาผิดคนที่กระทำผิด แต่มันเป็นคนละเรื่องกับรัฐธรรมนูญ คมช.อาจจะกำลังทำผิดฝาผิดตัว นี่คือปัญหาของร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ที่กลายเป็นร่างที่เกิดจากความกลัวว่าคนอย่างทักษิณ ชินวัตร จะเกิดขึ้นมาอีก


 


"ปัญหาก็คือ เมื่อกลัวแล้วเอาอำนาจไปฝากไว้ที่ใคร ไม่ได้เอามาฝากไว้ที่ประชาชน แต่ฝากไว้กับคนที่คุณคิดว่าดี เก่ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ เก่งหรือไม่ และจะแก้ปัญหาวิกฤตของสังคมที่กำลังเผชิญอยู่อย่างไรในระบบการเมืองโลกในปัจจุบัน การสร้างอำนาจหรือระบบการเมืองใหม่ที่เกิดจากความกลัว จะยิ่งทำให้ประเทศพังมากขึ้น" อาจารย์นฤมลกล่าวในที่สุด


 


 


นักวิชาการใต้ไม่ร่วมแถลง ที่แท้ ม.วลัยลักษณ์ร่างฉบับ "แรง" กว่า ม.เที่ยงคืน


ตามข่าวที่ ม.เที่ยงคืนระบุว่าไม่สามารถหานักวิชาการจากภาคใต้ร่วมแถลงข่าวนั้น พบว่าในกระดานข่าวฟ้าเดียวกันหัวข้อที่ 8581 หัวข้อ แถลงการณ์ "ร่วมกันไม่รับร่างรัฐธรรมนูญปี ๕๐ ฉบับทำลายการปฏิรูปการเมือง" ตั้งโดยผู้ใช้ชื่อว่า มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน นั้น ได้มี คณาจารย์ในหลักสูตรภูมิภาคศึกษา (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จ.นครศรีธรรมราช จำนวน 7 คน ได้แก่ อาจารย์แพทริค โจรี, ทวีศักดิ์ เผือกสม, อรอนงค์ ทิพย์พิมล, ไพลดา ชัยศร, อับดุลราซัก ปาแนมาแล, จิรวัฒน์ แสงทอง และอำนวยวิชญ์ ธิติบดินทร์ ได้เขียนจดหมายในกระดานข่าวถึงอาจารย์สมเกียรติ ตั้งนโม นักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ไม่เห็นด้วยกับแถลงการณ์ฉบับนี้ โดยให้เหตุผล 5 ข้อ ซึ่งสรุปได้ว่า การแถลงการณ์ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนที่เสนอเรื่องการคว่ำรัฐธรรมนูญผ่านกระบวนการลงประชามตินั้น ก็มีค่าเท่ากับการยอมรับอำนาจของคณะรัฐประหาร ในการจัดกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ว่ามีความชอบธรรม


 


"พวกเราจึงคิดว่าจะไม่ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ฉบับนี้ เว้นเสียแต่ว่า ในแถลงการณ์จะต้องยืนยันถึงความไม่ชอบธรรมของการรัฐประหาร การดำรงอยู่ของอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ และกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญทั้งหมด ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่กรุณาชักชวนพวกเรามาร่วมคิด และแม้ว่าจะมีความคิดเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่ก็หวังว่าจะได้มีโอกาสร่วมปฏิสังสรรค์ทางวิชาการกันต่อไป" จดหมายฉบับดังกล่าวระบุ (ดูรายละเอียดล้อมกรอบ)


 






ที่มา : กระดานข่าวฟ้าเดียวกันหัวข้อที่ 8581 ผู้โพสต์ความเห็น ภูมิภาคศึกษา Posted : 2007-05-23 08:28:01 IP : (202.28.68.12)


 


เรียนอาจารย์สมเกียรติที่รัก


 


พวกเราได้อ่านและอภิปรายกันโดยละเอียดแล้ว มีความเห็นร่วมกันว่า แม้จะเห็นด้วยกับเป้าหมายที่จะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาโดยส่วนใหญ่ของแถลงการณ์ฉบับนี้ เช่น


 


1) การที่แถลงการณ์ฉบับนี้ไม่ได้ระบุว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่มีความชอบธรรมตั้งแต่ต้นเพราะมีที่มาจากการรัฐประหาร


 


2) การเสนอความคิดเรื่องการคว่ำรัฐธรรมนูญผ่านกระบวนการลงประชามติ มีค่าเท่ากับการยอมรับอำนาจของคณะรัฐประหารในการจัดกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่ามีความชอบธรรม หรืออีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกมา "ดี" ก็แปลว่าจะมีข้อเสนอให้ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้แม้ว่าจะมีที่มาจากกระบวนการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย?


 


3) การเรียกร้องให้นำรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2540 กลับมาใช้นั้น กำลังเรียกร้องกับใคร? เรียกร้องกับ คมช. หรือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ? ซึ่งยิ่งแสดงให้เห็นว่า แถลงการณ์ฯ ยอมรับอำนาจเหล่านั้น?


 


4) เป็นเหตุผลที่เหลือเชื่อที่แถลงการณ์ฯ ระบุว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ "ดูเหมือนมีการขยายสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้มากกว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540" โดยไม่คิดว่าการแต่งตั้งวุฒิสมาชิกและอีกหลายมาตราจะเป็นการ "ปิดกั้น"


 


5) แถลงการณ์ระบุว่า "สังคมไทยเห็นพ้องต้องกัน" ในการแก้ไขข้ออ่อนรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2540 "โดยอาศัยกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นไปตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชน" พวกเราคิดว่า นักวิชาการน่าจะเลิก "พูดแทน" ประชาชนอย่างเลื่อนลอย โดยเฉพาะในแถลงการณ์ซึ่งสะท้อนความคิดของนักวิชาการและผู้ลงชื่อร่วม มากกว่าความคิดของ "ประชาชน"


 


ดังนั้น พวกเราจึงคิดว่าจะไม่ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ฉบับนี้ เว้นเสียแต่ว่า ในแถลงการณ์จะต้องยืนยันถึงความไม่ชอบธรรมของการรัฐประหาร การดำรงอยู่ของอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ และกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญทั้งหมด


 


ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่กรุณาชักชวนพวกเรามาร่วมคิด และแม้ว่าจะมีความคิดเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่ก็หวังว่าจะได้มีโอกาสร่วมปฏิสังสรรค์ทางวิชาการกันต่อไป


 


คณาจารย์หลักสูตรภูมิภาคศึกษา (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้)


 


แพทริค โจรี


ทวีศักดิ์ เผือกสม


อรอนงค์ ทิพย์พิมล


ไพลดา ชัยศร


อับดุลราซัก ปาแนมาแล


จิรวัฒน์ แสงทอง


อำนวยวิชญ์ ธิติบดินทร์


 


 


ชาญวิทย์หนุน ม.เที่ยงคืน แต่ช่วยเติม "สยาม" และไม่เติม "พุทธเป็นศาสนาประจำชาติ"


ขณะเดียวกัน ชาญวิทย์ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อาจารย์ประจำโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยแพร่จดหมาย ลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2550 เวลา 16.06 น. เรื่อง ขอร่วมลงนามไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ถึง อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน


 


เนื้อความระบุขอร่วมลงนามไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว เนื่องจากที่มา เนื้อหาสาระ และเจตนารมณ์ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ "ไม่เป็นประชาธิปไตย" โดยอาจารย์ชาญวิทย์ยังเห็นเพิ่มเติมว่า รัฐธรรมนูญฉบับใดก็ตามที่จะต้องร่างกันอีก ขอให้บรรจุนามของประเทศว่า "สยาม" ในภาษาไทย และ "Siam" ในภาษาอังกฤษ และไม่จำเป็นต้องบรรจุคำว่า "พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ทั้งเพื่อความสมานสามัคคีและการปรองดองในชาติบ้านเมืองของเรา (ดูรายละเอียดในล้อมกรอบ)


 






เรื่อง ขอร่วมลงนามไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐


เรียน อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน


 


ผมขอร่วมลงนามไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ทั้งนี้เนื่องจากที่มา เนื้อหาสาระ และเจตนารมณ์ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ "ไม่เป็นประชาธิปไตย"


 


อนึ่ง ผมยังมีความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า ในรัฐธรรมนูญฉบับใดก็ตามที่จะต้องร่างกันอีก ขอให้บรรจุนามของประเทศว่า "สยาม" ในภาษาไทย และ "Siam" ในภาษาอังกฤษ และไม่จำเป็นต้องบรรจุคำว่า "พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ทั้งเพื่อความสมานสามัคคีและการปรองดองในชาติบ้านเมืองของเรา


 


จึงเรียนมาเพื่อทราบ


นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ


 


 


"สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" วิจารณ์ "นิธิ-เกษียร" ในเว็บบอร์ด!


นอกจากนี้หลังการแถลงข่าวของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ยังมีปฏิกิริยาของ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิพากษ์วิจารณ์ต่อจุดยืนและแถลงการณ์ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ผ่านการตั้งกระทู้ในกระดานแสดงความคิดเห็นในเว็บไซต์ฟ้าเดียวกัน และประชาไท หลายความเห็นด้วยกัน


 


โดยในกระดานข่าวฟ้าเดียวกันหัวข้อที่ 8708 หัวข้อ เกษียร (นิธิ, นักวิชาการ) ยังใช้ข้ออ้าง "ระบอบทักษิณ" มารักษาสถานความเป็นเทวดาของพวกตัวเอง และ กระดานแสดงความเห็นท้ายข่าวเว็บไซต์ประชาไท นักวิชาการแถลง "ไม่รับร่างรธน.ฉบับทำลายการปฏิรูปการเมือง"


 


ทั้งนี้อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลได้ตั้งกระทู้ในกระดานข่าวฟ้าเดียวกันเมื่อวันที่ 24 พ.ค. เวลา 5.25 น. และคัดลอกมาลงกระดานแสดงความคิดเห็นท้ายข่าวเว็บไซต์ประชาไทในเวลา 6.25 น. วันเดียวกัน โดยความเห็นส่วนหนึ่งของอาจารย์สมศักดิ์แสดงความผิดหวังต่อการแถลงข่าวของนักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน และกล่าวว่า "...วิธีคิดของคนที่อยู่เบื้องหลังแถลงการณ์เมื่อวาน ยังคงเหมือนเดิมคือด้านหนึ่ง อ้าง "ประชาชน" อ้าง "ประชาสังคม" (หรือ "สังคม" ในคำยอดนิยมของนิธิ) แต่ขณะเดียวกัน ก็ทำตัวเป็นเทวดา ว่า รู้ดีกว่าประชาชน รู้ดีกว่า "สังคม" จริงๆ ที่ได้เลือกผู้ที่ตัวเองต้องการเป็นรัฐบาลไปแล้ว ภายใต้ข้ออ้าง (วาทกรรม) คำขวัญ ประเภท "ระบอบทักษิณ" คนเหล่านี้ พูดโดยไม่กระดากปาก โดยหน้าไม่แดง ในนามของ "ประชาชน" ในนามของ "สังคม" แต่เมื่อประชาชนเลือกใครจริงๆ ที่พวกเขาไม่ชอบ คนเหล่านี้ก็ออกมาชี้นิ้วบงการว่า "มึงเลือกไป ไม่ถูกหรอก", "ที่มึงเลือกไปคือ "ระบอบทักษิณ" เชื่อกูเหอะ" เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่ครั้งนี้ ภายใต้ข้อความที่หรูๆ "ปฏิรูปการเมือง" "ทางเลือกที่สาม" เนื้อแท้ของคนเหล่านี้ คือ รักษาความเป็น "กูรู" (กู-รู้) ของพวกตนไว้..." อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล แสดงความเห็นในกระดานข่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net