เคลื่อนไหวหน้าทำเนียบรัฐบาล ค้านสืบทอดอำนาจผ่าน "พ.ร.บ. รักษาความมั่นคงภายในฯ"

ประชาไท - 28 มิ.ย. 50 คนหนุ่มสาวและองค์กรสิทธิมนุษยชน 7 องค์กร ได้แก่ ศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย(YPD.) ชมรมนักกิจกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลง กลุ่มสังคมวิจารณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน(ครส.) YoungProgressiveSouthEastAsia-YPSEA กลุ่มนักศึกษานิด้าเพื่อประชาธิปไตย และแนวร่วมประชาชนสายที่สาม ประกาศเจตนารมณ์หน้ทำเนียบรัฐบาล ผ่านแถลงการณ์ "หยุด พ.ร.บ. รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร" หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผ่านร่าง พ.ร.บ. รักษาความมั่นคงภายในฯ พ.ศ.... ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่สำนักงานกฤษฎีกากำลังพิจารณาเพื่อเตรียมเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)

เนื้อความในแถลงการณ์เป็นการเรียกร้องต่อรัฐบาล ความว่า อำนาจตาม ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวให้อำนาจแก่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (ผอ.รมน.) ซึ่งหมายถึงผู้บัญชาการทหารบกโดยตำแหน่งอย่างมากมายเทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรีที่สามารถใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน cและถึงขั้นมีอำนาจสั่งการหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานได้ โดยไม่ต้องขึ้นต่อ พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและการพิจารณาคดีปกครอง ซึ่งเป็นกฏหมายหลักของระบบนิติรัฐ และยังระบุว่าผู้ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.นี้ ตามมาตราที่ 37 ไม่ต้องมีความผิดทั้งทางแพ่งและอาญา ทำให้ผู้ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.นี้จะไม่สามารถถูกตรวจสอบและฟ้องร้องได้เลย

ส่วน มาตรา 25 ได้ให้อำนาจ ผบ.ทบ. เป็นเผด็จการโดยเบ็ดเสร็จ เพราะสามารถประกาศกักขังบุคคลใดก็ตามไม่ให้ออกนอกเคหสถานได้ สั่งห้ามการเดินทางได้ทุกเส้นทาง บุกค้น จับกุมได้ตลอด 24 ชั่วโมงแม้ยามวิกาล ทั้งยังสั่งย้ายข้าราชการทุกคนออกนอกพื้นที่ได้ รวมถึงสามารถปราบปรามประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐโดยอ้างความมั่นคงได้โดยถาวร  ซึ่งจะทำให้อำนาจทหารปฏิบัติการแทนหน่วยงานของรัฐอื่นๆ ได้โดยรัฐบาลไม่ต้องประกาศ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือกฏอัยการศึกแต่อย่างใด

ทั้งนี้ กฏหมายดังกล่าวจะประกาศใช้เฉพาะพื้นที่หรือช่วงเวลาที่เป็นสถานการณ์ไม่ปกติเท่านั้น แต่ ร่างพ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในฯ จะเป็นอำนาจถาวรตามกฏหมายที่ ผบ.ทบ.จะสั่งการทุกหน่วยงานได้ในฐานะ ผอ.รมน. ซึ่งจะส่งผลให้ระบบนิติรัฐที่เว้นวรรคชั่วคราวจากการรัฐประหารครั้งนี้ ไปสู่ระบบอำนาจนิยมโดยกองทัพอย่างถาวรนั่นเอง

มาตรา 17 ยังบอกว่า ให้ "ผอ.รมน.ภาค" ซึ่งก็คือผู้บัญชาการกองทัพภาคมีหน้าที่รับผิดชอบในงานราชการของคณะกรรมการรักษาความมั่นคงภายในภาค และมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบบังคับบัญชาข้าราชการทั้งหมด ซึ่งเท่ากับว่าให้ ผบ.ภ.มีอำนาจเหนือกว่ากระทรวงมหาดไทยสั่งการข้าราชการฝ่ายปกครองได้ เปรียบได้กับ "รัฐบาลผสมระหว่างทหาร-พลเรือน" ที่พยายามขยายฐานไปสู่กลไกการปกครองส่วนท้องถิ่น และรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางทหารอย่างเด็ดขาดนั่นเอง

เนื้อความในแถลงการณ์ระบุอีกว่า ร่าง พ.ร.บ.นี้จะเป็นจุดจบของสังคมไทยที่นำพาสังคมการเมืองไทยสู่ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบอีกครั้ง เพราะอำนาจตามกฏหมายฉบับนี้ จะทำให้กองทัพมีอำนาจควบคู่กับรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งในอนาคต พ.ร.บ.ฉบับอยู่เหนือรัฐธรรมนูญที่จะสามารถละเมิดสิทธิเสรีภาพพลเมืองใดๆ ก็ได้โดยอำนาจ ผอ.รมน.ตามกฏหมายนี้ จึงถือว่าเป็นการยึดอำนาจจากนายกรัฐมนตรีในสมัยหน้ามาสู่กองทัพอย่างเบ็ดเสร็จ และเป็นการสืบทอดอำนาจของกองทัพอย่างถาวรในอนาคต ทั้งในสถานการณ์ปกติและในสถานการณ์ไม่ปกติ เป็นการสร้าง "ระบอบกองทัพ" ขึ้นมาใหม่แทนระบอบทักษิณ เป็นการหมกเม็ด ยึดอำนาจการเมืองในนามกองทัพบกเพื่อการคานอำนาจการเมืองหลังการเลือกตั้ง สร้างรัฐซ้อนรัฐในอนาคต เป็นอันตรายต่อการพัฒนาประชาธิปไตย และเท่ากับการสืบทอดอำนาจของกองทัพด้วยการออกกฏหมายใหม่เพื่อเปลี่ยนการปกครองไทยจากเดิมคือ Constitution Monarchy ให้เป็น Officer Military อย่างถาวร 

กลุ่มดังกล่าวเรียกร้องให้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล มีมติยกเลิกและยุติกระบวนการผลักดันร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้โดยทันที เพราะคือการขุดหลุมฝังศพให้แก่ตนเองและประเทศชาติโดยการยึดอำนาจของประชาชนไปอย่างถาวรเพื่อสร้างอำนาจใหม่ในนาม "อธิปไตยเป็นของปวงชน+และกองทัพ" ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับปัญหาความมั่นคงหรือปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แต่อย่างใดเพราะมีกฏหมายรองรับปัญหาอยู่แล้ว เป็นการสืบทอดอำนาจอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ หากไม่ยกเลิกมติดังกล่าว ขบวนการภาคประชาชนทุกสาย ภาคประชาสังคมทุกกลุ่มจะมุ่งสู่การเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)อย่างแน่นอน และหากกฏหมายนี้ผ่านไปได้ จะทำให้ประเทศไทยหลุดจากการเป็นสมาชิกภาคีสหประชาชาติของกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง(ICCPR) อีกด้วย เพราะถือว่าเป็นกฏหมายที่ล้มล้างกติกาดังกล่าว 





แถลงการณ์

หยุด พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร !!! 
 

 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผ่านร่างพระราชบัญญัติรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.... ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่สำนักงานกฤษฎีกากำลังพิจารณาเพื่อเตรียมเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) นั้น เครือข่ายองค์กรเยาวชนคนหนุ่มสาวและองค์กรสิทธิมนุษยชน 7 องค์กรตามรายนามข้างท้ายนี้ มีความเห็นและข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลดังต่อไปนี้ 

   1. อำนาจตาม ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวนั้น ให้อำนาจแก่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(ผอ.รมน.) ซึ่งหมายถึงผู้บัญชาการทหารบกโดยตำแหน่งอย่างมากมายเทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรีที่สามารถใช้อำนาจตาม พรก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ถึงขั้นมีอำนาจล้นฟ้าที่จะสั่งการแก่หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานได้ ทั้งยังไม่ต้องขึ้นต่อ พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและการพิจารณาคดีปกครอง ซึ่งเป็นกฏหมายหลักของระบบนิติรัฐ และยังระบุว่าผู้ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.นี้ไม่ต้องมีความผิดทั้งทางแพ่งและอาญา ทำให้ผู้ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.นี้จะไม่สามารถถูกตรวจสอบและฟ้องร้องได้เลย นี่หมายถึงสิทธิในการฆ่าคนได้โดยไม่ผิดกฏหมายตามมาตรา 37 นั่นเอง นอกจากนี้แล้ว มาตรา 25 ได้ให้อำนาจ ผบ.ทบ. เป็นเผด็จการโดยเบ็ดเสร็จ เพราะสามารถประกาศกักขังบุคคลใดก็ตามไม่ให้ออกนอกเคหสถานได้ สั่งห้ามการเดินทางได้ทุกเส้นทาง บุกค้น จับกุมได้ตลอด 24 ชั่วโมงแม้ยามวิกาล ทั้งยังสั่งย้ายข้าราชการทุกคนออกนอกพื้นที่ได้ รวมถึงสามารถปราบปรามประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐโดยอ้างความมั่นคงได้โดยถาวร  ซึ่งจะทำให้อำนาจทหารปฏิบัติการแทนหน่วยงานของรัฐอื่นๆ ได้โดยรัฐบาลไม่ต้องประกาศ พรก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือกฏอัยการศึกแต่อย่างใด ซึ่งกฏหมายดังกล่าวจะประกาศใช้เฉพาะพื้นที่หรือช่วงเวลาที่เป็นสถานการณ์ไม่ปกติเท่านั้น แต่ พ.ร.บ.ใหม่นี้ จะเป็นอำนาจถาวรตามกฏหมายที่ ผบ.ทบ.จะสั่งการทุกหน่วยงานได้ในฐานะ ผอ.รมน. ซึ่งจะส่งผลให้ระบบนิติรัฐที่เว้นวรรคชั่วคราวจากการรัฐประหารครั้งนี้ ไปสู่ระบบอำนาจนิยมโดยกองทัพอย่างถาวรนั่นเอง และมาตรา 17 ยังบอกว่า ให้ "ผอ.รมน.ภาค" ซึ่งก็คือผู้บัญชาการกองทัพภาคมีหน้าที่รับผิดชอบในงานราชการของคณะกรรมการรักษาความมั่นคงภายในภาค และมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบบังคับบัญชาข้าราชการทั้งหมด ซึ่งเท่ากับว่าให้ ผบ.ภ.มีอำนาจเหนือกว่ากระทรวงมหาดไทยสั่งการข้าราชการฝ่ายปกครองได้!!! ดังนั้น นี่ก็คือ "รัฐบาลผสมระหว่างทหาร-พลเรือน" ที่พยายามขยายฐานไปสู่กลไกการปกครองส่วนท้องถิ่น และรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางทหารอย่างเด็ดขาดนั่นเอง

 2. เราเห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.นี้จะเป็นจุดจบของสังคมไทยที่นำพาสังคมการเมืองไทยสู่ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบอีกครั้ง เพราะอำนาจตามกฏหมายฉบับนี้ จะทำให้กองทัพมีอำนาจควบคู่กับรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งในอนาคต นั่นหมายความว่า แม้เราจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกกี่ฉบับ หรือดีเพียงไหนก็ตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ย่อมอยู่เหนือรัฐธรรมนูญที่จะสามารถละเมิดสิทธิเสรีภาพพลเมืองใดๆ ก็ได้โดยอำนาจ ผอ.รมน.ตามกฏหมายนี้ และเราถือว่านี่คือการยึดอำนาจจากนายกรัฐมนตรีในสมัยหน้ามาสู่กองทัพอย่างเบ็ดเสร็จ และเป็นการสืบทอดอำนาจของกองทัพอย่างถาวรในอนาคต ทั้งในสถานการณ์ปกติและในสถานการณ์ไม่ปกติ นี่คือการสร้าง "ระบอบกองทัพ" ขึ้นมาใหม่แทนระบอบทักษิณ นี่คือการหมกเม็ด ยึดอำนาจการเมืองในนามกองทัพบกเพื่อการคานอำนาจการเมืองหลังการเลือกตั้งอย่างแน่นอน ซึ่งการสร้างอำนาจคู่ขนานและทับซ้อนอย่างนี้ ก็คือการสร้างรัฐซ้อนรัฐในอนาคตซึ่งเป็นอันตรายต่อการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างยิ่งยวด และเท่ากับว่า นี่คือการสืบทอดอำนาจของกองทัพด้วยการออกกฏหมายใหม่เพื่อเปลี่ยนการปกครองไทยจากเดิมคือ Constitution Monarchy ให้เป็น Officer Military อย่างถาวรนั่นเอง

 

 3. เราขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และรัฐบาล มีมติยกเลิกและยุติกระบวนการผลักดันร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้โดยทันที เพราะนี่คือการขุดหลุมฝังศพให้แก่ตนเองและประเทศชาติโดยการยึดอำนาจของประชาชนไปอย่างถาวรเพื่อสร้างอำนาจใหม่ในนาม "อธิปไตยเป็นของปวงชน+และกองทัพ" ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับปัญหาความมั่นคงหรือปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แต่อย่างใดเพราะมีกฏหมายรองรับปัญหาอยู่แล้ว แต่นี่คือการสืบทอดอำนาจอย่างชัดเจน ซึ่งหากไม่ยกเลิกมติดังกล่าว ขบวนการภาคประชาชนทุกสาย ภาคประชาสังคมทุกกลุ่มจะมุ่งสู่การเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.)อย่างแน่นอน และหากกฏหมายนี้ผ่านไปได้ จะทำให้ประเทศไทยหลุดจากการเป็นสมาชิกภาคีสหประชาชาติของกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง(ICCPR) อีกด้วย เพราะถือว่าเป็นกฏหมายที่ล้มล้างกติกาดังกล่าว 

หยุด พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในฯ หยุดสืบทอดอำนาจ!!! 

28 มิถุนายน 2550

10.00 น. หน้าทำเนียบรัฐบาลไทย 

ประกาศเจตนารมณ์โดย 

1.ศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย(YPD.) 2.ชมรมนักกิจกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลง

3.กลุ่มสังคมวิจารณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 4.คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน(ครส.)

5.YoungProgressiveSouthEastAsia-YPSEA 6.กลุ่มนักศึกษานิด้าเพื่อประชาธิปไตย 7.แนวร่วมประชาชนสายที่สาม

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท