นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าครม.มีมติรับหลักการร่างพ.ร.บ.การประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์
โดยมีวัตถุประสงค์ที่ สำคัญคือ 1. เป็นการจัดระบบและระเบียบให้กับสื่อสารมวลชน ซึ่งปัจจุบันกฎหมายเดิมออกมาตั้งแต่ปี 2498 แม้มีการปรับปรุง เมื่อปี 2530 ก็ยังเป็นกฎหมายที่ล่าสมัย ไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อมวลชนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและพัฒนาการในอนาคตข้างหน้า จึงต้องออกกฎหมายที่รองรับเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบันที่ไม่มีกฎหมายรอง รับ เช่น วิทยุชุมชน สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมและเคเบิลทีวี และ
2.เป็นส่วนในเรื่องปฏิรูปสื่อสารมวลชนทั้งระบบที่จะนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองและสังคมในอนาคตข้างหน้า
สาระสำคัญแบ่งการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ออกเป็น 2 ประเภท คือ การประกอบกิจการที่ใช้คลื่นความถี่ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ โทรทัศน์ผ่านดาว เทียม และกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ เช่น สื่อตามสาย เคเบิลทีวี
โดยมีการออกใบอนุญาติ 3 ประเภทคือ
1. ใบอนุญาติประกอบกิจการสาธารณะ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมความรู้ให้กับสาธารณะ การส่งเสริมวัฒนธรรม ศิลปะ ศาสนา สุขภาพ กีฬา และความ มั่นคงของรัฐ ทั้งนี้ผู้ขอใบอนุญาติต้องเป็นหน่วยงานเช่น องค์กรของรัฐ หน่วยงานราชการ กระทรวง ทบวง กรม องค์กรอิสระ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรมหาชน สมาคมมูลนิธิที่ไม่แสวงหาผล กำไร สถาบันอุดมศึกษา ซึ่งมีหน้าที่หรือมีความจำเป็นในการดำเนินกิจการกระจาย เสียงหรือโทรทัศน์
2.ใบอนุญาตให้กับการประกอบกิจการบริการชุมชน โดยให้กับผู้ประกอบการที่สร้างประโยชน์ให้กับท้องถิ่น เป็นประโยชน์ตามความต้องการของชุมชนหรือท้องถิ่นที่ รับบริการ ผู้ขอรับใบอนุญาติต้องเป็นสมาคม มูลนิธิ นิติบุคคลที่ไม่แสวงหาผลกำไร หรือกลุ่มคนในท้องถิ่นที่ทำประโยชน์เพื่อชุมชน
3. ใบอนุญาติเพื่อประกอบกิจการทางธุรกิจ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ระดับชาติสำหรับกิจการกระจายเสียงวิทยุหรือโทรทัศน์ที่มีพื้นที่ให้บริการครอบคลุมทุกภาคของประเทศและระดับภูมิภาพใน กิจการที่มีพื้นที่ไม่เกิน 3 จังหวัด ซึ่งผู้ขอรับใบอนุญาติต้องเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย
"เพราะปัจจุบันมีกิจการที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายมาก เราต้องการจัดระบบให้ถูกต้อง โดยยืนยันว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะสำเร็จออกมาได้ทันภายในรัฐบาลชุดนี้ เพื่อให้ทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย สู่การพัฒนาการทั้งคุณภาพและเนื้อหาสาระและเพื่อจะได้นำไปสู่การจัดระบบและยกระดับของสื่อสารมวลชน ในด้านการกระจายเสียงและโทรทัศน์ต่อไป รวมทั้งหากมีการองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ก็จะนำไปสู่การป้องกันการผูกขาดต่อไปได้ในอนาคต" นายธีรภัทร์ กล่าว
ในร่าง พ.ร.บ.ยังกำหนดคณะกรรมการผู้ออกใบอนุญาติ คุณสมบัติกรรมการผู้บริหาร ผู้มีอำนาจนิติบุคคล การขอใบอนุญาติ กำหนดอายุใบอนุญาติ กำหนดค่าธรรมเนียม การตั้งคณะ อนุกรรมการด้านจริยธรรม ด้านส่งเสริมและพัฒนาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุ โทรทัศน์
นายธีรภัทร์ กล่าวว่า เมื่อกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ผู้ประกอบกิจการที่ดำเนินกิจการวิทยุหรือโทรทัศน์ โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่ยังไม่มีกฎหมายรองรับ เช่น ASTV หรือ PTV จะต้องมายื่นหนังสือเพื่อขอรับใบอนุญาติ โดยมีคณะกรรมการพิจารณาว่ากิจการนั้น ๆ เข้าข่ายกิจการประเภทใด ส่วนกิจการวิทยุและโทรทัศน์ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันยังคงดำเนินการอยู่ต่อไปได้ จนกว่าอายุสัมปทานจะสิ้นสุดลง แต่เมื่ออายุสัมปทานสิ้นสุดลง ผู้ประกอบการก็ต้องมาขอรับใบอนุญาติเช่นกัน โดยกิจการกระจายเสียงมีอายุ 7 ปี ส่วนโทรทัศน์มีอายุ 15 ปี สำหรับสัดส่วนรายการจะจำแนกตามประเภทคือ ประเภทสาธารณะ ชุมชนและ ธุรกิจเอกชน จะต้องมีเนื้อหาสาระไม่น้อยกว่า 70% 70% และ 20% ตาม ลำดับ
ทั้งนี้สำหรับคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.) และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการ โทรทัศน์แห่งชาติ(กสช.) นั้น จำเป็นต้องให้รัฐธรรมนูญฉบับยกร่างในปัจจุบันผ่านการลงประชามติก่อน ซึ่งในรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีเพียงองค์กรเดียวในการจัดสรรคลื่นความถี่ ซึ่งอาจจะยุบรวมกทช.และกสช.ไว้ด้วยกัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการในส่วนของการรับร่างรัฐธรรมนูญอยู่ ซึ่งร่างพ.ร.บ.การประกอบกิจการ วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์สามารถดำเนินการต่อเนื่องไปในช่วงที่ยังไม่มี กสช.ได้ โดยตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียงชุมชนและการประกอบกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ (กวช.) ซึ่งเป็นคณะกรรมการชั่วคราวมาดำเนินการใน ช่วงสั้น ๆ นี้
รศ.วิทยาธร ท่อแก้ว อาจารย์ประจำสาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช แสดงความเห็นว่า ภายหลังจากที่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านคณะกรรมการกฤษฎีกาและสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว รัฐบาลนี้น่าจะผลักดันให้ถึงที่สุด เพราะเชื่อกฏหมายนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในภาวะการเมืองปกติได้ เนื่องจากมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมาก โดยหากกฎหมายฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จะส่งผลให้สถานีวิทยุชุมชน และเคเบิลทีวี รวมทั้งสถานีวิทยุเอกชน สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องตามกฏหมายด้วย
ข้อมูลส่วนหนึ่งจาด สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)